โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

แชตกับแฟน หรือบทคัดย่อวิจัย? รู้จัก ‘Paragraph Texter’ คนที่เผลอพิมพ์แชตยาวๆ เพราะในใจแอบกังวลไม่รู้ตัว

The MATTER

อัพเดต 06 ส.ค. เวลา 06.26 น. • เผยแพร่ 06 ส.ค. เวลา 11.00 น. • Lifestyle

พิมพ์แชตยาวเหยียดหาอีกฝ่าย คุยนู่น ถามนี่ก่อนจะส่งข้อความแต่ละทีต้องเสียเวลามานั่งเลื่อนย้อนไปอ่านทวนตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย พอกดส่งไปไม่ทันจะเปลี่ยนไปหน้าแอปฯ อื่น อีกฝ่ายพิมพ์กลับมาถาม ‘อันนี้บทสนทนาหรือเรียงความ?’

แอบเขินนิดหน่อยที่โดนถาม แต่ในใจก็แอบคิด ก็คนมันอยากหาเรื่องคุยเยอะๆ จะได้มีบทสนทนาโต้ตอบกันหลายๆ เรื่อง ไม่เบื่อกันไปเสียก่อน พฤติกรรมการส่งแชตแบบนี้ จะถูกเรียกว่า ‘Paragraph Texter’ ซึ่งหมายถึงคนที่ชอบพิมพ์ แชตยาวเหยียดในหนึ่งแชตบับเบิ้ล (Chat Bubble) เดียวนั่นเอง

ในแง่หนึ่ง คนที่เป็น Paragraph Texter ก็อาจเป็นเพียงกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความชัดเจนในการสื่อสาร เพื่อให้คู่สนทนาเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อ ไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่ผิดหรือมีนัยอะไรแอบแฝงอะไร แต่อีกนัยก็อาจสะท้อนเบื้องหลังความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พิมพ์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน หากใครที่เป็นชาว Paragraph Texter แล้วไม่แน่ใจว่านี่เป็นเพียงสไตล์การพิมพ์ของตัวเองหรือเปล่านั้น ก็ขอชวนมาหาคำตอบกันได้เลย

เมื่อวิธีการแชตสะท้อนเรื่องในใจ

แน่นอนว่าหลายพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไปนั้น สามารถสะท้อนเรื่องราวในใจและความรู้สึกบางอย่างของเราได้ รูปแบบการพิมพ์แชตก็เช่นเดียวกัน

แชดลีย์ โซโบลาส (Chadley Zobolas) นักบำบัดและเจ้าของ CZ Therapy Group ในเมืองเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา กล่าวเอาไว้ว่า คนที่เป็น Paragraph Texter อาจกำลังสะท้อนความรู้สึกกังวลในความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘รูปแบบความสัมพันธ์แบบวิตกกังวล (Anxious Attachment)’

รูปแบบความสัมพันธ์ลักษณะนี้คือหนึ่งในรูปแบบความสัมพันธ์ทั้ง 4 ตามทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ของ แมรี่ เอนส์เวิร์ธ (Mary Ainsworth) และ จอห์น โบวล์บี (John Bowlby) นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และพบว่า ความสัมพันธ์แบบวิตกกังวล มักถูกสะท้อนออกมาผ่านความวิตกกังวล ความไม่มั่นใจ ตลอดจนความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะสร้างความหมายบางอย่างให้แก่ความสัมพันธ์ รวมถึงบางคนก็อาจกลัวการถูกทอดทิ้งและการถูกปฏิเสธ จึงต้องการให้อีกฝ่ายสนับสนุนในระดับสูง

การพิมพ์แชตแบบยาวเหยียดเป็นย่อหน้า ก็อาจมาจากความกังวลในใจลึกๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นจากความกลัวหรือความไม่มั่นใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคู่สนทนา ในแง่หนึ่งก็อาจกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจหรือเมินเฉยต่อเรา จนต้องพิมพ์ให้ยาวไว้ก่อน เพื่อหวังจะกระตุ้นให้เขาได้ถึงความต้องการจะคุยของเรานั่นเอง

ฟังดูก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย แค่บทสนทนาบนหน้าแชตจะสามารถบ่งบอกถึงความกังวลในความสัมพันธ์ได้จริงหรือ?

มีงานศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบความสัมพันธ์ ซึ่งถูกสะท้อนออกมาผ่านการสื่อสารทางออนไลน์ ของโรเบิร์ต เอส. ไวส์สเคิร์ช (Robert S. Weisskirch) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้สำรวจนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่กำลังมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติก พบว่า รูปแบบการส่งข้อความสามารถสะท้อนถึงความผูกพันแบบวิตกกังวลได้จริง นอกจากการส่งข้อความแบบยาวเหยียดแล้ว ยังรวมถึงคนที่ส่งข้อความถี่ๆ ไปหาคู่สนทนาด้วย

หากมองผ่านมุมของไวส์สเคิร์ช ก็พอจะเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างความวิตกกังวลกับพฤติกรรมที่แสดงออกบนหน้าจอ ลองนึกภาพว่าเรากำลังอยู่ในสถานะที่รู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ สิ่งที่เราอยากได้มากที่สุดก็คงเป็นคำตอบและความชัดเจน ดังนั้น เราจึงอาจใช้มันเป็นที่ระบายความกังวล ส่งข้อความยาวเหยียดราวกับหางว่าว หรือพิมพ์หารัวๆ เพื่อหวังให้อีกฝ่ายตอบกลับไวสักนิดก็ยังดี

