โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

Thaiware

อัพเดต 02 ส.ค. 2567 เวลา 02.00 น. • เผยแพร่ 02 ส.ค. 2567 เวลา 02.00 น. • Cocothedog
Cluster Computing คืออะไร ? รู้จักกับคลัสเตอร์คอมพิวติ้ง ทั้งความหมายความเป็นมา, หลักการทำงาน, สถาปัตยกรรม, ประเภท, ประโยชน์ และการใช้งานของมัน

Cluster Computing คิออะไร ?

เมื่อพูดถึงการประมวลผลข้อมูลในปริมาณมาก (Big Data Analytics) หลายคนอาจนึกถึง เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่รู้หรือไม่ว่า "คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Cluster Computing)" ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน การจะนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ และประมวลผลให้เกิดประโยชน์นั้น จำเป็นต้องอาศัยพลังการประมวลผลที่สูงมาก

ด้วยการรวมพลังของคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเข้าด้วยกันทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น และแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะพาทุกคนเจาะลึกถึงเทคโนโยนี้ ความหมาย, ความเป็นมา, หลักการทำงาน, สถาปัตยกรรม, ประเภท, ประโยชน์ และการนำคลัสเตอร์คอมพิวติ้งไปใช้งาน ติดตามอ่านไปพร้อม ๆ กันเลย

เนื้อหาภายในบทความ

  • คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง คืออะไร ?
    (What is Cluster Computing ?)
  • ความเป็นมาของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง
    (History of Cluster Computing)
  • คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง ทำงานอย่างไร ?
    (How does Cluster Computing work ?)
  • สถาปัตยกรรมของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง
    (Cluster Computing Architecture)
  • ประเภทของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง
    (Types of Cluster Computing)
  • ประโยชน์ของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง
    (Benefits of Cluster Computing)
  • การประยุกต์ใช้ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Cluster Computing Applications)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง คืออะไร ? (What is Cluster Computing ?)

Cluster Computing หลักการง่าย ๆ คือการนำคอมพิวเตอร์หลายเครื่องมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ทำงานเป็นระบบเดียว คำว่า "คลัสเตอร์ (Cluster)" หมายถึง เครือข่ายของระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกัน และถูกโปรแกรมให้ทำงานแบบเดียวกัน โดยทั่วไป Cluster Computing จะ ประกอบด้วย เซิร์ฟเวอร์, เวิร์กสเตชั่น และคอมพิวเตอร์ ที่สื่อสารกันผ่าน เครือข่ายท้องถิ่น (LAN) หรือ เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN) เป็นต้น

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://www.geeksforgeeks.org/an-overview-of-cluster-computing/

Cluster Computing เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของคอมพิวติ้งแบบกระจาย (Distributed Computing) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเข้าด้วยกันผ่านเครือข่าย เพื่อให้ทำงานร่วมกันเสมือนเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เพิ่มกำลังการประมวลผล และทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องหรือที่เรียกว่า Nodes ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะมีระบบปฏิบัติการ (OS) และหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ที่ควบคุมการทำงานของซอฟต์แวร์ให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง

ความเป็นมาของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (History of Cluster Computing)

แนวคิดของ Cluster Computing เริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) ริเริ่มโดย Gene Amdahl จาก IBM ในปี ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) เขาได้ตีพิมพ์งานวิจัย "กฎของ Amdahl" สิ่งที่ถือว่าเป็นบทความต้นแบบเกี่ยวกับการประมวลผลแบบขนาน (Parallel Processing)

ระบบแรกที่ออกแบบมาเป็นคลัสเตอร์คือ Burroughs B5700 ในช่วงกลางทศวรรษ ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) ซึ่งสามารถให้ใช้คอมพิวเตอร์ได้สูงสุด 4 เครื่อง แต่ละเครื่องมีโปรเซสเซอร์ 1 หรือ 2 ตัว เชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดกับ ระบบย่อยการจัดเก็บดิสก์ทั่วไป (Common Disk Storage Subsystem) เพื่อกระจายภาระงานซึ่งแตกต่างจากระบบมัลติโปรเซสเซอร์มาตรฐานในปัจจุบัน และในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถรีสตาร์ทได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานโดยรวม

ผลิตภัณฑ์คลัสเตอร์คอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์รายแรกคือระบบ "Attached Resource Computer" (ARC) ของ Datapoint Corporation ซึ่งพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) และใช้ ARCnet เป็นอินเทอร์เฟซ คลัสเตอร์ คลัสเตอร์คอมพิวติ้งเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแท้จริงเมื่อ Digital Equipment Corporation เปิดตัวผลิตภัณฑ์ VAXcluster ในปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ.2527) สำหรับระบบปฏิบัติการ VMS

