หยุดเดี๋ยวนี้!หมอเตือน”เบ่งอุจจาระ” คือนาทีวิกฤตที่อาจคร่าชีวิตได้ ต้องรีบแก้ก่อนเกิดเหตุแบบไม่รู้ตัว!
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการ รพ.มหาราช นครราชสีมา ได้โพสต์ข้อความลงในเพจหมอเจด แนะนำเรื่องสุขภาพ โดยระบุว่า
หลายคนชอบคิดว่า “ก็แค่ท้องผูก เบ่งหนักหน่อยเดี๋ยวก็ออก” แต่ความจริงการเบ่งนาน ๆ หรือเบ่งแรงจนหน้าดำ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยครับ เพราะมันเป็นสัญญาณว่าลำไส้ทำงานผิดปกติ และยังเพิ่มความเสี่ยงโรคหลายอย่างแบบเงียบ ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว วันนี้ผมเลยรวบรวมอันตรายที่ซ่อนอยู่ พร้อมแนวทางแก้แบบเข้าใจง่ายครับ
1) เสี่ยงริดสีดวงกำเริบ–เลือดออก
เบ่งแรงทำให้ความดันในเส้นเลือดรอบทวารสูงขึ้น เส้นเลือดโป่งพองและอักเสบง่าย คนที่เป็นริดสีดวงอยู่แล้วจะเจ็บ แสบร้อน หรือมีเลือดสดติดกระดาษทิชชู่ทันที ส่วนคนที่ยังไม่เป็น การเบ่งนาน ๆ ทุกวันคือสาเหตุอันดับต้น ๆ ทำให้เกิดริดสีดวงใหม่แบบเงียบ ๆ ซึ่งเมื่ออักเสบมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจต้องผ่าตัดได้ครับ
2) เพิ่มโอกาส “ไส้เลื่อน” โดยไม่รู้ตัว
เวลาที่ใช้แรงเบ่งมาก ๆ หน้าท้องจะดันความดันภายในช่องท้องสูงขึ้นแบบพุ่งขึ้นทันที จนทำให้ผนังหน้าท้องหรือบริเวณขาหนีบอ่อนแรงและโป่งได้ง่าย คนที่ยกของหนักบ่อยอยู่แล้ว + ท้องผูกเรื้อรัง เสี่ยงไส้เลื่อนมากเป็นพิเศษ และถ้าเกิดไส้เลื่อนติดคา อาจต้องผ่าตัดฉุกเฉินครับ
3) หลอดเลือดสมอง–หัวใจภาวะวิกฤต (Straining Effect)
หลายคนไม่รู้ว่า “การเบ่งแรง ๆ เหมือนตอนยกของหนักสุดชีวิต” สามารถทำให้ความดันพุ่งสูงเฉียบพลัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือมีอาการหน้ามืดได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว หรือมีความดันสูงชนิดที่ควบคุมไม่ได้ มีบางเคสที่หัวใจวาย–เส้นเลือดสมองแตกในห้องน้ำเพราะพยายามใช้แรงเบ่งมาก ๆ นี่แหละ และเคสเหล่านี้เจอบ่อยกว่าที่คิดด้วยนะครับ
4) ลำไส้อักเสบ–แผลทวารจากการเบ่งซ้ำ ๆ
แรงเสียดสีจากอุจจาระแข็ง และการเบ่งนานเกินไปจะทำให้ผิวหนังช่องทวารเกิดแผลเล็ก ๆ (Anal fissure) ที่คนไข้จะรู้สึก “แสบ–คมเหมือนโดนบาด” ทุกครั้งที่ถ่าย และบางคนถึงขั้นมีเลือดสดไหล หายยาก เพราะวนกลับมาท้องผูก–แผลซ้ำอีกครั้งเป็นวงจรเรื้อรังครับ
5) สัญญาณว่าลำไส้กำลังทำงานผิดปกติ
ท้องผูกประจำอาจเกิดได้จาก กินไฟเบอร์น้อย ดื่มน้ำน้อย เครียดมาก กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิด ลำไส้แปรปรวน (IBS-C) หรือแม้แต่เตือนโรคร้าย เช่น มะเร็งลำไส้ ซึ่งถ้าหากมีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย น้ำหนักลด หรือถ่ายมีเลือดปน ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองครับ
แก้ท้องผูกง่าย ๆ ทำตามนี้!!
ท้องผูกไม่จำเป็นต้องพึ่งยาถ่ายเสมอไปนะครับ จุดสำคัญคือ “ทำให้ลำไส้กลับมาขยับเป็นจังหวะ” และ “เพิ่มจุลินทรีย์ดี” ให้พอครับ
• เริ่มจากกินผัก–ผลไม้วันละ 2–3 กำมือ
• ดื่มน้ำ 6–8 แก้วต่อวัน
• และเดินหลังอาหาร 10 นาทีเพื่อลดของค้างในลำไส้
• จากนั้นเสริมโพรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ เทมเป้
• และเติม พรีไบโอติก หรืออาหารของจุลินทรีย์ดี เช่น กล้วยหอม ข้าวโอ๊ต เมล็ดแฟลกซ์ หัวหอมลงในมื้ออาหาร
• พร้อมตั้งเวลาเข้าห้องน้ำทุกเช้า แม้ยังไม่ปวดก็ให้ “นั่งผ่อนคลาย” ลำไส้จะเริ่มปรับตัวและถ่ายคล่องขึ้นภายในไม่กี่วันครับ
การเบ่งนาน ๆ คือสัญญาณร่างกายกำลังร้องขอให้เราปรับพฤติกรรม ไม่ว่าจะเพิ่มไฟเบอร์ ดื่มน้ำให้ถึง เคลื่อนไหวหลังอาหาร หรือฝึกถ่ายเวลาเดิมทุกวัน ท้องผูกที่ปล่อยไว้นานอาจนำไปสู่ริดสีดวงอักเสบ ไส้เลื่อน แผลทวาร หรือภาวะหัวใจ–ความดันพุ่งเฉียบพลันได้ การแก้ต้นเหตุคือดีที่สุด ไม่ใช่ปล่อยจนต้องรักษาหนักครับ