โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

‘รพ.วชิระภูเก็ต’ ปรับแผน ATMPs 'งดวิจัย' ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"Thailand ATMP Roadmap 2025" กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ประกาศความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นฐานการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) ที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาค มุ่งเน้นพัฒนาการแพทย์แม่นยำและ ATMPs ทั้งเซลล์บำบัด (Cell Therapy) และยีนบำบัด (Gene Therapy) คาดหวังให้เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) ของไทยภายใน 3 ปีข้างหน้า

ก่อนหน้านี้ สธ.มีแผนดำเนินการวิจัยโดยรับเงินทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน ภายใต้ โครงการ Advanced Therapy Medicinal Products Sandbox (ATMPs Sandbox) หรือ “เอทีเอ็มพี แซนด์บ็อกซ์” ซึ่งรพ.วชิระภูเก็ต เป็นหนึ่งในสถานพยาบาลที่จะดำเนินการวิจัยเรื่องนี้ โดยเริ่มต้นจาก 3 กลุ่มโรคที่พบมากในประเทศไทย คือ โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม, กลุ่มโรคผิวหนังและการชะลอวัย และมะเร็งลำไส้

งดวิจัย NK Cell ในผู้ป่วยมะเร็ง

ล่าสุด นพ.วีระศักดิ์ หล่อทองคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ถึงความคืบหน้าโครงการ ATMPs Sandboxว่า ในส่วนที่รพ.วชิระภูเก็ตดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)และภาคเอกชน มีการปรับหัวข้อที่จะดำเนินการวิจัยโดยจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของผิวหนังใบหน้าและหมอนรองกระดูกสันหลัง

ส่วนการวิจัยเรื่อง "เอ็นเคเซลล์" หรือ NK Cell (Natural Killer Cells) ขณะนี้ได้มีการตัดสินใจงดไป เนื่องจากปัจจัยเรื่องของความปลอดภัยและผลการวิจัยในระยะที่ 1 (Phase 1)เกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ยังไม่มีผลลัพธ์ออกมาอย่างชัดเจน

“การทำวิจัยด้วย NK Cell จะต้องนำมาใช้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงต้องรอให้มีงานวิจัยรองรับมากกว่านี้และรอผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเรื่องความปลอดภัยทั้งหมดเสียก่อน เพื่อความมั่นใจในการนำมาใช้งานจริง”นพ.วีระศักดิ์กล่าว

ยังอยู่ขั้นยื่นขออนุมัติโครงการวิจัย

สำหรับโครงการวิจัยที่จะเดินหน้าต่อทั้งในส่วนของผิวหนังและหมอนรองกระดูกสันหลัง กำลังอยู่ในกระบวนการขออนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นชุดที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเรื่อง ATMPs โดยเฉพาะ หากผ่านการรับรองจากคณะกรรมการชุดนี้แล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินโครงการและรับคนไข้เข้าสู่กระบวนการวิจัยได้ในปี 2569

ใช้สเต็มเซลล์ไขมันหน้าท้องฉีดหน้า

การวิจัยเรื่องของผิว ได้ร่วมกับบริษัทเอกชนที่ให้การสนับสนุนทุนวิจัย เข้ามาฝึกอบรมทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เกี่ยวกับวิธีการเก็บสเต็มเซลล์จากไขมันหน้าท้องแล้ว เนื่องจากในการวิจัย จะเป็นการนำไขมันจากหน้าท้องของคนไข้มาสกัด เพื่อเอาสเต็มเซลล์ที่อยู่ในนั้นออกมา ก่อนจะนำสเต็มเซลล์ไปผ่านกระบวนการเพิ่มจำนวนเซลล์ให้ได้ประมาณ 50 ล้านเซลล์

เมื่อได้จำนวนที่ต้องการแล้ว ก็นำสเต็มเซลล์กลับมาฉีดเข้าสู่ผิวหนังบริเวณใบหน้าของคนไข้คนเดิม เพื่อศึกษาว่าการฉีดสเต็มเซลล์จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหนังให้ดีขึ้น หรือช่วยในเรื่องของการย้อนวัยให้กับผิวหนังได้หรือไม่ โดยจะมีการถ่ายภาพเปรียบเทียบสภาพผิวก่อนและหลังการรับบริการอย่างชัดเจน

นพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า โดยหลักการการฉีดสเต็มเซลล์เข้าใบหน้า มีความแตกต่างจากการฉีดโบท็อกซ์ที่เป็นการฉีดเพื่อให้กล้ามเนื้อไม่ทำงานและมีอายุการใช้งานเพียง 3-6 เดือนแล้วแต่ยี่ห้อ ขณะที่การใช้สเต็มเซลล์จะอยู่ได้นานเป็นปี เพราะเป็นการนำเซลล์ของตัวเองมาฉีดกลับเข้าไปเพื่อให้เซลล์ทำหน้าที่สร้างความตึง สร้างความสดใส และสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาฟื้นฟูสภาพผิวทั้งหมด จึงค่อนข้างมีความปลอดภัยเพราะเป็นเซลล์ของตัวเอง คาดว่าจะรับคนไข้เข้าร่วมโครงการราว 50-100 คน

หวังผลไม่ต้องผ่าตัดหมอนรองกระดูก

ส่วนเรื่องหมอนรองกระดูกสันหลัง การวิจัยจะเป็นการฉีดเซลล์ เพื่อลดความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังที่จะต้องมีการผ่าตัด และฟื้นฟูเรื่องเส้นประสาท เมื่อฉีดแล้วจะทำให้หมอนรองกระดูกไม่ทรุดกระทั่งต้องไปผ่าตัด เท่ากับเป็นการฉีดป้องกันให้คนที่มีปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เป้าหมายหลักมุ่งหวังในการลดปวดแล้วดีขึ้น โดยที่ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด

กลุ่มเป้าหมายที่จะรับเข้าโครงการจึงเป็นคนที่เริ่มมีอาการแล้ว เช่น มีความปวด ความชา หรือเริ่มมีอาการอ่อนแรง เพราะจะทำให้สามารถวัดผลเปรียบเทียบได้ชัดเจนกว่าคนที่ไม่แสดงอาการเลย ว่าหลังจากฉีดไปแล้วอาการเจ็บปวดลดลงหรือไม่ ช่วยให้ไม่ต้องผ่าตัดได้จริงหรือไม่ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบนี้ โดยแพทย์จะพิจารณาคนไข้ที่มีความเหมาะสมเข้าร่วมโครงการ ราว 50 คน

“แม้เรื่องนี้จะมีงานวิจัยในต่างประเทศรายงานผลอยู่บ้างแล้ว แต่จำเป็นต้องทำงานวิจัยในประเทศไทย เพื่อให้เห็นผลในคนไทย และใช้ยื่นขึ้นทะเบียนได้ในประเทศไทย”นพ.วีระศักดิ์กล่าว

ประเมินผลตามจริง ไม่เกรงทุนเอกชน

การติดตามและประเมินผลจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยเรื่องผิวหนัง จะมีเกณฑ์วัดที่ชัดเจนทั้งเรื่องความตึง ความละเอียดของผิว รวมถึงริ้วรอยและความหย่อนคล้อยว่าหายไปมากน้อยเพียงใด ส่วนเรื่องหมอนรองกระดูก จะเน้นการติดตามเรื่องระดับความปวดหรือ Pain Score ว่าลดลงหรือไม่ อาการชาหรืออ่อนแรงดีขึ้นหรือไม่ รวมถึงโอกาสในการต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ลดลง

ถามย้ำถึงการประเมินผลว่าติดเงื่อนไขของการรับทุนสนับสนุนจากเอกชนหรือไม่ นพ.วีระศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่มี โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการวิจัยและสรุปผลการทดลองอย่างตรงไปตรงมา แม้จะมีบริษัทเอกชนเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยทั้งหมด

แต่กระบวนการวัดผลต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่คณะกรรมการจริยธรรมฯกำหนดไว้ โดยไม่มีความลำเอียง ส่วนการนำสรุปผลการวิจัยไปใช้ยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)เป็นเรื่องของเอกชนที่จะดำเนินการเอง ซึ่งก็จะต้องดูทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลข้างเคียง

“คนไข้ที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ นอกจากความสมัครใจแล้ว จะต้องรับรู้เรื่องการทำหัตถการต่างๆ ทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นซึ่งยังไม่ทราบล่วงหน้า อย่างไรก็ตามโครงการวิจัยจะมีการจัดทำประกันสุขภาพเพื่อครอบคลุมและดูแลรักษาหากเกิดผลข้างเคียงจากการวิจัยในอนาคตด้วย” นพ.วีระศักดิ์กล่าว

อนึ่ง เอ็นเคเซลล์( NK Cell ) หรือ “เซลล์เพชฌฆาตธรรมชาติ” เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย พบได้เพียง15%ของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์(Lymphocyte) ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง จึงเป็นด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ (Innate Immune System)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...