โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อาหาร

รื่นฤดีกลางกรุง สำรวจธรรมเนียมประสูติในราชสำนัก ผ่านนิทรรศการ ‘ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า’

The Momentum

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • THE MOMENTUM

ท่ามกลางตึกสูงย่านถนนสุขุมวิท แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ไลฟ์สไตล์ ที่มีผู้คนสัญจรไปมาครึกครื้นวุ่นวาย ใครจะไปคิดว่าจะมี ‘วัง’ อยู่บริเวณนี้ เพียงเดินเข้าซอยสุขุมวิท 38 ประมาณ 10 นาที ก็มาหยุดอยู่หน้า ‘วังรื่นฤดี’ สถานที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา สายพระโลหิตเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

ปกติแล้ววังรื่นฤดีจะเปิดให้เข้าชมเพียงปีละครั้งเท่านั้น รับลมหนาวช่วงเดือนธันวาคมในเทศกาล Night at The Museum เมื่อปีก่อนวังรื่นฤดีเปิดให้เข้าชมในธีมงาน ‘ให้สุวัทนาด้วยความรัก’ จัดแสดงวัตถุแห่งความทรงจำเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ของทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม

และในปี 2568 วังรื่นฤดีก็เปิดรั้วต้อนรับอีกครั้งในธีมงาน ‘ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี วันประสูติของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ

ในโอกาสนี้ The Momentum อยากพาทุกคนไปสำรวจนิทรรศการ และสัมผัสธรรมเนียมการประสูติในราชสำนัก ผ่านนิทรรศการดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า ณ วังรื่นฤดี ในเทศกาล Night at the Museum 2025

วังรื่นฤดี: รื่นฤดีกลางกรุง

ตามภาพจำของใครหลายคน วังคงเป็นสถานที่อันใหญ่โตโอฬาร เป็นสถาปัตยกรรมที่รุ่มรวยไปด้วยองค์ประกอบศิลป์ตระการตา มีพื้นที่กว้างขวางจนยากที่จะเดินให้ทั่ว แต่เมื่อก้าวเข้ามาในรั้วของวังรื่นฤดีแล้ว เรากลับแปลกใจกับความเรียบง่ายของวังแห่งนี้ เป็นอาคารสี่เหลี่ยมทรงโมเดิร์นแสนธรรมดา ไม่ได้กว้างขวางเมื่อเทียบกับวังอื่นๆ ทว่าตัวอาคารก็ใหญ่พอที่จะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้มีผังที่ซับซ้อนอย่างวังทั่วไป หลายครั้งคนมักเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า ‘วังนอกขนบ’

ที่ดินแห่งนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ เดินทางมาจากประเทศอังกฤษ เพื่อทรงเลือกซื้อที่ดินที่เหมาะสมสำหรับสร้างที่ประทับในประเทศไทย ก่อนจะกลับไทยเป็นการถาวร ในขณะนั้นถนนสุขุมวิทอยู่ในสถานะกำลังพัฒนา มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากเท่ากับปัจจุบัน พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงซื้อที่ดินแปลงนี้จากเจ้าของ 2 ราย โดยใช้เงินที่ได้จากการขายมรกตเพียงเม็ดเดียว และให้ ศาสตราจารย์ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ เป็นสถาปนิกออกแบบ

ตำหนักของวังรื่นฤดีเป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างและตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่ใช้วัสดุหรูหรา แต่ยังคงแฝงไว้ซึ่งรายละเอียดตามส่วนต่างๆ ของวัง โดยวังแห่งนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ผนังส่วนใหญ่กรุกระจกฝ้าเพื่อรับแสงสว่างจากภายนอก ส่วนภายในออกแบบให้โปร่งสบาย

หากเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ข้างพระตำหนักมีสวนเขียวขจีให้พักผ่อนหย่อนใจ สนามหญ้าตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด มีบ่อน้ำขุดเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของบ้าน เกือบสุดรั้วของวังรื่นฤดีมีสะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ ที่มองเห็นได้ผ่านกิ่งไม้จากต้นไม้ใหญ่ที่โน้มลงมาโอบอุ้มผืนน้ำคล้ายซุ้มขนาดใหญ่ มองแล้วพลางให้นึกถึงภาพวาดสีน้ำมันของศิลปินเอกท่านหนึ่ง เหมือนกับว่าได้ยกงานจิตรกรรมมาไว้ในวังรื่นฤดีแห่งนี้ด้วย

ให้สุวัทนาด้วยความรัก

แม้ว่าการออกแบบของตำหนักจะคล้ายกับบ้าน อย่างไรก็ดียังคงธรรมเนียมการเป็นวังไว้ โดยการเข้าไปยังตำหนัก ผู้ชมจะได้เข้าทาง ‘ประตูช้าง’ ซึ่งเป็นทางเข้าสำหรับข้าราชบริพารหรือผู้ที่มาเข้าเฝ้า

