อี แจ-มยอง นั่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ ประกาศฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตกฎอัยการศึก–เศรษฐกิจชะงักตัว
อี แจ-มยอง เริ่มต้นวาระอย่างเป็นทางการหลังชนะเลือกตั้งแบบพลิกขั้วจากกระแสต้านรัฐประหารของอดีตผู้นำยุน ซอกยอล ท่ามกลางความท้าทายสูงสุดในรอบ 30 ปี ทั้งการเยียวยาสังคมที่บอบช้ำจากกฎอัยการศึกและการฟื้นเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย พร้อมภารกิจเร่งด่วนเจรจาการค้ากับสหรัฐ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 07.51 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า “อี แจ-มยอง” ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ เริ่มต้นวาระการดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พร้อมให้คำมั่นว่าจะพาประเทศฟื้นจากวิกฤตกฎอัยการศึก และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวจากอุปสงค์โลกและภัยคุกคามจากกระแสกีดกันทางการค้า
ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของอี แจ-มยองในการเลือกตั้งฉุกเฉินเมื่อวันอังคาร ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของเอเชีย หลังความล้มเหลวในการพยายามใช้กฎอัยการศึกของอดีตประธานาธิบดียุน ซอกยอล ทำให้เขาต้องหลุดจากตำแหน่งก่อนครบวาระเพียง 3 ปี
อี แจ-มยองต้องเผชิญกับความท้าทายที่อาจหนักหนาที่สุดของผู้นำเกาหลีใต้ในรอบเกือบ 30 ปี ทั้งการเยียวยาสังคมที่แตกแยกจากเหตุการณ์กฎอัยการศึก ไปจนถึงการรับมือกับนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นทั้งพันธมิตรทางเศรษฐกิจและด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้
จากการนับคะแนน 100% เขาได้รับคะแนนเสียง 49.42% จากผู้ใช้สิทธิราว 35 ล้านคน ขณะที่คู่แข่งฝั่งอนุรักษนิยม คิม มุนซู ได้ 41.15% โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีอัตราการออกเสียงสูงที่สุดตั้งแต่ปี 1997 ตามข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของเกาหลีใต้
อี แจ-มยอง วัย 61 ปี อดีตทนายความด้านสิทธิมนุษยชน เรียกการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าวันพิพากษาต่อการกระทำของยุนและพรรคพลังประชาชน (People Power Party) ที่ล้มเหลวในการยับยั้งความพยายามรัฐประหาร
“ภารกิจแรกคือการเอาชนะความพยายามก่อกบฏให้เด็ดขาด และรับประกันว่าจะไม่มีการรัฐประหารอีกในอนาคต” เขากล่าวระหว่างสุนทรพจน์แสดงชัยชนะที่หน้ารัฐสภา และเสริมว่า “เราสามารถผ่านความยากลำบากชั่วคราวนี้ไปได้ด้วยพลังร่วมกันของประชาชน ซึ่งเต็มไปด้วยศักยภาพ”
อี แจ-มยองได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติเมื่อวันพุธ และเข้ารับตำแหน่งพร้อมอำนาจผู้บัญชาการทหารสูงสุดทันที กระทรวงมหาดไทยระบุว่าจะมีพิธีสาบานตนอย่างย่อที่รัฐสภาในเวลา 11.00 น. (02.00 GMT)
เขากล่าวว่าจะจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วนตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่ง โดยเน้นเรื่องค่าครองชีพของครอบครัวชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อย รวมถึงปัญหาของผู้ประกอบการรายย่อย
ขณะเดียวกันยังต้องรับมือกับกำหนดเส้นตายจากทำเนียบขาวในการเจรจาภาษีนำเข้า ซึ่งสหรัฐกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ โดยภายใต้รัฐบาลรักษาการก่อนหน้านี้ การเจรจากับรัฐบาลทรัมป์มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการพยายามลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่รุนแรง ซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมหลัก เช่น ยานยนต์และเหล็ก
ศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ (CSIS) ในนครวอชิงตันกล่าวในการวิเคราะห์ว่า “ประธานาธิบดีอีจะมีเวลาเพียงน้อยนิดก่อนที่จะต้องจัดการภารกิจสำคัญที่สุดในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง นั่นคือการเจรจาข้อตกลงกับทรัมป์”
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ แสดงความยินดีต่อชัยชนะของอี และกล่าวว่าสหรัฐฯ และเกาหลีใต้มี “พันธมิตรแน่นแฟ้นภายใต้สนธิสัญญาการป้องกันร่วมกัน ค่านิยมร่วมกัน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้ง”
เขายังกล่าวอีกว่า ทั้งสองประเทศกำลัง “ปรับปรุงพันธมิตรให้ทันต่อบริบทยุทธศาสตร์ในปัจจุบัน และรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ”
เจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาวกล่าวว่า การเลือกตั้งของอีเป็น “เสรีและยุติธรรม” แต่สหรัฐฯ ยังคงกังวลและคัดค้านการแทรกแซงของจีนในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก
อีแสดงท่าทีประนีประนอมมากขึ้นต่อจีนและเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าจีนเป็นคู่ค้าสำคัญและไม่แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวเกี่ยวกับความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม เขายังให้คำมั่นว่าจะสานต่อความร่วมมือกับญี่ปุ่นในยุคของยุน และระบุว่าพันธมิตรกับสหรัฐยังคงเป็นกระดูกสันหลังของการทูตระหว่างประเทศของเกาหลีใต้
เหตุการณ์ประกาศกฎอัยการศึกและความวุ่นวายที่ตามมาเป็นเวลาหกเดือน ซึ่งมีประธานาธิบดีรักษาการถึงสามคน และมีการดำเนินคดีข้อหากบฏต่อยุนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน ถือเป็นจุดจบทางการเมืองที่น่าตกตะลึงของผู้นำคนก่อน และยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้วให้แย่ลงไปอีก
อ้างอิง : reuters.com