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Computer_cluster

ARC และ VAXcluster ไม่เพียงรองรับการประมวลผลแบบขนานเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันระบบไฟล์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอีกด้วย ซึ่งแนวคิดนี้คือการใช้ข้อดีของการประมวลผลแบบขนาน ในขณะเดียวกันก็รักษาความน่าเชื่อถือ และความเป็นเอกลักษณ์ของข้อมูล คลัสเตอร์เชิงพาณิชย์ในช่วงแรกที่น่าสังเกตอีกสองรายการคือ Tandem NonStop (คลัสเตอร์คอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ที่มีความพร้อมใช้งานสูงในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ) และ IBM S/390 Parallel Sysplex (ช่วงประมาณปี ค.ศ. 1994 (พ.ศ.2537) สำหรับการใช้งานทางธุรกิจเป็นหลัก

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Computer_cluster#/media/File:TNSII.jpg

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ขณะที่คลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ใช้การประมวลผลแบบขนาน (Parallel processing) นอกคอมพิวเตอร์อยู่บนเครือข่ายทั่วไป กลับกันซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เริ่มใช้การประมวลผลแบบขนานภายในคอมพิวเตอร์เดียวกัน หลังจากความสำเร็จของ CDC 6600 ในปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) Cray 1 ได้ถูกส่งมอบในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ.2519) และได้นำเสนอการประมวลผลแบบขนานภายในผ่านการประมวลผลเวกเตอร์

ในขณะที่ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ยุคแรก ๆ ใช้หลักการไม่รวมกันเป็นคลัสเตอร์ และอาศัยการใช้หน่วยความจำร่วมกัน แต่ในระยะเวลาต่อมาซุปเปอร์คอมพิวเตอร์บางตัวที่มีความเร็วสูง (เช่น คอมพิวเตอร์ K) ก็หันมาอาศัยสถาปัตยกรรมคลัสเตอร์เช่นกัน

คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง ทำงานอย่างไร ? (How does Cluster Computing work ?)

Cluster Computing ทำงานโดยการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) ในโครงสร้างของคลัสเตอร์ คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในเครือข่ายเรียกว่า "Nodes" และถูกควบคุมโดยซอฟต์แวร์กลางที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถสื่อสารกันได้ ผู้ใช้สามารถใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดราวกับว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว แทนที่จะเป็นคอมพิวเตอร์หลายเครื่องที่เชื่อมต่อกันผ่าน LAN

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://www.geeksforgeeks.org/an-overview-of-cluster-computing/

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้ตั้งแต่ 2 เครื่องไปจนถึงหลายพันเครื่อง ตัวอย่างเช่น คลัสเตอร์ Beowulf มักใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปเชื่อมต่อกันผ่าน LAN และอาจเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างประหยัดเมื่อเทียบกับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สำหรับงานบางอย่าง

สถาปัตยกรรมของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Cluster Computing Architecture)

สถาปัตยกรรมคลัสเตอร์คอมพิวติ้ง คือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเข้าด้วยกันเพื่อทำงานเป็นระบบเดียว โดยแต่ละคอมพิวเตอร์จะเชื่อมต่อกันด้วยความเร็วสูงเช่นเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) และเรียกว่า "Node"

โดยในแต่ละ Nodes ก็จะมีระบบปฏิบัติการ หน่วยความจำ และอุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของสถาปัตยกรรมคลัสเตอร์ได้ 2 แบบ คือเปิด (Open Cluster) และ ปิด (Close Cluster)

1. แบบเปิด (Open Cluster)

แบบนี้แต่ละคอมพิวเตอร์จะมี หมายเลขที่อยู่ไอพี (IP Address) ที่เป็นของตัวเอง

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://www.slideserve.com/karik/cluster-computing-powerpoint-ppt-presentation

2. แบบปิด (Close Cluster)

แต่ละโหนดจะถูกซ่อนอยู่หลังโหนดเกตเวย์ เนื่องจากโหนดเกตเวย์ควบคุมการเข้าถึงโหนดอื่นๆ และ IP Address สามารถพบได้บน อินเทอร์เน็ต (Internet) คลัสเตอร์แบบปิดจึงมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่น้อยกว่าคลัสเตอร์แบบเปิด

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://www.slideserve.com/karik/cluster-computing-powerpoint-ppt-presentation

ประเภทของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Types of Cluster Computing)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งมีความหลากหลายทั้งในด้านความซับซ้อน และวัตถุประสงค์ใช้งาน ตัวอย่างเช่น คลัสเตอร์แบบง่าย ๆ อาจเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เพียงแค่สองเครื่อง ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เช่น Aurora เชื่อมต่อมากกว่า 10,000 เครื่องเลยทีเดียว

คลัสเตอร์มีการใช้งานทางธุรกิจมากมาย เนื่องจากประสิทธิภาพสูง, สามารถปรับขนาดได้ และมีความยืดหยุ่น ถูกใช้โดยมหาวิทยาลัย และโรงเรียนแพทย์สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อิงตามลักษณะของมันคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้ดังนี้

