นวลนางช่างน่าหลงใหล
ข้อมูลเบื้องต้น
ประกาศ : จะเริ่มติดเหรียญรายตอนเล่ม 1 วันที่ 24 .8.68 เวลา 12.00น.
หากนักอ่านสายฟรีท่านใดยังอ่านไม่จบ รีบเลยจ้า
E-book นิยายเรื่อง นวลนางช่างน่าหลงใหล
MEB:
เล่ม 1: https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTU2ODMzMiI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM4NDcwOTt9
เล่ม 2:https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTU2ODMzMiI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM4ODgwODt9
DEK-D:
เล่ม 1: https://novel.dek-d.com/ebook/33486/
เล่ม 2: https://novel.dek-d.com/ebook/34336/
เรื่องย่อ
นาง คือ กู้ซีหลิง หญิงสาวที่ชาติก่อนเคยถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘สามี’ และครอบครัวของเขาหลอกลวง
หนึ่งปีก่อนจะตายเพราะป่วยหนัก กู้ซีหลิง หญิงสาวผู้ทุ่มเทให้กับสามีและครอบครัวของเขาด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนาง
จับได้ว่าสามีที่นางรักและน้องสะใภ้ที่นางเอ็นดู เป็นชู้รักกันมาเนิ่นนาน
ในขณะที่หลังแต่งงานหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยถูกสามีแตะต้อง สตรีผู้นั้นกลับคลอดบุตรออกมาคนแล้วคนเล่า
แต่ กู้ซีหลิง ไม่เคยรู้ว่าเด็กพวกนั้น มิใช่ หลาน แต่เป็นลูกของคนที่อยู่ในสถานะ สามีของนางมาตลอด
…
เมื่อเสียชีวิตแล้วพบว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับมายังช่วงวัยสิบสี่ หลังบิดามารดาเพิ่งเสียชีิวิตได้ไม่นาน
ก่อนเรื่องราวหลอกลวงในช่วงหลังของชีวิตจะเริ่มต้นขึ้น
กู้ซีหลิงก็ไม่คิดจะเดินไปตามเส้นทางเดิมในชาติที่แล้วอีกและชาตินี้นางไม่มีทางยอมปล่อยให้ฟู่จางหมิงกับครอบครัวของเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเด็ดขาด
ชาติก่อน รวมหัวกันหลอกลวงนางเก่งนักใช่หรือไม่
ได้ เช่นนั้นนางจะส่งคนพวกนั้นไปอยู่ด้วยกันเสีย แล้วดูซิว่าหากไม่มีเงินทองของนางให้พวกเขาใช้ ไม่มีชีวิตสุขสบายให้พวกเขากอด
ชาตินี้ คนพวกนั้นยังจะรักใคร่กลมเกลียว มีเวลาไปวางแผนหลอกลวงผู้อื่นอีกหรือไม่
.
คุยกันเล็กน้อย
ในที่สุดปีนี้ฉันก็มีนิยายจีนเรื่องใหม่ลงกับคนอื่นเขาแล้ว เย้
ยังคงต้องขอขอบคุณตัวเองที่อดทนไ่ม่ย่อท้อและนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมาตลอด
ยังไงก็ฝากติดตาม กดหัวใจ และคอมเม้นท์มาคุยกันด้วยนะคะ
ทุกกำลังใจจากนักอ่านมีค่าต่อนักเขียนเป็นอย่างมากค่ะ
.
นิยายจีนเรื่องนี้เขียนจากจินตนาการ เขียนตามที่ผู้เขียนอยากอ่าน
ไม่เน้นสาระ ไม่อ้างอิงประวัติศาสตร์ สถานที่และบุคคลใดๆ
หากนักอ่านอ่านแล้วชอบ สามารถคอมเม้นท์และกดหัวใจเพื่อเป็นแรงใจให้กันได้
สวนผู้ที่ไม่ชอบกรุณาเลื่อนผ่านได้เลยค่ะ ไม่ว่ากัน
(ปล. การเขียนคอมเม้นท์โปรดใช้มารยาทและคำพูดสุภาพนะคะ)
.
#คำเตือน
นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนเพียงผู้เดียว ไม่อนุญาตให้คัดลอกหรือลอกเลียนเนื้อหา
หากกระทำการดั่งที่กล่าว มีความผิดทางกฏหมาย
.