หากแหงนหน้ามองขึ้นด้านบนจากห้องโถงกลางบ้านจะพบว่า บ้านหลังนี้ออกแบบโดยยกเพดานให้สูงโปร่ง ติดตั้งโคมระย้าไว้ด้านบน ลักษณะดังกล่าวเป็นการออกแบบที่ตั้งใจให้รับกับธรรมเนียมราชสำนักในอดีต ที่เจ้านายมักประดิษฐานพระศพไว้ในที่ประทับของตนเอง โคมระย้าด้านบนโถงเพดานจะสามารถถอดลงมาได้ เพื่อติดตั้งฉัตรสำหรับประกอบพิธี

แต่สำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ นั้นถือเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากหลังสิ้นพระชนม์แล้ว พระศพประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง โคมระย้านี้จึงไม่ได้ถอดลงมาเพื่อใช้งานในพิธีดังกล่าว

“ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายไว้ด้วยความรักอย่างไม่รู้จักจืดจางเลยสักนาที”

ในส่วนแรกของนิทรรศการ ภัณฑารักษ์พาเราไปชมเรื่องราวความรักระหว่างรัชกาลที่ 6 กับพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ผู้เป็นพระมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ในส่วนนี้เล่าถึงความรักตั้งแต่พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ยังเป็นเจ้าจอม จัดแสดงภาพถ่ายที่เขียนข้อความส่งหากัน ซึ่งแสดงความรักอันเป็นประจักษ์หลักฐาน ไปจนถึงการตั้งครรภ์ของพระนางเจ้าสุวัทนาฯ กระทั่งถึงจุดพลิกผันของโชคชะตา เมื่อรัชกาลที่ 6 ประชวรด้วยพระโลหิตเป็นพิษในอุทร ในส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงปฐมบทของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ซึ่งเติบโตมาโดยไม่มีพระบิดา

เตรียมรับพระประสูติ

ในห้องต่อมาจัดแสดงวัตถุที่ใช้เตรียมรับพระประสูติ โดยเริ่มจากวัตถุขนาดใหญ่ที่สะดุดตาตั้งแต่มองคือ แท่นพระประสูติ

พระแท่นดังกล่าวเป็นพระแท่นเก่าแก่ที่เคยใช้เป็นที่ประสูติเจ้าฟ้ามาหลายรัชกาล มีหลักฐานว่าน่าจะใช้มาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีลักษณะเป็นลายอย่างพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6 กล่าวคือ มีการลดทอนความละเอียด ให้ดูสมมาตรมากขึ้น

ภัณฑารักษ์บรรยายในส่วนนี้ให้ฟังว่า สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ เป็นเจ้าฟ้าพระองค์สุดท้ายที่ได้ประสูติบนพระแท่นนี้ เป็นเจ้าฟ้าพระองค์สุดท้ายที่ได้ประสูติในพระบรมมหาราชวัง ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส และเป็นเจ้าฟ้าพระองค์สุดท้ายที่ประสูติในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ข้างๆ พระแท่นประสูติจัดแสดงเครื่องประกอบพิธีพระประสูติกาล ซึ่งเป็นการเตรียมรับพระราชโอรสหรือพระราชธิดาที่ประสูติขึ้นในราชวงศ์

เครื่องประกอบพิธีในครั้งนี้ประกอบด้วยสิ่งของหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหม้อเคลือบ กาต้มน้ำ สมุด ดินสอ ด้ายดิบ พระแสงปืนนพรัตน์ พระแสงขรรค์เพชรน้อย ผอบบรรจุขมิ้น ฯลฯ จัดเตรียมโดย สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

สิ่งของทั้งหลายที่เตรียมมาล้วนมีความหมายที่เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ทารกที่กำลังจะเกิด เช่น สมุดและดินสอเปรียบกับปัญญา พระแสงปืนนพรัตน์เปรียบกับความมุ่งมั่น พระแสงขรรค์เพชรน้อยเปรียบกับความกล้าหาญ ส่วนที่บดยาหมายถึงความอดทนและสุขภาพ

“สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครมารับไปเน้อ”

บทดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพิธีไทยโบราณที่เรียกว่า ‘แม่ซื้อ’ คนไทยสมัยก่อน มีความเชื่อว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาต้องมีแม่ซื้อประจำวันเกิดคอยดูแล เพื่อปกปักรักษาไม่ให้เด็กเจ็บไข้ได้ป่วย

ในอดีตมีความเชื่อกันว่า ในช่วง 3 วันแรก ทารกที่คลอดออกมาจะเป็นลูกของผีวิญญาณ และเมื่อพ้น 3 วันนี้ไปทารกก็จะกลายเป็นคนปกติ ด้วยเหตุนี้ จึงมีภาษิตว่า ‘สามวันลูกผี สี่วันลูกคน’

ตามประเพณีจึงมีการประกอบพิธีแม่ซื้อสำหรับทารกที่เพิ่งเกิด โดยนำเด็กทารกมาใส่กระด้งร่อน เพื่อบอกแก่แม่ซื้อว่ามีคนรับลูกไปเลี้ยงแล้ว โดยกล่าวให้ทราบว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใคร ใครเอาไปเน้อ”

