โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ยารักษาโรค “ท้องผูกทางการเมือง”

สยามรัฐ

อัพเดต 24 ส.ค. เวลา 09.47 น. • เผยแพร่ 24 ส.ค. เวลา 09.47 น.

ทวี สุรฤทธิกุล

คนที่ “ท้องผูก” หรือถ่ายไม่สะดวกนั้น ส่วนใหญ่จะร้อนใน เบื่ออาหาร และอารมณ์หงุดหงิด ฉันใดก็ตาม คนที่ “ท้องผูกทางการเมือง” ก็มักจะมีอารมณ์ร้อนรน เบื่อทุกอย่างรอบตัว และอยากอาละวาดกับทุกคน

กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเชิญให้วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองผ่านการโฟนอินของโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่ง ประเด็นของพิธีกรผู้ถามมี 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือเรื่องแรกถามเกี่ยวกับผลการทำโพล ที่มีผลออกมาว่ารัฐบาลมีคะแนนนิยมตกต่ำลงเรื่อย ๆ เป็นเพราะเหตุใดและบ่งชี้ถึงอนาคตของรัฐบาลนี้อย่างไร กับเรื่องที่สองถามเกี่ยวกับคดีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการโทรศัพท์ “ขายชาติ” ให้กับตาเฒ่าฮุนเซน ที่จะต้องมีการตัดสินในวันที่ 29 สิงหาคมที่ใกล้จะถึงนี้

ในเรื่องแรก ผู้เขียนได้อธิบายความถึง “ธรรมชาติแห่งโพล” ว่า เป็นสิ่งที่มีความไม่แน่นอน แปลง่าย ๆ ว่าไม่ได้แม่นยำ เพียงแต่ว่าถ้าทำได้ดี มีคำถามที่ถูกต้อง และเก็บข้อมูลได้ชัดเจนพอเพียง อย่างดีก็วัดได้แค่ “แนวโน้ม” หรือที่วิชาสถิติเรียกว่า “ความน่าจะเป็น – Probability” จึงไม่ควรถือเอาเป็นอารมณ์ และยิ่งเป็นโพลทางการเมืองนั้นก็วัดยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้คนในทางการเมืองมีอารมณ์ “แปรปรวน” เป็นที่สุด โดยที่ค่าแปรปรวนหรือที่สถิติเรียกว่า Variants นี้คือสิ่งที่ทำให้การวัดหรือการวิเคราะห์ค่าสถิติ “เละเทะ” หรือเสียหายอยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่นการทำโพลของนิดาโพลในการเลือกตั้งสองครั้งหลังนี้ ก็มีผลออกมา “ผิดคาด” เป็นอย่างมาก นั่นก็คือชัยชนะของพรรคสีส้มที่มีเหนือกว่าพรรคสีแดงนั่นเอง

ทีนี้ก็มาถึงการทำโพลวัดความนิยมในรัฐบาลหรือตัวผู้นำ ที่เห็นเป็นต้นแบบก็คือแกลลัพโพลของประเทศสหรัฐอเมริกา (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2478 ปัจจุบันเป็นปีที่ 90) ที่ทำออกมาได้ผลค่อนข้างแม่นยำ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญก็คือสหรัฐอเมริกามีระบบพรรคที่เข้มแข็ง คนอเมริกันสามารถ “ดีไฟน์” หรือแยกแยะได้ว่าใครเป็น “เดโมแครต” หรือ “รีพับลิกัน” ค่าแปรปรวนจึงมีไม่มาก ที่สำคัญคนอเมริกันชอบแสดงออกทางการเมือง ผ่านการแสดงความคิดเห็นในเรื่องสาธารณะต่าง ๆ และมีระบบกฎหมายกับกระบวนการยุติธรรมที่ “เชื่อถือได้” ทำให้ผลของการวัดความเห็นมีความ “น่าเชื่อถือ” ตามไปด้วย

ประเทศไทยขาดปัจจัยพื้นฐานในเรื่อง “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” (แม้ว่าคนไทยจะชอบก่อม็อบมาก แต่ก็ไม่ใช่การมีส่วนร่วมที่เป็นปกติแบบที่คนอเมริกันมี คือการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมาย) ที่ทำให้การทำโพลเป็นไปด้วยความยากลำบาก (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักรัฐศาสตร์อเมริกันได้มาสำรวจด้านสังคมวิทยาในประเทศไทย แล้วนำผลมาอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของคนไทย พบว่าคนไทยนั้นมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ “ไพร่ฟ้า” คือชอบเชื่อฟังผู้มีอำนาจ แต่ที่สำคัญคือไม่ค่อยสนใจการเมือง จนถึงขั้นเฉื่อยชาทางการเมือง ซึ่งในคราวที่มีการปฏิรูปการเมืองในช่วง พ.ศ. 2539 - 2540 อันนำมาซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 นั้น แนวคิดนี้ก็ได้ถูกนำมาเป็น “โจทย์” และถูกนำไปสร้างเป็นเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ได้แก่ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นต้นว่า การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ถ้าใครไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะต้องเสียสิทธิบางอย่างไปด้วย รวมถึงการตั้งองค์กรอิสระต่าง ๆ มาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์หรือเพิ่มอำนาจให้ประชาชนผ่านองค์กรอิสระเหล่านั้น ซึ่งที่สุดก็ “ไร้ประสิทธิภาพ” ขาดความน่าเชื่อถือ และกลายเป็น “องค์กรไส้ติ่ง” อยู่ในปัจจุบัน)