เปิดเรื่องวันที่ 16 เริ่มอัพวันที่ 17 ก.ค. 68
ฝากติดตามผลงานเรื่องใหม่กันด้วยนะคะ _
ตัวละคร
นิยายเรื่องนี้ ตัวละครเยอะแบบเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวมีเวลาจะทำมายแมปฯ มาให้ทุกคนใช้ประกอบการอ่านนะ ส่วนตอนนี้โฟกัสที่ตัวหลักก็พอ
กู้ซีหลิง :
บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลกู้ หลังจากบิดามารดาเสียชีวิต นางก็กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติผู้ใหญ่ดูแล ในมือมีทรัพย์สินมหาศาล
ฟู่จางหมิง :
บัณฑิตฐานะยากจน หน้าตาหล่อเหลา มีนิสัยค่อนข้้างเย่อหยิ่งและเป็นคนสุขุมเย็นชา ชาติก่อนเป็นสามีของกู้ซีหลิง
เจิ้งอวี้เฉิน :
บุตรชายคนที่สี่ของตระกูลเจิ้ง มีศักดิ์เป็นท่านอาของกู้ซีหลิง ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีซ้าย มีอำนาจในมือและได้รับความไว้ใจจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
(ที่เหลือเดี๋ยวมาต่อ)
จุดสิ้นสุดคือการกลับไปเริ่มต้นใหม่
ประกาศ : จะเริ่มติดเหรียญรายตอนเล่ม 1 วันที่ 24 .8.68 เวลา 12.00น.
หากนักอ่านสายฟรีท่านใดยังอ่านไม่จบ รีบเลยจ้า
มาเริ่ม…
ฟู่จางหมิง คือ สามีที่กู้ซีหลิงเป็นคนเลือกเอง แม้ว่าตอนนั้นเขาจะเป็นเพียงบัณฑิตที่มีฐานะยากจน ในครอบครัวมีบิดามารดาและน้องอีกสามคนให้ต้องเลี้ยงดู แต่กู้ซีหลิงกลับไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะตัวนางมีทรัพย์สมบัติติดตัวอยู่ไม่น้อย
หลังแต่งงานเข้าตระกูลฟู่นางจึงหอบทรัพย์สินทั้งหมดไปเลี้ยงดูคนในครอบครัวของสามี ทำให้พวกเขาได้เสวยสุขไม่ต้องลำบากอดมื้อกินมื้ออีกต่อไป ส่วนฟู่จางหมิงสามีผู้หล่อเหลาของนางผู้นั้น กู้ซีหลิงก็ส่งเขาไปเล่าเรียน จนกระทั่งผ่านไปหลายปีหลังการสอบหน้าพระที่นั่งเสร็จสิ้น ฟู่จางหมิงก็คว้าตำแหน่งทั่นฮวามาครอบครองได้อย่างที่ทุกคนวาดหวัง
แต่กู้ซีหลิงไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากฟู่จางหมิงร่ำเรียนเสร็จได้เป็นขุนนาง ชีวิตของนางจะต้องเผชิญกับเรื่องราวที่แสนระทมทุกข์มากมายถึงเพียงนี้
ในอารามเก่าๆ ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายของบรรดาสตรีที่มีความผิดและถูกขับออกจากตระกูล กู้ซีหลิงอาศัยอยู่ที่นี่ได้นานเกือบสี่เดือนแล้ว และแม้ว่านางจะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ด้วยความต้องการจะกลับไปแก้แค้นและเปิดโปงโฉมหน้าของชายชั่วผู้นั้น แต่ร่างกายที่อ่อนแอของนางกลับไม่ให้ความร่วมมือเลย
นับตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ร่างกายที่เคยแข็งแรงของกู้ซีหลิงก็เริ่มเจ็บป่วย แล้วค่อยๆ ทรุดหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยฝีมือของบุรุษที่นางเคยรักสุดหัวใจ แต่เวลานั้นนางไม่เคยรู้ จนกระทั่งเมื่อหกเดือนก่อน กู้ซีหลิงก็ได้รับรู้เรื่องที่น่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งที่ไม่คาดฝัน
