โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

SMEs-การเกษตร

นวัตกรรมสกัดน้ำมันหอมระเหย เพิ่มมูลค่าสมุนไพรชุมชน

เทคโนโลยีชาวบ้าน

อัพเดต 23 ธ.ค. 2564 เวลา 06.32 น. • เผยแพร่ 23 ธ.ค. 2564 เวลา 04.23 น.

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชนานาชนิดทั้งไม้ดอกไม้ประดับ พืชสมุนไพรจำนวนมากที่เป็นทั้งพืชอาหารและยา พืชหลายชนิดมีน้ำมันหอมระเหยสะสมอยู่ในผนังเซลล์ เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเจริญเติบโตของพืชและเป็นระบบป้องกันตัวเองของพืชเพื่อรักษาแผลและป้องกันการระเหยของน้ำ รวมทั้งใช้กลิ่นไล่แมลงศัตรูพืชและล่อแมลงมาช่วยผสมเกสร   

น้ำมันหอมระเหยอาจจะอยู่ภายในส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช เช่น ราก ใบ ดอก เปลือก หรือเมล็ดก็ได้ ตัวอย่างพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย เช่น ดอก – ดอกกุหลาบ มะลิ ดอกส้ม กระดังงา กานพลู ราก – รากขิง กระชาย แฝกหอม ผลและเมล็ด – ผักชี ยี่หร่า กระวาน จันทร์เทศ ใบ – มะนาว ตะไคร้หอม ตะไคร้ ยูคาลิปตัส เนื้อไม้และเปลือกไม้ – อบเชย สน เรซิ่น (ใช้ผลิตธูปหรือเครื่องหอม) กำยาน ยางไม้หอมต่างๆ เปลือกผลไม้ – ส้ม มะนาว มะกรูด ซึ่งน้ำมันหอมระเหยและกลิ่นหอมเหล่านี้ ถูกเรียกรวมกันว่า “เครื่องหอม” เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยในพืชมีปริมาณน้อย ดังนั้น ราคาซื้อขายของน้ำมันหอมระเหยจึงค่อนข้างสูง

ปัจจุบันน้ำมันหอมระเหยจากพืชเหล่านี้ เป็นที่ต้องการสูงในอุตสาหกรรมน้ำหอม ใช้เป็นสารแต่งกลิ่นในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อแต่งกลิ่นสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค ในแต่ละปี ประเทศไทยต้องนำเข้าเครื่องหอมจากต่างประเทศเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท และตัวเลขการนำเข้าเครื่องหอมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สร้างมูลค่าสมุนไพรชุมชน      

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เล็งเห็นคุณประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหย จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้ ผศ.จีระศักดิ์ เพียรเจริญ และ รศ.ดร.จารุวัฒน์ เจริญจิต จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มทร.ศรีวิชัย) พัฒนานวัตกรรมเครื่องสกัดน้ำมันหอมระเหย พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวสู่ชาวบ้าน

วช. และ กอ.รมน. คาดหวังว่า หลังจากชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นได้รับการถ่ายทอดนวัตกรรมเครื่องสกัดน้ำมันหอมระเหยไปแล้ว จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร โดยเฉพาะพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด ขิง กะเพรา กระชาย ขมิ้น ฯลฯ สร้างและยกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP ชุมชน ในรูปแบบต่างๆ เช่น พืชสมุนไพร สารป้องกันแมลงศัตรูพืช ช่วยสร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนให้ชุมชนเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ตามนโยบายรัฐบาลแล้ว ยังเป็นแหล่งวัตถุดิบป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องหอม อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ ลดการนำเข้าเครื่องหอมจากต่างประเทศ พร้อมกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต

ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ชาวสระบุรี

ที่ผ่านมา ผศ.จีระศักดิ์ เพียรเจริญ และ รศ.ดร.จารุวัฒน์ เจริญจิต อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มทร.ศรีวิชัย) ได้ลงพื้นที่ถ่ายทอดนวัตกรรมเครื่องสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยน้ำและไอน้ำ ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลบ้านลำ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี

นวัตกรรมการกลั่นด้วยน้ำและไอน้ำ (Water and Steam distillation) เป็นเทคโนโลยีสกัดน้ำมันหอมระเหยที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในการผลิตน้ำมันหอมระเหยเชิงการค้า สำหรับการสกัดน้ำหอมระเหยวิธีนี้ ใช้ตะแกรงกรองที่จะกลั่น ให้เหนือระดับน้ำในหม้อกลั่น ต้มให้เดือด ไอน้ำจะลอยตัวขึ้นไปผ่านพืชที่จะกลั่น ส่วนน้ำจะไม่ถูกกับตัวอย่างเลย ไอน้ำจากน้ำเดือด เป็นไอน้ำที่อิ่มตัว หรือเรียกว่า ไม่ร้อน นับเป็นการสกัดกลิ่นที่สะดวกที่สุด คุณภาพของน้ำมันออกมาดีกว่าวิธีการกลั่นด้วยน้ำร้อน (Water distillation & Hydro-distillation)

วิธีสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยน้ำและไอน้ำ

สำหรับนวัตกรรมเครื่องสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยใช้น้ำและไอน้ำของ มทร.ศรีวิชัย มีจุดเด่นสำคัญคือ สามารถใช้กับวัตถุดิบได้หลากหลายประเภทกว่าวิธีอื่นและมีประสิทธิภาพสูง ใช้เทคนิคการผลิตที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ชาวบ้านในชุมชนสามารถใช้งานได้สะดวก ทีมนักวิจัย มทร.ศรีวิชัยได้แนะนำให้ชาวบ้านนำองค์ความรู้นี้ไปใช้ สกัดพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในชุมชน เช่น ใบมะกรูด ผลมะกรูด และตะไคร้หอม

ผศ.จีระศักดิ์ เพียรเจริญ เล่าถึงกลไกของเครื่องสกัดน้ำมันหอมระเหยว่า ภายในถังต้มหรือหม้อกลั่นจะมีตะแกรงสำหรับใส่วัตถุดิบสมุนไพรปริมาณครั้งละ 5 กิโลกรัม ไว้เหนือระดับน้ำ จากนั้นจึงปิดฝาและล็อกให้สนิท ทำการเติมน้ำสะอาดปริมาณ 20-25 ลิตร เข้าไปในถัง โดยการใส่ให้เหนือระดับฮีตเตอร์เพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ให้ความร้อน ด้วยกำลังไฟ 3,500 วัตต์

เมื่อน้ำเดือดจนกลายเป็นไอน้ำที่อิ่มตัวหรือไอเปียก ใช้เวลา 40 นาที ไอน้ำจะลอยไปสัมผัสกับวัตถุดิบซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำร้อน ไอน้ำจะไปละลายสารเคมีและน้ำมันที่อยู่ที่วัตถุดิบ จนลอยไปปะปนกับไอน้ำ และเข้าไปยังถังคอนเดน ไอน้ำภายในท่อจะสัมผัสกับน้ำหล่อเย็น ที่มีการควบคุมอุณหภูมิน้ำให้อยู่ที่ประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิปกติ ทำให้ไอน้ำเปลี่ยนสภาพกลายเป็นของเหลว ซึ่งมีน้ำและน้ำมันปะปนมาด้วย

การกลั่นใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จนได้เป็นน้ำกลั่น หรือน้ำที่มีการแยกเป็น 2 ส่วน คือ น้ำมันจากสมุนไพรที่ลอยอยู่ด้านบน และน้ำจากการกลั่นที่อยู่ด้านใต้ ได้ปริมาณน้ำมัน 30-50 ซีซี สามารถนำน้ำทั้ง 2 ส่วน มาแยกออกจากกันด้วยวิธีการค่อยๆ เทออกมานั่นเอง ทั้งนี้ ปริมาณน้ำมันจากการสกัดจากพืชแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดสมุนไพรและอุณหภูมิน้ำที่มีการควบคุมไว้ การกลั่นโดยวิธีนี้พืชที่กลั่นจะไม่สัมผัสกับความร้อนโดยตรง ทำให้น้ำมันหอมระเหยมีคุณภาพสูง

อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยกำลังพัฒนามาตรฐานน้ำมันหอมระเหย และเรียนรู้การสร้างผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากแพทย์แผนไทย เพื่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น สเปรย์ฉีดกันยุง สเปรย์ปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ลดกลิ่นอับ หรือแม้แต่สเปรย์ที่สามารถหยดลงไปในอาหารได้ โดยองค์ความรู้เหล่านี้จะนำไปถ่ายทอดแก่ชุมชน เพื่อพัฒนาเป็นสินค้า OTOP สร้างอาชีพและรายได้ให้กับชุมชนต่อไป

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...