โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

นักวิชาการธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ ‘สส.บัญชีรายชื่อ’ คละ‘บ้านใหญ่’สะท้อนการเมือง มุ่งนโยบายมากขึ้น

เดลินิวส์

อัพเดต 1 มกราคม 2569 เวลา 3.40 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เดลินิวส์
“ดร.อภินพ” นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุ รายชื่อ สส. ในบัญชีรายชื่อ สะท้อนว่าพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับนโยบายมากขึ้น เหตุคละกันระหว่าง“บ้านใหญ่-นักธุรกิจ” กับ “เทคโนแครต-นักวิชาการ” เพื่อทำนโยบายให้สำเร็จ ชี้กรณี “พรรคประชาชน” เปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส.เขต กทม. ทำได้ เพราะผู้สมัครคนเดิมลาออกถือว่าขาดคุณสมบัติ แต่ในระยะยาวอาจเสี่ยงมีปัญหาคาราคาซังทางกฎหมาย

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ดร.อภินพ อติพิบูลย์สิน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่แต่ละพรรคการเมืองได้ประกาศลำดับ "สส.บัญชีรายชื่อ" แล ะ "แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี"ของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีข้อสังเกตคือแม้รัฐธรรมนูญจะไม่ได้มีการบังคับว่าคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็น สส. แต่ทว่าบุคคลที่อยู่ในอันดับหนึ่งใน สส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน ล้วนแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น ตรงนี้สะท้อนว่าการออกแบบรัฐธรรมนูญของไทยอาจคิดเยอะเกินไปในเรื่องการกำหนดให้มีระบบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะสุดท้ายประชาชนย่อมคาดหวังว่าผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งคือว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคนั้นๆ และพรรคการเมืองก็ปรับตัวตามวิถีประชาธิปไตยที่ควรเป็นแล้ว

นอกจากนี้ อีกหนึ่งภาพสะท้อนหลังจากที่ได้เห็นลำดับ สส.บัญชีรายชื่อ คือทุกพรรคการเมืองเริ่มมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับการเมืองเชิงนโยบายมากขึ้น จากในอดีตที่รายชื่อลำดับแรกๆ มักมาจากตระกูลการเมืองบ้านใหญ่หรือนักธุรกิจ ก็พบว่ามีการคละกันโดยนำผู้ที่ความสามารถเฉพาะทาง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลัง หรือด้านเศรษฐกิจ สายเทคโนแครต สายวิชาการ เข้ามาคละมากขึ้น ซึ่งเป็นไปเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายที่พรรคได้นำเสนอไว้ได้สำเร็จ ส่งผลให้ประชาชนสามารถรับทราบได้ตั้งแต่ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งว่าแต่ละพรรควางตัวบุคคลไว้ทำงานในด้านไหนบ้าง จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นและส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกพรรคที่ตนชื่นชอบแนวนโยบายได้

ส่วนกรณีที่พรรคประชาชนเปลี่ยนตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขต กรุงเทพมหานคร เขต 33 (บางพลัด-บางกอกน้อย ยกเว้นแขวงศิริราช)นั้น ดร.อภินพ กล่าวว่า สามารถทำได้ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 50 ประกอบ มาตรา 41(3)คือผู้สมัครรายเดิมลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองจึงเข้าข่ายขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้แม้ในระยะสั้นอาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ในระยะยาวอาจเสี่ยงกลายเป็นประเด็นที่จะทำให้เกิดความคาราคาซังทางกฎหมายได้

ทั้งนี้หากมีข้อถกเถียงกันต่อไปว่าการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครในครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งตามกระบวนการแล้วผู้สมัครรายอื่นหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนอื่นสามารถทักท้วงไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันประกาศรายชื่อผู้สมัครได้ หรือในกรณีที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตนั้นๆ ตรวจสอบแล้วพบว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้ถอนชื่อบุคคลนั้นออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัครได้ ประเด็นก็คือหากกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้นไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนจัดการเลือกตั้ง กฎหมายระบุไว้ว่าให้ดำเนินการเลือกตั้งต่อไปก่อนแล้วค่อยมาเดินหน้ากระบวนการต่างๆ ต่อไป ตรงนี้อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความคาราคาซังทางกฎหมายในระยะยาวต่อไป

“พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 50 ระบุไว้ว่า พรรคการเมืองสามารถถอนหรือเปลี่ยนแปลงตัวผู้สมัครได้ใน 3 กรณี ได้แก่ กรณีผู้สมัครเสียชีวิต กรณีขาดคุณสมบัติ และกรณีมีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องกระทำก่อนวันปิดรับสมัคร ซึ่งผู้สมัครคนเดิมของพรรคประชาชนไม่เข้าข่ายกรณีมีลักษณะต้องห้าม เพราะในมาตรา 42 (12) ระบุไว้ว่าต้องเป็นกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้มีโทษจำคุก ขณะที่ผู้สมัครคนดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการออกหมายจับเท่านั้นความเห็นผมมันจึงค่อนข้างชัดว่าเป็นเรื่องของการขาดคุณสมบัติ เพราะตามมาตรา 41 (3) บอกไว้ว่าต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ถ้ามีการลาออก ซึ่งผู้สมัครคนเดิมของพรรคประชาชนก็ลาออกจริงๆ มันก็มีผลโดยตรงว่าเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติแล้ว” ดร.อภินพ กล่าว

ขณะเดียวกันกรณีที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นว่าเมื่อผู้สมัครทำการสมัครไปแล้วก็ไม่ควรมีการถอนตัวได้ เพราะหาก กกต.ให้เปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้ในอนาคตอาจจะเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าเนื่องจากในอดีตเคยมีกรณีการใช้อามิสสินจ้างเข้าไปกดดันให้ผู้สมัครถอนตัวมาแล้ว ดร.อภินพ มองว่า พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการรับบุคคลเข้ามาเป็นตัวแทนของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตนั้นๆ จะต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนที่พรรคได้กำหนดไว้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมีการไปกดดันและเปลี่ยนตัวกันได้ตามใจ อีกทั้งมาตรา 49 และมาตรา 50 ระบุไว้ด้วยว่าจะต้องมีคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีการประกาศรับสมัครบุคคลที่จะเข้ามาแทนที่ และจะต้องมีกระบวนการทำไพรมารี่โหวตรับรอง โดยให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวเห็นชอบอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นว่ารายละเอียดกระบวนการขั้นตอนนั้นไม่แตกต่างกับการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งตามปกติ เพราะผู้ที่เข้ามาแทนก็ต้องย้อนกลับไปทำตามกระบวนการเดิมเช่นกัน.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...