ฟู่จางหมิง สามีที่นางแสนจะเทิดทูนผู้นั้นเป็นชู้กับจางซื่อ ภรรยาของฟู่เหลียงเอ้อ สตรีผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของตัวเองมาตลอด โดยที่คนในครอบครัวฟู่ล้วนรับรู้และฟู่เหลียงเอ้อที่มีร่างกายพิการก็รับรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ความจริงที่แสนจะโหดร้ายนี้ทำให้กู้ซีหลิงตรอมใจเพราะไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องโสมมเช่นนี้ได้
แล้วกู้ซีหลิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากที่นางแต่งเข้าตระกูลฟู่มาได้ไม่นาน ฟู่เหลียงเอ้อก็ตบแต่งกับจางซื่อเข้ามาด้วยเงินสินสอดสามสิบตำลึงที่ได้มาจากกู้ซีหลิง
หลังแต่งงาน ผ่านไปไม่ถึงครึ่งปี ในขณะที่กู้ซีหลิงกับฟู่จางหมิงมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันเพียงไม่กี่ครั้ง จางซื่อกลับตั้งครรภ์บุตรคนแรกให้ฟู่เหลียงเอ้อแล้ว กู้หลิงซีจำได้ดีว่าเวลานั้นฟู่จางหมิงกับคนในครอบครัวฟู่ยังช่วยกันปลอบใจนางไม่ให้คิดมากและยังบอกกับนางอีกด้วยว่า เรื่องทายาทสืบสกุลนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องเร่งรีบ เพราะเวลานี้การเรียนของฟู่จางหมิงนั้นสำคัญกว่า
ด้วยเหตุนี้แม้จะผ่านไปหลายปี จางซื่อตั้งครรภ์สี่ครั้งแล้ว แต่ทุกคนในครอบครัวฟู่กลับยังคงเข้าอกเข้าใจ ไม่มีใครเร่งรัดเรื่องการตั้งครรภ์กับกู้ซีหลิง กู้ซีหลิงที่มักจะแอบโทษตัวเองที่ยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เสียที จึงยิ่งซาบซึ้งและดีกับคนในครอบครัวฟู่มากยิ่งกว่าเดิม จนตอนหลังแทบจะประเคนทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนางให้พวกเขาเลยด้วยซ้ำ
แต่กู้ซีหลิงกลับไม่เคยคิดเลยว่าความเข้าอกเข้าใจที่นางได้รับจากคนในครอบครัวฟู่นั้นแท้จริงแล้วกลับไม่เคยมีอยู่จริงเลย พวกเขาล้วนหลอกลวงนางมาตลอด โดยเฉพาะฟู่จางหมิงสามีที่กู้หลิงซีลุ่มหลงและทุ่มเทให้เขาจนหมดตัวและหัวใจผู้นั้น
ที่ผ่านมากู้ซีหลิงเคยเข้าใจว่าเป็นเพราะฟู่จางหมิงมีนิสัยเย็นชาเขาจึงมักจะเย็นชาใส่นาง แต่ตอนหลังเมื่อเห็นเขาทะนุถนอมจางซื่อสุดใจ กู้ซีหลิงก็พลันตาสว่าง
ที่แท้เป็นเพราะฟู่จางหมิงไม่เคยรักนาง เขาจึงเย็นชาใส่นาง แล้วที่เขาอดทนใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยากับนางมาได้นานหลายปี นั่นก็เป็นเพราะเขาต้องการอาศัยทรัพย์สมบัติของนางจุนเจือครอบครัวและปูเส้นทางขุนนางให้กับเขาเท่านั้น
หลังฟู่จางหมิงได้กลายเป็นขุนนางสมความตั้งใจของเขา กู้ซีหลิงจึงไม่จำเป็นต่อชีวิตของเขาและคนครอบครัวฟู่อีกต่อไป
ในวันที่เขาจับได้ว่าฟู่จางหมิงเป็นชู้กับจางซื่อ กู้ซีหลิงจำได้ดีว่านางกำลังป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นอยู่บนเตียง