ดังนั้นผู้เขียนจึงตอบพิธีกรที่ถามมานั้นไปว่า “อย่าเอาผลโพลมาเป็นอารมณ์” ซึ่งคนที่ถูกทำโพลคือรัฐบาลนั้นเขาก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เขาจึง “ไม่สน - ไม่แคร์” คือพวกนักการเมืองของไทยนั้นไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องผลของโพลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนไทย “ไพร่ฟ้า” อย่างเราจึงไม่ควรเอามาเป็นอารมณ์ให้เกิดอาการพะอืดพะอม จนถึงขั้นร้อนอกร้อนใจ กระวนกระวาย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือถ่ายไม่ออกนั้นไปเลย (ลืมแนะนำไปว่า ถ้าใครที่นับถือศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง อาจจะต้องใช้ “อุเบกขา” คือปล่อยวาง โดยจะต้องเริ่มจากแผ่เมตตา ที่ทำกันทั่วไปคือกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ “เจ้ากรรม ไอ้เวร – อีเวร” เหล่านั้น ที่สุดคือมองไม่เห็นตัวตนนักการเมืองเลว ๆ เหล่านั้น แบบ “นิพพานัง ปะระมัง สุขขัง – ความไม่มีตัวตนนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง)

ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่สอง ซึ่งผู้เขียนตอบด้วยความมั่นใจเชิงประชดประชันและ “รับประทานแรง ๆ” ว่า “อุ๊งอิ๊งไม่รอดหรอก” และน่าจะหนีไปก่อนที่จะมีการอ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ ๒๙ สิงหาคมนี้ซะด้วย ซึ่งการหนีออกไปเสียจากประเทศไทยในครั้งนี้ของอุ๊งอิ๊ง ไม่ใช่หนีคำตัดสินที่ศาลจะอ่านเท่านั้น แต่ยังหนีด้วยคดีที่จะตามมา เพราะเมื่ออุ๊งอิ๊งกระทำการ “ผิดจริยธรรมจนเป็นที่ประจักษ์” เช่นนี้แล้ว ก็น่าจะต้องมีผู้นำเรื่องขึ้นสู่ศาลอาญาในข้อหากบฏหรือ “ทรยศ - ขายชาติ” เพื่อเอาผิดให้จงหนักต่อไป อันมีโทษถึงประหารชีวิตหรืออย่างน้อย ๆ ก็ติดคุกมหันตโทษตลอดชีวิต

บทความนี้เขียนในวันศุกร์ที่ 22 ภายหลังที่อุ๊งอิ๊งได้ไปให้ปากคำต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 ที่มีกระแสข่าวตีความจากสีหน้าท่าทางของอุ๊งอิ๊งว่า พอออกมาจากศาลแล้วก้มหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส คงจะ “รอด” หรือศาลคงจะไม่เอาผิดกับอุ๊งอิ๊งอีกต่อไปแล้ว คล้าย ๆ กับที่เคยตัดสินพ่อของอุ๊งอิ๊งว่า “บกพร่องโดยสุจริต” ซึ่งถ้าในวันที่ 29 ผลออกมาว่าอุ๊งอิ๊งไม่ผิดจริง ๆ ผู้เขียนขอเตรียมคำพูดให้อุ๊งอิ๊งบอกแก่ศาลว่า “ขอบคุณตุลาการทุกท่านนะคะ ที่ให้ความเป็นธรรมแก่ดิฉัน ดิฉันก็แค่ โง่โดยสุจริต เท่านั้นหละค่า”

อย่างไรก็ตามผลที่จะตามมาจากการที่อุ๊งอิ๊งพ้นผิดในครั้งนี้จะ “น่ากลัวพิลึก” คือสังคมไทยส่วนหนึ่งน่าจะ “ท้องผูกทางการเมือง” กันอย่างหนัก ทั้งนี้ก็เป็นผลจากการคาดหวังในศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป ด้วยนึกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะ “สร้างบรรทัดฐาน” หรือค่านิยมที่ถูกต้องให้กับการเมืองไทย (อย่าลืมนะครับ ศาลรัฐธรรมนูญนี้สร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลทางการเมือง ย่อมจะต้องช่วยสร้างและปกป้องการเมืองจากความชั่วร้ายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากนักการเมืองชั่ว ๆ และสิ่งชั่ว ๆ ที่นักการเมืองเหล่านี้สร้างขึ้น ประชาชนจึงคาดหวังต่อท่าน ๆ ในองค์กรเหล่านี้สูงมาก ๆ) แล้วคนที่ท้องผูกนั้นน่ากลัวมาก ๆ นะครับ ตอนนี้ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอะไรตามมาอีกบ้าง

ตอนนี้ในบางภาคส่วนก็กำลังมีความพยายามที่จะ “ปฏิรูปองค์กรอิสระ” คงด้วยเห็นว่าองค์กรเหล่านี้ถ้าเป็นยาก็อาจจะเป็นยา “หมดอายุ” ที่ใช้ไม่ได้ผล หรือบางองค์กรก็หลอมไหลไปเป็นส่วนหนึ่งของการค้ำจุนสิ่งชั่ว ๆ ทางการเมือง หรือเป็นยาที่ “เสื่อมสภาพ” ดังนี้แล้วก็อาจจะต้อง “ปรับปรุง – เปลี่ยนสูตร” จนถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนวิธีรักษา

ประเทศไทยแค่เปลี่ยนหมอหรือผู้นำยังไม่พอ ต้องเปลี่ยนยาหรือพวก “องค์กรไส้ติ่ง” ทั้งหลายนั้นด้วย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...