1. คลัสเตอร์ความพร้อมใช้งานสูง (High-availability clusters)

คลัสเตอร์ความพร้อมใช้งานสูง สามารถถ่ายโอนงานจากโหนดที่ล้มเหลวไปยังโหนดอื่นในเครือข่ายที่ยังทำงานอยู่โดยอัตโนมัติ ความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว และง่ายดาย เมื่อโหนดหนึ่งล้มเหลว ทำให้เหมาะสำหรับเวิร์กโหลดที่ไม่ต้องให้เกิดการหยุดชะงักของบริการ

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://docs.oracle.com/cd/E19906-01/820-4917/ggsxf/index.html

2. คลัสเตอร์ปรับสมดุลโหลด (Load-balancing clusters)

คลัสเตอร์ปรับสมดุลโหลด หรือ โหลดบาลานเซอร์ ทำหน้าที่กระจายงานอย่างเท่าเทียมกันระหว่างโหนดในคลัสเตอร์ หากไม่มีการปรับสมดุลของโหลด โหนดจะถูกท่วมด้วยงานที่ได้รับมอบหมาย และล้มเหลวบ่อยขึ้น หนึ่งในตัวอย่างที่รู้จักกันดีคือ Linux Virtual Server ซึ่งเป็นโอเพนซอร์สฟรี และถูกใช้ในการพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงที่มีความพร้อมใช้งานสูงโดยใช้เทคโนโลยีคลัสเตอร์

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://medium.com/lvs-load-balance-clustering-configuration-on/linux-virtual-server-c0d857a1880b

3. คลัสเตอร์คอมพิวติ้งประสิทธิภาพสูง (High-performance computing clusters)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งประสิทธิภาพสูง (HPC) คือ เครือข่ายของโปรเซสเซอร์ทรงพลังที่สามารถประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่หลายมิติ หรือที่เรียกว่า Big Data ด้วยความเร็วสูงมาก ต้องการเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง และความหน่วงต่ำมากเพื่อย้ายไฟล์ระหว่างโหนด แตกต่างจากคลัสเตอร์ปรับสมดุลโหลดแ ละคลัสเตอร์ความพร้อมใช้งานสูง

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://hbctraining.github.io/Intro-to-shell-flipped/lessons/08_HPC_intro_and_terms.html

คลัสเตอร์ HPC มีกำลังการประมวลผลสูงกว่า และออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การวินิจฉัยโรค, การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินจำนวนมาก และการจัดลำดับจีโนม นอกจากนี้ คลัสเตอร์ HPC ยังใช้ Message Passing Interface (MPI) ซึ่งเป็นโปรโตคอลสำหรับสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบขนานที่ช่วยให้สามารถสื่อสารระหว่างโหนดได้อีกด้วย

4. คลัสเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence clusters)

คลัสเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ คือ คลัสเตอร์คอมพิวติ้งที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับงาน ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) และ การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning - ML) เช่น การจดจำใบหน้า และเสียง การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และการขับขี่อัตโนมัติ คลัสเตอร์ AI ถูกออกแบบมาสำหรับอัลกอริทึมที่ใช้โมเดล AI ฝึกฝน

ประโยชน์ของ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Benefits of Cluster Computing)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูง และมีความน่าเชื่อถือมากกว่าสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ประเภทอื่น ๆ ทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับองค์กรสมัยใหม่ตัวอย่างเช่น คลัสเตอร์ยุคใหม่มีการทนต่อข้อผิดพลาดในตัว ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำงานต่อไปได้แม้ว่าโหนดใดโหนดหนึ่งในเครือข่ายจะล้มเหลว

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://hpcc.umd.edu/

นอกจากนี้ คลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ยังอาศัยระบบไฟล์แบบกระจาย (DFS) และอาร์เรย์ดิสก์อิสระแบบซ้ำซ้อน (RAID) ซึ่งอนุญาตให้เก็บข้อมูลเดียวกันในตำแหน่งที่แตกต่างกันบนฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์หลายตัว ซึ่งคลัสเตอร์คอมพิวติ้งมีประโยชน์ต่อองค์กรสมัยใหม่หลายด้าน ดังต่อไปนี้

ประสิทธิภาพ (Performance)

เนื่องจากการพึ่งพาการประมวลผลแบบขนาน คลัสเตอร์คอมพิวเตอร์จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูง และสามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น และจัดการเวิร์กโหลดขนาดใหญ่ได้มากกว่าคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว

ความน่าเชื่อถือ (Reliability)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งถือว่ามีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากการรวมเทคโนโลยี DFS และ RAID ในคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ แม้ว่าโหนดเดียวจะล้มเหลวเครือข่ายจะยังคงทำงานต่อไป และ DFS และ RAID จะยังคงรับรองว่าข้อมูลถูกสำรองไว้ในหลายสถานที่