แต่ตอนที่ลืมตาขึ้นมากลับได้พบเห็นภาพโสมมอย่างไม่คาดคิด สามีของนางกับคนที่นางคิดมาตลอดว่าน้องสะใภ้คนนั้น กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ในห้องเดียวกัน ราวกับไม่สนใจว่าจะถูกนางจับได้ กู้ซีหลิงจึงถูกทำให้ตกใจและโมโหจึงหมดสติไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นกู้ซีหลิงก็ได้รู้ความจริงจากปากของคนที่นางคิดคิดว่าเป็นคนในครอบครัวมาตลอดว่า แท้จริงแล้วจางซื่อหรือก็คือจางเถียนที่แต่งให้ฟู่เหลียงเอ้อนั้น เป็นเพียงภรรยาในนามของฟู่เหลียงเอ้อเท่านั้น ส่วนบนเตียงนางเป็นภรรยาลับของฟู่จาง
หมิงมาโดยตลอดและเด็กสี่คนนั้นก็คือลูกของพวกเขา
กู้ซีหลิงถูกความจริงที่ทุกคนปิดบังเอาไว้ตีแสกหน้า นางจึงทั้งโกรธและแค้นพวกเขาจนนึกอยากฆ่าทุกคนที่หลอกลวงนางมาหลายปีให้ตายไปให้เสียให้หมด แต่จนใจที่ร่างกายของกู้ซีหลิงกำลังป่วยหนักจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง
กู้ซีหลิงจึงทำได้เพียงนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจและเจ็บแค้น
หลังเรื่องราวความโสมมในครอบครัวฟู่ถูกเปิดเผยให้กู้ซีหลิงได้รับรู้ ฟู่จางหมิงก็อาศัยเหตุผลที่นางแต่งเข้ามาในตระกูลนานหลายปีแต่กลับไร้ทายาทหย่าขาดกับกู้หลิงซี ก่อนจะขับนางออกจากจวนที่นางเป็นคนซื้อ ส่งไปอยู่ในอาราม
ชีอันห่างไกล ด้วยความซาบซึ้งใจที่ช่วยให้ครอบครัวของพวกเขาได้ลืมตาอ้าปากกลายเป็นชนชั้นขุนนาง
กู้ซีหลิงที่ป่วยหนักจึงถูกทิ้งเอาไว้ในอารามชีพร้อมกับเงินหนึ่งตำลึงที่ครอบครัวฟู่มอบเอาไว้ก่อนจะจากไป นับจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีใครมาเหลียวแลนางอีก
อารามชีเจิ้ง เป็นอารามของแม่ชีในพุทธศาสนา แม่ชีทุกคนล้วนโกนผมจนหัวโล้น สตรีที่ถูกส่งมารับโทษที่นี่จึงถูกจับโกนผมไปด้วย กู้ซีหลิงจึงไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในตอนที่ถูกจับโกนผมด้วยความไม่ยินยอม กู้ซีหลิงนึกแค้นใจและเสียใจยิ่งนักที่ชีวิตนี้นางโง่เขลา ใจมืดบอดมองไม่เห็นความจริงจนถูกผู้อื่นหลอกลวงมานานหลายปี ในวันที่ได้รู้ความจริงทุกอย่างก็สายเกินไปจนไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
ผ่านไปนานหลายเดือน กู้ซีหลิงนอนรอความตายอยู่ในห้องแคบ ๆ ด้วยสภาพที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้มีเพียงพระธรรมคำสอนและเสียงบทสวดที่พอจะปลอบประโลมจิตใจของนาง
แล้วในตอนที่กู้ซีหลิงใกล้จะตาย ดวงตาของนางก็ได้เห็นถึงหนทางสว่าง จิตใจจึงไม่ได้ถูกทรมานเพราะเรื่องราวความโง่เขลาที่ผ่านมาของตนอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าในใจของนางจะยังคงแค้นเคืองคนเหล่านั้น แต่กู้ซีหลิงกลับกระจ่างแจ้งแล้วว่าการติดอยู่ในบ่วงแค้นกลับมิใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ การปล่อยวางด้วยจิตใจอันเมตตาต่างหากถึงจะสามารถช่วยให้นางจากโลกนี้ไปได้อย่างสงบ
ด้วยเหตุนี้ในจิตสำนึกเสี้ยวสุดท้ายของกู้ซีหลิงจึงพานางย้อนกลับไปคิดถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางประสบพบเจอกับเรื่องราวการหลอกลวง สถานที่ซึ่งกลายเป็นสาเหตุให้นางทุกข์ในภายหลัง แล้วกู้ซีหลิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่นางได้เจอฟู่จางหมิงครั้งแรกนั้น นางเพิ่งมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปีเท่านั้น
