โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

กกร. หวั่นเศรษฐกิจไทยแผ่ว หั่น GDP ทั้งปีเหลือ 1.5-2.0% จี้รัฐเร่งเจรจาภาษีทรัมป์

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 05 มิ.ย. เวลา 05.21 น. • เผยแพร่ 04 มิ.ย. เวลา 07.27 น.

กกร. หั่น GDP ทั้งปีเหลือ 1.5-2.0% จากเดิมอยู่ที่ 2.0-2.2% รับกังวลมาตรการภาษีทรัมป์ เร่งรัฐเร่งเจรจาภาษีทรัมป์ พร้อมจับตาดีลลับคู่แข่ง-เวียดนามหวั่นกระทบเศรษฐกิจระยะยาว

นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย

และล่าสุดรัฐบาลสหรัฐได้เพิ่มภาษี Sectoral Tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะ

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง

ขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1% เท่านั้น

โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเร่งส่งออก แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิต ซึ่งขยายตัวเพียง 0.6% โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง

นอกจากนี้ กกร. ยังได้ปรับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ด้วยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ครั้งก่อน โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% จากเดิมคาดว่าจะโต 2.0-2.2% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% นั้น จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

แม้ กกร. คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0% แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1% โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐและไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน ดังนั้นมาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง

และจากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะลดลง นายผยงได้กล่าวว่า กกร. จึงมีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ดังนั้นเพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท

โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด โดย กกร. คาดว่าการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนสูง

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังมีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิการส่งออก และการ Re-export โดยใช้ Local Content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม

รวมไปถึงมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้

โดย กกร. มองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่น ต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบในภาคเกษตร ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านเงื่อนไขในการเจรจาหลังจากที่ได้มีการประชุมเกิดขึ้น แต่ปัญหาขึ้นอยู่กับการให้คิวกับประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสการเจรจาของประเทศต่าง ๆ ในรูปแบบล็อบบี้ บางประเทศมีการเข้าไปพูดคุย 2-3 ครั้ง ยังไม่ได้ออกมาอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ระยะเวลาอีกไม่ถึง 30 วันต่อจากนี้ เราได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งในเรื่องของโอกาสการเข้าไปพบเพื่อเจรจาพูดคุยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวกระทบผู้ส่งออก ภาคการผลิตชะลอตัวลง จากสถานการณ์การขนส่งทางเรือ แม้ตัวเลขส่งออก 4 เดือนค่อนข้างดี ขยายตัว 14% แต่หลังจากนี้ต้องติดตามผลสรุปการเจรจาที่อาจส่งผลจ่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขอย่างใกล้ชิด

ท้ายที่สุด ไม่ใช่แค่ผลการเจรจาไทย-สหรัฐ แต่เราต้องเปรียบเทียบร่วมกับคู่แข่งภายในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ที่โดนภาษีสูงถึง 46% ส่วนไทย 36% หากอยู่ในสัดส่วนที่ไทยยังได้เปรียบก็ถือเป็นประโยชน์และมีผลกระทบไม่มากนัก หากเวียดนามเจรจาได้เงื่อนไขที่ดีกว่า ก็จะส่งผลกระทบหนักกับไทย

“ตอนนี้ต้องเปรียบเทียบชอตต่อชอต ประเทศต่อประเทศ รวมถึงเจาะจงเฉพาะกลุ่มสินค้า จากเดิมเหล็ก อะลูมิเนียมที่ส่งออกไปสหรัฐพอสมควรเมื่อคิด 25% และปรับเป็น 50% ดังนั้นต้องเฝ้าติดตามพอสมควร”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กกร. หวั่นเศรษฐกิจไทยแผ่ว หั่น GDP ทั้งปีเหลือ 1.5-2.0% จี้รัฐเร่งเจรจาภาษีทรัมป์

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...