เช่นเดียวกันกับในราชสำนักที่มีการทำพิธีแม่ซื้อ แต่สำหรับเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ภัณฑารักษ์บรรยายว่า ในพิธีนี้มีการเปลี่ยนคำในประโยคที่กล่าวแก่แม่ซื้อ โดยเปลี่ยนมาใช้คำว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกพระมหากษัตริย์ ลูกของใคร ใครเอาไปเน้อ” แทน

พิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่

พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เป็นพระราชพิธีที่ยึดถือปฏิบัติตามประเพณีไทยแต่โบราณ คือพิธีที่เฉลิมฉลองเมื่อพระราชธิดาหรือพระราชโอรสมีพระชนมายุครบ 1 เดือน คล้ายกับเป็นประเพณีรับขวัญเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตัวเด็ก

นิทรรศการครั้งนี้จัดแสดงเอกสารของ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวังขณะนั้น ซึ่งเป็นหนังสือกราบบังคมทูลเรื่องพระราชพิธีสมโภชเดือนและการขึ้นพระอู่ของ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา รายการที่ต้องใช้ในพระราชพิธี และกำหนดการพิธีต่างๆ

ภัณฑารักษ์บรรยายว่า ด้วยความที่ไม่มีเจ้าฟ้าประสูติมาประมาณ 32 ปีแล้ว พระราชพิธีทั้งหมดจึงต้องรื้อเอกสารเก่าๆ มาเทียบ รวมถึงเจ้านาย ณ ตอนนั้นต่างก็ลืมรายละเอียดพิธีไป จึงถือว่าการประสูติของเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี

ภัณฑารักษ์พาเดินต่อไปยังห้องบรรทมเมื่อครั้นปลายพระชนม์ของเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นห้องทรงพระอักษรมาก่อน ในนิทรรศการนี้ห้องนี้ใช้จัดแสดงวัตถุในพิธีสมโภชเดือน และสิ่งของที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้เป็นของทูลพระขวัญ

สิ่งแรกที่ได้ชมคือ เครื่องทองคำลงยาที่รัชกาลที่ 7 มอบให้เป็นของทูลพระขวัญในการสมโภชเดือน ประกอบไปด้วย โถบรรจุเครื่องผัดแป้งพระสำอาง ขันโต๊ะและพานทองคำลงยา แปรงและพระสางด้ามงาช้างประดับนพรัตน์ พร้อมทั้งทองบางสะพาน

เครื่องประดับทองคำลงยาเป็นศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่อดีต โดยค้นพบในวัฒนธรรมสำคัญหลายแห่ง เช่น กรีก อียิปต์ และโรมัน สำหรับในประเทศไทย การลงยาถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและข้าราชการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความประณีตและพิถีพิถันของช่างไทย

ภัณฑารักษ์เสริมเกร็ดให้ฟังว่า เมื่อก่อนมีความเชื่อว่าทองจากบางสะพานเป็นทองเนื้อดีที่สุด อีกทั้งยังเชื่อว่า ทองจากบางสะพานเป็นเครื่องรางนำโชค จึงมักนำมาทำเป็นเครื่องประดับ โดยจะไม่หลอมเพื่อขึ้นรูปใหม่ แต่ใช้กระบวนการอื่นเพื่อรักษาคุณค่าของทองไว้

เมื่อเปิดประตูไปยังห้องถัดไป จะพบกับข้าวของทูลพระขวัญเมื่อทรงพระเยาว์ ที่เจ้านายและข้าราชบริพารมอบให้ ซึ่งประกอบไปด้วยสิ่งของมากมายหลายอย่าง แต่สิ่งที่ดูจะตื่นตาตื่นใจเราได้มากคือ ของจิ๋วในตู้กระจก ของประดิษฐ์จากเจ้าจอมเลียม บุนนาค นักประดิษฐ์โมเดลจิ๋วคนแรกๆ ของสยาม

และสำหรับห้องสุดท้ายของนิทรรศการในพระตำหนัก ภัณฑารักษ์พาเดินไปยังห้องเสวย ห้องนี้จัดแสดงเครื่องเสวยที่ทรงใช้จริง ทั้งจานชาม ชุดช้อนส้อม โดยจัดแสดงทั้งแบบแรกที่เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯใช้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเซตชุดกระเบื้องที่ใช้หลังกลับมาจากอังกฤษ

วัตถุทั้งหลายที่จัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้เป็นการนำเสนอธรรมเนียมการประสูติในราชสำนักผ่านสิ่งของต่างๆ ซึ่งปกติแล้วไม่ได้เปิดให้เข้าชม ตลอดระยะเวลาเกือบชั่วโมงที่เดินชมวังรื่นฤดี ให้ความรู้สึกเหมือนกับเที่ยวบ้านของเศรษฐินี เป็นความรื่นฤดีกลางกรุงที่สมกับชื่อสถานที่แห่งนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...