เรือนคหบดีตระกูลกู้ เมืองเฉียน
หลังฝนตกหนักไประลอกหนึ่ง ใบไม้หน้าเรือนก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำจนใบมันวาววับแล้วสะท้อนแสงที่เพิ่งลอดก้อนเมฆส่องลงมาจนเกิดประกายระยิบระยับ
“คุณหนู บ่าวไปเติมน้ำอุ่นให้นะเจ้าคะ”
ในเรือนของกู้ซีหลิงบุตรสาวเพียงคนเดียวของคหบดีกู้ กู้ซีหลิงกำลังนอนพิงหมอนหนุนใบใหญ่ด้วยสภาพอิดโรยเพราะป่วยหนักมาหลายวัน บนร่างที่สวมเพียงเสื้อตัวในบางเบามีผ้าห่มผืนนุ่มผืนใหญ่คลุมเอาไว้ ผมยาวดำสลวยของนางถูกปล่อยสลายไปกับพื้น ใบหน้างดงามขาวซีดอย่างอ่อนแรงกำลังหลับตาอิงอยู่บนหมอน
“อืม”
เสียงตอบรับเบาๆ ดังขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวไร้การขยับ สาวใช้ที่รอรับคำสั่งอยู่จึงถือถาดเดินออกจากห้องไป
ในห้องนอนกว้างจึงเหลือเพียงโฉมงามเยาว์วัยที่กำลังนอนแต่ไม่ได้หลับอยู่เพียงลำพัง
14 วันแล้ว
กู้ซีหลิงพบว่านางย้อนกลับมายังช่วยวัยสิบสี่ของตนเองได้สิบสี่วันแล้ว กลับมายังช่วงเวลาที่บิดามารดาเพิ่งเสียชีวิตและทิ้งนางเอาไว้เผชิญกับชะตากรรมบนโลกใบนี้เพียงลำพัง แม้ว่าพวกเขาจะทิ้งทรัพย์สินก้อนใหญ่เอาไว้ให้
กู้ซีหลิง แต่นางกลับไม่มีที่พึ่งพิงอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้กู้ซีหลิงในวัยสิบสี่จึงเคว้งคว้างเป็นอย่างยิ่ง นั่นทำให้หลังบิดามารดาจากไป นางจึงล้มป่วยนานถึงครึ่งเดือน แล้วก็เป็นช่วงเวลานี้ที่กู้ซีหลิงพบว่านางได้ย้อนกลับมาอย่างปาฏิหาริย์เพื่อเริ่มต้นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตากลมคู่งามพลันลืมขึ้นมามองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างเงียบๆ ในขณะที่ความคิดของ
กู้ซีหลิงกำลังล่องลอยออกไป นางกำลังคิดไปถึงเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้เจอกับฟู่จางหมิง
กู้ซีหลิงจำได้ว่าหลังจากหายป่วยได้เพียงไม่กี่วัน นางก็เดินทางออกไปไหว้พระนอกเมืองเพื่อทำบุญให้กับบิดามารดา
ที่ล่วงลับ ระหว่างทางขากลับคนขับรถม้าของนางไม่ทันระวังจึงขับไปเฉี่ยวชนคนข้างถนนเข้า นั่นทำให้นางได้พบฟู่จางหมิงแล้วตกหลุมรักบัณฑิตยากจนผู้นั้น
หากไม่คิดถึงเรื่องราวที่ถูกหลอกลวงในตอนหลัง อันที่จริงแล้วการพบกันครั้งแรกของนางกับฟู่จางหมิง เป็นภาพจำที่งดงามในความทรงจำของกู้ซีหลิงมาตลอด แล้วก็เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้นางเชื่อมั่นอย่างผิดๆ ว่าฟู่จางหมิงรู้สึกกับนางไม่ต่างจากที่นางรู้สึกกับเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เคยผ่านพ้นไปแล้วหนหนึ่ง กู้ซีหลิงก็เหยียดยิ้มออกมาเยาะเย้ยตนเอง ในใจของนางยังคงเจ็บปวดกับความโง่งมของตน
ใครชอบ กดหัวใจและกดติดตามเอาไว้เลยนะ
คนในจวนที่ต้องระวัง
ประกาศ : จะเริ่มติดเหรียญรายตอนเล่ม 1 วันที่ 24 .8.68 เวลา 12.00น.