ความพร้อมใช้งาน (Availability)

นอกจากความน่าเชื่อถือสูงแล้ว คลัสเตอร์คอมพิวติ้งยังถือว่ามีความพร้อมใช้งานสูงเนื่องจากความสามารถในการกู้คืนอย่างรวดเร็วจากความล้มเหลวของโหนดเดียว หากคลัสเตอร์ทำงานอย่างถูกต้อง เมื่อโหนดหนึ่งล้มเหลว งานก็จะถูกถ่ายโอนไปยังอีกโหนดหนึ่งในคลัสเตอร์โดยไม่มีการหยุดชะงักของบริการ

ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งมีความสามารถในการปรับขนาดสูง เนื่องจากสามารถเพิ่มโหนดได้ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในการปรับทรัพยากรภายในคลัสเตอร์แบบไดนามิก หมายความว่าคลัสเตอร์สามารถปรับขนาดขึ้นหรือลงได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานนั่นเอง

ต้นทุน (Cost)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งมีต้นทุนที่คุ้มค่ามากกว่าการประมวลผลแบบอื่น ๆ องค์กรสมัยใหม่หลายแห่งพึ่งพาคลัสเตอร์คอมพิวติ้งเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร ความสามารถในการปรับขนาด และความพร้อมใช้งานของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่จับต้องได้ในราคาที่เหมาะสม

การประยุกต์ใช้ คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง (Cluster Computing Applications)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งมีการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่ระดับองค์กร เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง และการวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงซอฟต์แวร์ที่ช่วยสร้างเอฟเฟกต์พิเศษแบบ 3 มิติ (3D) ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับ หนังภาพยนตร์ (Movie) ซึ่งต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของการนำคลัสเตอร์คอมพิวติ้งไปใช้งาน

การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics)

คลัสเตอร์คอมพิวติ้งสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ตั้งแต่เครื่องมือค้นหาอันทรงพลังของ Google ไปยังซอฟต์แวร์ที่วิเคราะห์ตลาดหุ้น จนถึงการวิเคราะห์ความรู้สึกบนโซเชียลมีเดีย คลัสเตอร์คอมพิวติ้งในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นมีความยอดเยี่ยม และหลากหลายมาก ๆ

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://www.linkedin.com/pulse/title-demystifying-big-data-unveiling-power-analytics-shruti-kashyap-

กราฟิก 3 มิติ (3D Graphics)

ความสามารถในการประมวลผลแบบขนานของคลัสเตอร์คอมพิวติ้ง ช่วยขับเคลื่อนกราฟิกขั้นสูงในวิดีโอเกม และภาพยนตร์ โดยการใช้คลัสเตอร์ของโหนดอิสระ แต่ละโหนดมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของตัวเอง การเรนเดอร์คลัสเตอร์สามารถสร้างภาพเดียวที่ปรับเทียบได้บนหลายหน้าจอ กระบวนการนี้ช่วยลดเวลาในการสร้างภาพ 3 มิติคุณภาพสูงได้เป็นอย่างมาก

ปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้ของเครื่อง (Artificial Intelligence and Machine Learning)

ในเวิร์กโหลด AI และ ML คลัสเตอร์คอมพิวติ้งช่วยประมวลผล และวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการฝึกอบรมโมเดล AI ที่ทรงพลังซึ่งขับเคลื่อนแอปพลิเคชันยอดนิยม เช่น ChatGPT

การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)

บริษัทประกันภัย และบริษัทซื้อขายทางการเงินใช้คลัสเตอร์คอมพิวติ้งเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล และประเมินความเสี่ยงในการซื้อหุ้นบางตัว หรือการประกันภัยให้กับลูกค้าบางราย คลัสเตอร์คอมพิวติ้งถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ และสกัดข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมาย ซึ่งสามารถนำไปใช้ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างรอบคอบ

Cluster Computing คืออะไร ? มาทำความรู้จักกับระบบคอมพิวเตอร์ชนิดนี้กัน !

ภาพจาก : https://compliancy-group.com/what-is-a-hipaa-security-risk-analysis/

คลัสเตอร์คอมพิวติ้ง เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการขับเคลื่อนโลกดิจิทัลในปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการรวมพลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถจัดการกับงานที่มีความซับซ้อนและข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดประโยชน์อย่างมากในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล, การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์, การสร้างภาพกราฟิก หรือการดำเนินธุรกิจ

ในอนาคต Cluster Computing จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีใหม่ ๆ และนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้ของเครื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างกว้างขวาง

➤ Website : https://www.thaiware.com
➤ Facebook : https://www.facebook.com/thaiware
➤ Twitter : https://www.twitter.com/thaiware
➤ YouTube : https://www.youtube.com/thaiwaretv

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...