คนไทย 13.4 ล้านคนมีปัญหาสุขภาพจิต
คนไทย 13.4 ล้านคน เคยประสบปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคจิตเวช ขณะเดียวกันอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-29 ปี ที่ต้องเผชิญภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงมีสาเหตุมาจากการเรียน สื่อสังคมออนไลน์ (Fear of Missing Out : FOMO) ความรุนแรงในครอบครัว และความคาดหวังจากสังคม ในมิติสุขภาพจิตเชิงบวก พบกลุ่มวัยก่อนสูงอายุ 45–59 ปี มีระดับความสุขต่ำที่สุด สะท้อนถึงความเปราะบางทางอารมณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ในด้านความรู้ พบคนไทย 1 ใน 3 มีความรอบรู้สุขภาพจิตในระดับสูง แต่ยังมีอคติและความเข้าใจผิด เช่น การมองว่าการฆ่าตัวตายคือความอ่อนแอ
จากข้อมูลในปีงบประมาณ 2566 คนไทยพยายามฆ่าตัวตาย 31,110 คน หรือ 47.7 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ 85 คน และเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 5,172 คน หรือ 7.9 ต่อแสนประชากรเฉลี่ยวันละ 14 คน สูงกว่าเป้าหมายที่กรมสุขภาพจิตตั้งไว้ที่ไม่เกิน6.3 คนต่อแสนประชากร
ข้อมูล “รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 นำเสนอเรื่องสุขภาพจิตคนไทย”ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรละสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำขึ้น นำเสนอสัญญาณเตือนสำคัญของสังคมไทย ผ่าน 10 ตัวชี้วัด พร้อมเรื่องพิเศษประจำฉบับ เรื่อง “เกิดน้อยกู่ไม่กลับ ต้องปรับและรับมืออย่างไร” มุ่งสะท้อนปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลง และภาพรวมสุขภาวะคนไทย
รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ หัวหน้าโครงการจัดทำรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 กล่าวว่า ประเด็นเรื่องความเครียด ประชาชนทั่วไปและภาคีของสสส.ให้ความสนใจค่อนข้างมาก จึงรวบรวมปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต ไม่ว่าการฆ่าตัวตายสำเร็จ ปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม นอกจากนี้ยังรวบรวมประเด็นที่สำคัญในช่วงปีที่ผ่านมาพบว่าปัจจัยเรื่องความเสี่ยงสุขภาพ ทั้งสุรา บุหรี่ไฟฟ้า คาสิโน รวมถึงความปลอดภัยสภาพแวดล้อมต่างๆ ส่งผลต่อสุขภาวะของคนไทย แม้ประเทศไทยจะกำหนดนโยบายในการป้องกัน แต่ขาดความชัดเจน และส่วนสุดท้ายแม้มองผิวเผินอาจไม่เกี่ยวกับสุขภาพเท่าไร แต่โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปทำให้เด็กเกิดใหม่น้อยลงผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นส่งผลต่อสุขภาวะ จึงต้องทำความเข้าใจว่านอกจากนโยบายการส่งเสริมให้การเกิดเพิ่มขึ้นแล้ว เราต้องตั้งรับและอยู่ให้ได้ในบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป
สำหรับรายงานสุขภาพคนไทยปี 2568 มีสถานการณ์เด่นทางสุขภาพ ปี 2568 ที่อยู่ในความสนใจของสังคม มี 10 สถานการณ์ ได้แก่
1.แก้กฎหมายสุรา : จับตาผลกระทบด้านสังคมและสุขภาพ
2.บุหรี่ไฟฟ้า ภัยคุกคามสุขภาพที่บุกเกมรุก
3.กัญชาทางการแพทย์กับความสับสนทางนโยบาย
4.ประเทศไทยกับวันที่กาสิโนถูกกฎหมาย: อาจได้ไม่คุ้มเสีย
5.ถอดบทเรียน “ดิไอคอน” เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ แชร์ลูกโซ่
6.อุบัติเหตุรถบัสโดยสาร : หลากหลายคำถามเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย
7.การจัดการน้ำท่วมในภาคเหนือ : ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
8.ปลาหมอคางดำ กับการรับมือเอเลียนสปีชีส์ในไทย
9.ความซับซ้อนของมาตรการของรัฐในการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและขยะอันตราย
10.ชีวิตติดหนี้: ปัญหาใหญ่ครัวเรือนไทย”
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. จัดทำรายงานสุขภาพคนไทยต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 ตามแผนพัฒนาระบบ และกลไกสนับสนุนเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อคืนข้อมูลที่สำคัญด้านสุขภาวะต่อสังคมไทย และเปิดพื้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงวิชาการจากสถานการณ์สุขภาพในหลากหลายมิติ ไม่จำกัดเพียงแค่สุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจของคนไทย แต่สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของระบบสุขภาพที่มีความสอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และนโยบายของภาครัฐ รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 มี 4 ส่วนหลักสำคัญ 1.หมวดตัวชี้วัด "สุขภาพจิตคนไทย” นำเสนอข้อมูลสถานการณ์และปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตในไทย พร้อมนำเสนอตัวชี้วัดเรื่องนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต 2.สถานการณ์เด่นทางสุขภาพ นำประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมไทยในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมสะท้อนข้อเสนอแนวทางพัฒนานโยบายด้านสุขภาพ
“3.เรื่องพิเศษประจำฉบับ เรื่อง “เกิดน้อยกู่ไม่กลับ ต้องปรับและรับมืออย่างไร” นำเสนอปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลง 4.ผลงานดีๆ เพื่อสุขภาพคนไทย นำเสนอความสำเร็จทางการแพทย์และสาธารณสุข สสส. มุ่งหวังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 ไปใช้ประโยชน์ ทั้งการพัฒนากำหนดนโยบาย ติดตามหรือขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพที่สอดคล้องกับสถานการณ์สุขภาพของคนไทย เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘การสื่อสารทางสังคม’ ที่นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชน ผู้สนใจสามารถเข้าไปดาวน์โหลดรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ที่เว็บไซต์www.thaihealthreport.com” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
รศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เรื่องพิเศษฉบับนี้ คือ เรื่อง “เกิดน้อยกู่ไม่กลับ” อัตราการเกิดของคนไทยเดินทางเข้าสู่ภาวะต่ำสุด สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น บทบาททางสังคมของผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงไป ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การให้คุณค่ากับความสมดุลในชีวิต และความต้องการอิสรภาพของคนรุ่นใหม่ที่มองว่า “ลูก” อาจเป็นภาระที่ไม่สามารถรับผิดชอบได้ แม้ในต่างประเทศจะมีมาตรการกระตุ้นการเกิดที่หลากหลาย ตั้งแต่การสนับสนุนสถานเลี้ยงเด็ก การขยายเวลาลาคลอด การให้เงินอุดหนุน และการพัฒนาบริการสาธารณสุข แต่ก็ยังไม่สามารถเพิ่มความต้องการมีลูกได้ สะท้อนให้สังคมต้องปรับตัวและเตรียมรับมือกับผลกระทบในระยะยาว ทั้งการมุ่งไปที่การดูแลคุณภาพชีวิตของเด็กที่เกิดมาแล้วให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ การสร้างระบบนิเวศที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการพัฒนาของเด็กและเยาวชน การดึงดูดผู้ย้ายถิ่นที่มีคุณภาพ การปรับนิยามผู้สูงอายุ การขยายอายุเกษียณ และการเตรียมรับมือกับสังคมสูงวัยระดับสุดยอด