หากนักอ่านสายฟรีท่านใดยังอ่านไม่จบ รีบเลยจ้า
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เคยผ่านพ้นไปแล้วหนหนึ่ง กู้ซีหลิงก็เหยียดยิ้มออกมาเยาะเย้ยตนเอง ในใจของนางยังคงเจ็บปวดกับความโง่งมของตน
ชาติก่อนหลังบิดามารดาสิ้นใจ ตระกูลกู้ในเมืองเฉียนก็เหลือเพียงนางคนเดียว บวกกับไม่มีญาติที่ไหนให้ความช่วยเหลือ กู้ซีหลิงจึงจำต้องก้าวขึ้นมาตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง
เพียงแต่นางในวัยสิบสี่นั้นยังเด็กยิ่งนัก กว่าจะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จนแข็งแกร่งมากพอจะเผชิญทุกเรื่องได้ กิจการในมือของนางก็ถูกผู้อื่นหลอกเอาไปมากกว่าครึ่งแล้ว ตอนที่นางตัดสินใจแต่งงานกับฟู่จางหมิง ทรัพย์สินในมือของกู้ซีหลิงจึงเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
แต่ถึงจะเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ทรัพย์สินในมือของกู้ซีหลิงก็ยังนับว่ามีมากมายจนนางคนเดียวยากจะใช้ได้หมดในชาตินี้ ต่อมาเมื่อมีคนในครอบครัวฟู่มาช่วยนางใช้ พวกมันถึงได้ลดลงอย่างรวดเร็ว แล้วภายหลังฟู่จางหมิงไม่ต้องการให้นางทำอาชีพค้าขาย ทรัพย์สินของกู้ซีหลิงถึงได้ค่อยๆ หร่อยหรอแล้วหมดไป
แน่นอนว่าในเวลานั้นกู้ซีหลิงยินดีที่จะหยิบยื่นให้ทุกคนในครอบครัวของฟู่จางหมิงอย่างเต็มใจ เงินทองของนางจึงถูกทยอยมอบออกไปให้พวกเขาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็แทบจะหมดสิ้น แล้วในตอนที่นางกำลังทุกข์ใจเรื่องเงินทอง กู้ซีหลิงก็ล้มป่วย
ชาติก่อนนางโง่งมมากเกินไปจริงๆ เรื่องนี้กูซีหลิงยอมรับ ชาตินี้นางจึงไม่มีทางยอมเดินซ้ำไปบนเส้นทางสายเดิมให้คนในตระกูลฟู่หลอกลวงอีก ด้วยเหตุนี้หลังอาการป่วยเริ่มดีขึ้น กู้ซีหลิงจึงเริ่มคิดถึงหนทางต่อจากนี้ของตัวเองอย่างจริงจัง
สองวันต่อมา อาการของกู้ซีหลิงดีขึ้นจนใกล้จะหายแล้ว นางจึงตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาเรียกจางมามา ชิงหวั่นและ
ชิงจิ่ว หลังล้างหน้าสวมอาภรณ์สีเข้มที่แสนเรียบง่ายแล้ว กู้ซีหลิงก็เดินออกเรือนไปยังห้องหนังสือของบิดา
“คุณหนูไม่ทานมื้อเช้าก่อนรึเจ้าคะ”
จางมามาเอ่ยถามกู้ซีหลิงด้วยความเป็นห่วง
“ยกไปที่ห้องหนังสือของท่านพ่อเถอะ”
กู้ซีหลิงตอบจางมามาแล้วเดินตรงไปยังห้องหนังสือของบิดาพร้อมกับชิงจิ่วและชิงหวั่น เมื่อเข้าไปในห้องนางก็สั่งให้สาวใช้ทั้งสองเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ
“พวกเจ้าช่วยข้าหยิบสมุดบัญชีทั้งหมดออกมาที”
นั่งลงบนเก้าอี้ของบิดา กู้ซีหลิงก็หันไปสั่งชิงจิ่วและชิงหวั่นที่กำลังงุนงง เพราะไม่เข้าใจว่าคุณหนูของพวกนางต้องการทำสิ่งใด แต่ก็ยอมเดินไปช่วยขนย้ายกองสมุดบัญชีมาวางบนโต๊ะ
กู้ซีหลิงหยิบสมุดบัญชีออกมาเปิดดูทีละเล่ม แล้วกวาดสายตาอย่างรวดเร็วมองหาสิ่งที่ต้องการ หลังจากนั้นก็นำไปวางแยกเอาไว้เป็นสองส่วน
“อาหารเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
กู้ซีหลิงเพิ่งเปิดไปได้สามเล่ม จางมามาก็ให้สาวใช้ในเรือนยกอาหารเข้ามาในห้อง กู้ซีหลิงจึงวางสมุดในมือแล้วหันไปกินมื้อเช้าอย่างรวดเร็วแทน
“คุณหนูทานช้าๆ เจ้าค่ะ เดี๋ยวจะสำลัก”
ถึงกู้ชิงบิดาของกู้ซีหลิงจะเป็นเด็กกำพร้ามีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวนายพรานแต่ด้วยพรสวรรค์ในการค้าขาย หลังออกเดินทางไปทั่วแคว้นเขาก็ใช้ความสามารถของตนสร้างฐานะให้ตนเองเป็นคนร่ำรวยขึ้นมาได้ในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี กลายเป็นหนึ่งในคหบดีผู้มั่งคั่งของเมืองเฉียนที่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