ไม่อยากวิตกกังวลเลย ทำอย่างไรดี

เชื่อว่าคงไม่มีใครชอบ ถ้าต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล หรือการต้องคอยเฝ้าติดจอให้อีกฝ่ายตอบแชตอยู่รอตลอดเวลา เพราะในแง่หนึ่งมันก็ทำให้เราเสียสุขภาพจิตด้วย

หากใครอยากลองจัดการกับความวิตกกังวลเหล่านี้ดู ก็อาจลองทำตามวิธีจาก เคนดรา มาธิส (Kendra Mathys) นักจิตวิทยาคลีนิกจาก Cleveland Clinic ที่เสนอวิธีการไว้ดังนี้

รับรู้ถึงความวิตกกังวลของตัวเอง

สิ่งสำคัญอับดับแรกที่ต้องทำให้ได้ก่อนจะไปสู่ขั้นอื่นๆ คือการต้องรับรู้กับตัวเองให้ได้ก่อน ว่าเรากำลังรู้สึกวิตกกังวลในความสัมพันธ์ครั้งนี้อยู่ พร้อมหาสาเหตุให้ได้ว่าเรากำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง ค่อยๆ ทบทวนและปลอกเปลือกความรู้สึกของตัวเองออกมาทีละเล็กน้อย เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของพฤติกรรมเรา เมื่อเราเข้าใจสาเหตุ วิธีแก้ไขมันก็จะตามมาโดยอัตโนมัตินั่นเอง

หาจังหวะให้เหมาะ แล้วค่อยแสดงความรู้สึก

เชื่อว่า หลายคนก็คงรู้สึกว่าการแสดงความรู้สึกออกไปตรงๆ นั้นเป็นเรื่องยากและท้าทายพอสมควร ถ้าอย่างนั้น เราก็อาจลองหาจังหวะที่เหมาะสม แล้วค่อยๆ แสดงความรู้สึกข้างในของเราออกไป เช่น หากอยู่ในช่วงที่เริ่มคบหาดูใจกันสักระยะหนึ่งแล้ว ก็อาจคุยกันตรงๆ ว่า รู้สึกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งนี้อยู่เหมือนกัน พร้อมชี้แจ้งรายละเอียดต่างๆ ในอีกด้าน ถ้าเพิ่งจะเริ่มรู้จักและพูดคุยกัน ก็อาจใช้ประโยคที่ดูไม่จริงจังมาก แต่ก็ต้องแสดงความรู้สึกเราออกไปได้ด้วย เช่น ‘เราแอบประหม่าจัง’ หรือ ‘เราคุยเยอะไปไหม’ อาจติดตลกลงไปสักนิดหน่อยก็ได้ เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย

แสดงความต้องการของตัวเอง

เราทุกคนต่างก็มีความต้องการและความคาดหวังในความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนกัน บางครั้งถ้าเรารู้สึกวิตกกังวลเพราะบทสนทนาในตอนนี้ไม่ตอบโจทย์เท่าที่หวังไว้ อาจลองพูดออกไปตรง ๆ ว่าเราต้องการอะไร เช่น ถามอีกฝ่ายว่าเขาสะดวกคุยช่วงไหน หรือชวนเปลี่ยนจากแชตมาเป็นการโทรหรือวิดีโอคอลแทน เพื่อจะได้เห็นสีหน้าท่าทางกันมากขึ้น ก็อาจช่วยให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นได้เหมือนกัน

ค่อยๆ ปรับวิธีการแชตให้ไม่ยาวจนเกินไป

หากความวิตกกังวลเข้ามาวิ่งวุ่นอยู่ข้างใน จนเผลอแสดงออกผ่านการแชตแบบยาวเหยียดโดยไม่รู้ตัว ก็อาจลองตั้งสติก่อนกดส่ง พิจารณาเนื้อหาในข้อความ แล้วค่อยปรับๆ ลบๆ ให้ข้อความมันไม่ยาวจนเกินไป คิดเอาไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบเล่าทุกอย่างหรือถามทุกข้อสงสัยให้หมดในครั้งเดียว ค่อยๆ เปลี่ยนวิธีการแชตให้บทสนทนามันอยู่บนความรู้สึกเชิงบวกของทั้ง 2 ฝ่าย จะช่วยให้การสนทนายั่งยืนมากขึ้น

มาถึงตรงนี้ ถ้าเราลองพิจารณาตนเอง แล้วพบว่าเราเป็นชาว Paragraph Texter ผู้กำลังตกอยู่ในห้วงความกังวลในความสัมพันธ์ ก็อาจค่อยๆ ลองปรับตัวและปรับใช้วิธีข้างต้นให้เหมาะสมกับระยะที่ต่างฝ่ายต่างพูดคุยกันมา หรือความเข้มข้นของความสัมพันธ์ดูก็ได้เช่นกัน

เพราะท้ายที่สุด บทสนทนาบนโลกออนไลน์ก็ไม่สามารถบอกเราได้ทุกอย่าง เมื่อถึงจุดหนึ่งการพูดคุยกับต่อหน้าอาจช่วยคลี่คลายปัญหาและช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้นด้วย

อ้างอิงจาก

huffpost.com

clevelandclinic.org

academia.edu

Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editorial Staff: Runchana Siripraphasuk

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...