ด้วยฐานะทางการเงินอันมั่งคั่ง กู้ซีหลิงผู้ซึ่งเป็นบุตรคนเดียวจึงถูกกูชิงและภรรยาเลี้ยงดูปูเสื่อราวกับคุณหนู
ในจวนใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆ หน้าหลังล้วนมีคนคอยรับใช้ไม่เคยห่างมาตั้งแต่เล็ก
ด้วยเหตุนี้นอกจากใช้ชีวิตกินนอนราวกับคุณหนูแล้ว ตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมากู้ซีหลิงก็แทบไม่เคยหยิบจับทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน ยังดีที่กู้ชิงเห็นถึงความสำคัญของการอ่านออกเขียนได้ กู้ซีหลิงจึงได้ร่ำเรียนเขียนอ่านมาบ้าง
แต่ด้วยทักษะการเขียนอ่านเพียงแค่นั้น แน่นอนว่ากู้ซีหลิงไม่มีทางดูแลทรัพย์สินที่กู้ชิงทิ้งเอาให้ได้ทั้งหมด
แล้วกว่านางจะมีความสามารถมากพอมาดูแลทรัพย์สินเหล่านั้น พวกมันก็ถูกอื่นแย่งชิงและยักยอกหายไปมากกว่าครึ่ง
ในเวลานี้กู้ซีหลิงที่กำลังกินมื้อเช้าไปเปิดสมุดบัญชีไปจึงกลายเป็นภาพแปลกประหลาดที่จางมามา ชิงหวั่นและชิงจิ่วไม่มีทางเข้าใจ
“คุณหนูทานข้าวก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
จางมามาเอ่ยอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง กู้ซีหลิงที่กำลังกินไปเปิดสมุดบัญชีไปเป็นภาพที่ไม่น่ามองนักในสายตาของจางมามา แต่จะให้ต่อว่าและตักเตือนอีกฝ่ายว่าทำเช่นนี้ไม่สมควร จางมามาก็พูดไม่ออก เพราะในใจของนางสงสารคุณหนูที่ถูกนายท่านและฮูหยินทอดทิ้งเอาไว้เพียงลำพังเหลือเกิน
“อืม ข้าอิ่มแล้ว ยกออกไปเถอะ”
กินได้ไม่กี่คำ กู้ซีหลิงก็วางตะเกียบอย่างไม่ใส่ใจ
“อิ่มแล้ว ท่านเพิ่งทานไปแค่ไม่กี่คำเองนะเจ้าคะ”
“เปลี่ยนเป็นน้ำแกงไก่ตุ๋นมาให้ข้าเถอะ”
กูซีหลิงเหลือบมองจางมามาแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะย้ายสายตากลับมากวาดมองสมุดบัญชีในมือต่ออีกครั้ง
ได้ยินเช่นนี้จางมามาจึงหันไปสั่งให้สาวใช้ยกถาดอาหารออกไป ก่อนจะสั่งให้ชิงจิ่วไปบอกพ่อครัวตุ๋นน้ำแกงไก่มาถ้วยหนึ่ง
“คุณหนูบ่าวรู้นะเจ้าคะว่าท่านคิดถึงนายท่านและฮูหยิน แต่สมุดบัญชีพวกนี้… ให้พ่อบ้านกับท่านลิ่วจัดการไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
หันมามองกู้ซีหลิงที่กำลังจดจ่อกับเล่มสมุดบัญชี จางมามาที่คอยเลี้ยงดูกู้ซีหลิงมาอย่างทะนุถนอมก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เพราะนางคิดว่ากู้ซีหลิงเพียงมาเปิดพวกมันดูเพราะคิดถึงนายท่านเท่านั้น อีกอย่างคุณหนูของนางเคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้เสียที่ไหน ดังนั้นจางมามาจึงคิดว่าถึงกู้ซีหลิงดูไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
“พ่อบ้าน..กับท่านลิ่วงั้นรึ”
กู้ซีหลิงชะงัก ความจดจ่อของนางหยุดลงเมื่อได้ยินคำพูดของจางมามา แล้วกู้ซีหลิงก็คิดไปถึงพ่อบ้านวัยห้าสิบปีกับท่านลิ่วผู้ดูแลห้องบัญชีในเรือนผู้นั้นขึ้นมา
“เจ้าค่ะ งานพวกนี้ให้พ่อบ้านกับท่านลิ่วจัดการดีกว่า คุณหนูดูไปก็เสียสายตาเปล่าๆ”
จางมามาพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าคำพูดของนางเตือนให้กู้ซีหลิงได้สติขึ้นมา ในใจของจางมามาเจ็บปวดยิ่งนักที่อยู่ ๆ เช้าวันนี้คุณหนูที่ไม่เคยทำอะไรของนางก็ลุกขึ้นมาหยิบสมุดบัญชีเปิดออกดู
“จางมามาไม่พูดข้าก็คล้ายจะลืมพวกเขาไปแล้วจริงๆ”
กู้ซีหลิงยิ้มออกมาบางๆ จนไม่แน่ชัดว่าโล่งใจเพราะรับฟังคำพูดของจางมามาหรือกำลังยิ้มหยันเมื่อได้ยินชื่อคนที่นางคล้ายจะหลงลืมไป
พ่อบ้านกู้? กับท่านลิ่ว ผู้ดูแลบัญชีของจวน?
เฮ้อ เหตุใดนางถึงลืมคิดถึงคนสองผู้นี้ไปนะ
แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็กู้ซีหลิงก็พลันเลือนหาย ดวงตากลมที่เหลือบมามองอีกครั้งพลันปรากฏความจริงจังอย่างที่จางมามาไม่เคยเห็น สาวใช้วัยสามสิบหกปีจึงอดตะลึงไม่ได้
“ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็รอให้ท่านพ่อบ้านและท่านลิ่วมาดูสมุดบัญชีพวกนี้ในภายหลังเถอะ ตอนนี้ข้าเพียงเอามาดูผ่านๆ เพราะคิดถึงบิดาเท่านั้นจางมามาอย่าได้ห่วงไปเลย ท่านไปพักเถอะ วันก่อนฝนตกขาของท่านปวดอีกแล้วกระมัง”
กู้ซีหลิงพูดด้วยความเป็นห่วง จางมามาจึงยิ้มด้วยความดีใจที่คุณหนูไม่เคยลืมเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้จางมามาจึงกลับไปพักด้วยความปลื้มใจ
“ชิงหวั่นเจ้าไปเรียกเสี่ยวหานมาพบข้าหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
หลังจางมามาออกไปได้ไม่นาน กู้ซีหลิงก็หันไปสั่งชิงหวั่นที่ยืนเงียบอยู่ข้างกาย ชิงหวั่นจึงมองคุณหนูของนางด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไปอีกคน ในห้องจึงเหลือเพียงกู้ซีหลิงนั่งอยู่เพียงคนเดียว
ผ่านไปไม่ถึงเค่อชิงจิ่วก็ยกถ้วยน้ำแกงไก่ตุ๋นเข้ามา ในระหว่างที่กู้ซีหลิงกำลังดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นชิงหวั่นก็กลับมาถึงห้องหนังสือพร้อมกับเสี่ยวหาน บ่าวดูแลโรงม้า เด็กกำพร้าที่บิดาของนางเก็บข้างทางมาเลี้ยง
“คุณหนู เรียกพบบ่าวหรือขอรับ”
“ใช่ เจ้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ”
กู้ซีหลิงกวักมือเรียกเสี่ยวหานที่มีอายุมากกว่านางสองปีให้ขยับมาใกล้มากกว่าเดิม ก่อนจะสั่งให้เขาไปเรียกเถ้าแก่หยวนมาพบนาง แล้วกำชับให้พามาเงียบๆ อย่าได้ให้ผู้อื่นพบเห็น
นอกจากพ่อบ้านกู้และท่านลิ่วคนดูแลห้องบัญชีของจวนแล้ว เถ้าแก่หยวนคือคนสนิทอีกคนของกู้ชิงที่ไม่ได้ทรยศกู้ซีหลิงในภายหลัง กู้ซีหลิงจึงให้เสี่ยวหยวนไปเรียกเถ้าแก่หยวนมาพบนางเพื่อจัดการทรัพย์สินต่างๆ ก่อนที่คนในจวนจะไหวตัวทัน
ชาติก่อนกู้ซีหลิงจำได้ไม่มีทางลืม ว่าบรรดาคนรับใช้ในจวนเหล่านั้นที่นางไว้ใจ มีใครบ้างที่หลอกลวงเอาทรัพย์สินของนางไป ย้อนกลับมาอีกครั้งในชาตินี้กู้ซีหลิงจึงต้องการจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของนางออกไปก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงจำต้องทำเงียบๆ
กดหัวใจให้หน่อยค่ะ ขอบคุณณณณณณณณณณณณค่ะ