เกิดใหม่เป็นภรรยาปากร้ายในยุค 70
ข้อมูลเบื้องต้น
เกิดใหม่เป็นภรรยาปากร้ายในยุค 70 [ 重生七零小辣媳 ]
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้หจก. EnJoyBook ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
การแปลนี้จัดร่วมกับ SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
ลิขสิทธิ์แปลไทย ⓒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็นจอยบุ๊ค
---------------------------------------
นิยายแปลเรื่อง เกิดใหม่เป็นภรรยาปากร้ายในยุค 70 [ 重生七零小辣媳 ]
ผู้แต่ง : 桃三月 ผู้แปล : ไหหม่า(海馬)
สถานะ ยังไม่จบ
อ่านตอนล่วงหน้าก่อนใคร คลิก >> https://bit.ly/3UDDLzj
เรื่องย่อ
ขณะที่ 'เชิ่งอันหนิง' แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมกำลังจะเดินทางไปยังสนามบินหลังกลับจากงานประชุมก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกลางทาง และทำให้เธอได้มาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวชื่อเดียวกันแห่งปี 1977 แต่แล้วเธอก็ต้องปวดหัว เนื่องเพราะเจ้าของร่างคนนี้เป็นหญิงปากร้าย เห็นแก่ตัว และชอบหาเรื่องชวนทะเลาะกับสามีไม่เว้นวันจนเป็นที่รังเกียจของทุกคน เธอผู้มาอาศัยร่างของหญิงร้ายกาจคนนี้จะหาทางเอาตัวรอดในยุคอันยากจนข้นแค้นนี้อย่างไรดีนะ?
คุณอาจจะชอบเรื่องนี้
ตอนที่ 1 การข้ามภพที่แตกต่างชื่อ
ตอนที่ 1 การข้ามภพที่แตกต่าง
“เธอว่าทำไมคนดีอย่างโจวสือซวินถึงเอาผู้หญิงอย่างเซิ่งอันหนิงทำเมียกันนะ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น ได้ยินมาว่าเซิ่งอันหนิงก็มีคนรักอยู่ในเมือง ตั้งแต่แต่งงานมาหล่อนยังไม่ได้เข้าห้องหอกับโจวสือซวินเลย”
“จริงหรือหรือเปล่าเนี่ย? ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าโจวก็น่าสงสารแล้ว แต่งเป็นเมียแต่กลับไม่เคยแตะเนื้อต้องตัว ดูท่าคงให้เกียรติหล่อนมาก”
“ฉันว่านะหัวหน้าโจวน่ะเป็นคนดีเกินไป ผู้หญิงแบบนี้ต้องลงไม้ลงมือบ้าง ทุบตีสักทีเดี๋ยวก็เชื่องเอง”
“ใช่ ๆ ๆ ภรรยาหน้าไม่อายแบบนี้ก็ควรทุบตีให้หนัก ๆ”
เซิ่งอันหนิงยืนฟังบทสนทนาไร้มารยาทของกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังประตูด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ใครจะคิดว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อน ร่างกายนี้จะถูกสับเปลี่ยนวิญญาณ?
หลังเข้าร่วมประชุมวิชาการทางการแพทย์ระหว่างประเทศเสร็จ เธอก็กำลังจะเดินทางกลับประเทศ แต่กลับประสบอุบัติเหตุระหว่างทางไปสนามบิน พอเธอฟื้นขึ้นมาอีกที วิญญาณของเธอก็ทะลุมิติมาเข้าร่างของภรรยาสาวชื่อเซิ่งอันหนิงนี่แล้ว
เธอใช้เวลาสองชั่วโมง ฝืนใจยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองได้ข้ามมิติมายังปี 1977 ซึ่งเป็นยุคที่ไม่มีอะไรเลย มิหนำซ้ำอาจต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนอาหาร
จากนั้นไม่นานเธอก็ต้องยอมรับว่าตัวเองแต่งงานแล้ว
เจ้าของร่างเดิมมีอายุยี่สิบปี เป็นสาวในเมือง เมื่อสามเดือนก่อนหล่อนแต่งงานกับโจวสือซวินที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยงานลับที่ทำวิจัยด้านนิวเคลียร์แห่งหนึ่ง ซึ่งสถานที่ตั้งนั้นอยู่ในภูเขาที่ห่างจากเขตเมืองประมาณสองร้อยกิโลเมตร เป็นธรรมดาที่ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาจะเย็นชาห่างเหิน
เซิ่งอันหนิงนึกถึงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาคู่นี้แทบจะใช้คำว่าห่างเหินไม่ได้เลย กล่าวว่าทะเลาะกันทุกวันก็ว่าได้
โจวสือซวินเกิดในชนบท เจ้าของร่างเดิมมักจะดูถูกเหยียดหยามเขา รู้สึกว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยดินโคลนสกปรก ความรังเกียจฉายชัดอยู่บนใบหน้า ทุกคำที่เอ่ยออกมาล้วนมีแต่คำพูดดูถูก
ห้ามเขาขึ้นเตียงนอน ทั้งยังห้ามเขากินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับหล่อน
เมื่อใดที่อารมณ์ไม่ดีมักจะโวยวายเสียงดัง ทำลายข้าวของ ดุด่าผู้คน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ โจวสือซวินมักจะออกไปอย่างเงียบเชียบ และไม่เคยเผชิญหน้าทะเลาะกับเจ้าของร่างเดิมเลย
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมและเพื่อนบ้านก็ยากจะอธิบายให้เข้าใจได้ในประโยคเดียว!
เพราะครอบครัวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ล้วนเป็นคนที่อยู่ในหน่วยงานเดียวกันกับโจวสือซวิน ภรรยาของคนงานส่วนใหญ่ก็เกิดในชนบท เจ้าของร่างเดิมดูแคลนคนบ้านนอกคอกนาเหล่านี้ ทุกครั้งที่เจอหน้า หล่อนก็แทบจะเชิดหน้ามองฟ้าทันที
เซิ่งอันหนิงปวดหัวกับความเย่อหยิ่งและความเอาแต่ใจของเจ้าของร่างเดิม โจวสือซวินไม่เคยโกรธแม้แต่ครั้งเดียว นับว่าเป็นผู้ชายแสนดีไม่น้อย
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงพวกนั้นจะเอ่ยนินทาเธอเสียงดังเช่นนี้
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เซิ่งอันหนิงคิดไม่ตก ในเมื่อเจ้าของร่างเดิมเอาแต่ใจเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่หย่า?
เซิ่งอันหนิงมองภายในห้องด้วยความงุนงง ทั้งในและนอกมีห้องทั้งหมดสองห้อง ด้านในเป็นห้องของเจ้าของร่างเดิม นอกจากเตียงใหญ่ที่นอนได้สองคน ก็มีโต๊ะตั้งอยู่ข้างหัวเตียงและโต๊ะเขียนหนังสืออย่างละตัว นอกนั้นก็ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อื่นแล้ว
ห้องด้านนอกชิดกำแพงมีเตียงเล็กสำหรับนอนคนเดียวตั้งอยู่ ผ้าห่มสีเขียวลายทหารถูกพับอย่างเรียบร้อย ซึ่งมันเป็นเตียงของโจวสือซวิน
มีตู้ใส่ถ้วยชาม เตา และโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้านข้าง
พื้นดินถูกกวาดจนเป็นมันวาว ดูเรียบง่ายและเก่าคร่ำคร่า
เซิ่งอันหนิงถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ในยุคนี้ออกจากบ้านเมื่อไรก็ต้องใช้คูปองซื้อของ แถมวัตถุดิบจำพวกน้ำตาลและน้ำมันยังมีจำนวนจำกัด เธอคิดแล้วก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะอยู่รอดได้อย่างไร
กลุ่มผู้หญิงที่อยู่นอกประตูเริ่มพูดคุยกันว่าจะกินอะไรเป็นอาหารเที่ยงดี เซิ่งอันหนิงถึงได้รู้สึกว่าท้องของตนเริ่มร้องจ๊อก ๆ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้เจ้าของร่างเดิมคงอารมณ์ไม่ดี ยังไม่กินอาหารเย็นก็นอนแล้ว ตลอดทั้งเช้าก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา
หลังจากตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นเซิ่งอันหนิงที่เป็นเธอไปเสียแล้ว
เซิ่งอันหนิงลูบท้องของตน พลางครุ่นคิดว่าสาเหตุที่ตนเข้ามาในร่างนี้อาจเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมไม่กินอาหารให้ตรงเวลาทุกวัน ทำให้แก๊สในกระเพาะเพิ่มขึ้น เป็นผลให้เกิดอาการช็อกและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชั่วคราว ด้วยช่องว่างนี้จึงทำให้เธอทะลุมิติมา
ในฐานะศัลยแพทย์อันดับหนึ่ง เซิ่งอันหนิงไม่มีทางทรมานร่างกายตัวเองเด็ดขาด เพราะเธออาจจะถูกส่งมาอยู่ในร่างนี้ชั่วคราว ดังนั้นก็ต้องดูแลร่างกายนี้ให้ดี เมื่อกินจนตัวเองอิ่มท้องก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไปดีแล้วกัน
คิดมาถึงตรงนี้ เธอก็ต้องต่อสู้กับอากาศอันหนาวเย็น ในปลายเดือนมีนาคมทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือยังคงหนาวมาก หิมะด้านนอกกำลังละลาย ภายในห้องไม่ได้จุดไฟจึงทำให้ทั้งบ้านเหมือนห้องแช่แข็ง
เธอเดินเข้าไปสัมผัสกับเตาที่เย็นเฉียบ เซิ่งอันหนิงซึ่งเกิดในครอบครัวร่ำรวยก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ใช้งานอย่างไร
คิด ๆ ดูแล้ว ไปถามคนอื่นน่าจะได้เรื่องมากกว่า
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงหมุนตัวกลับไปเปิดปะตู แสงแดดสาดส่องลงมาแยงเข้าตา ทำให้เธอต้องหลับตาลงทันที ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นผู้หญิงหลายคนที่นั่งอาบแดดอยู่ไม่ไกลนักทยอยลุกขึ้นมาทีละคน บางคนก็กระวีกระวาดอุ้มลูกออกไป
เหลือเพียงสองคนที่มองเธอด้วยสายตาระแวดระวัง
เซิ่งอันหนิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แม้จะจำชื่อของสองคนนี้ไม่ได้ แต่ก็เป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมเคยทะเลาะด้วย หญิงที่สวมเสื้อนวมกันหนาวลายดอกไม้สีฟ้าคนนั้นเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน เพียงเพราะหล่อนผัดพริกแห้งตอนทำอาหารจนทำให้เจ้าของร่างเดิมสำลัก เจ้าของร่างเดิมถึงกับเอาอ่างน้ำสาดไปที่หน้าต่างบ้านหล่อนแล้วยังก่นด่าเสียงดัง
ส่วนอีกคนที่อุ้มลูกอยู่นั้นไว้ผมสั้นประมาณติ่งหู ใบหน้ากลม แลดูเป็นผู้หญิงใสซื่อ
เพราะลูกของหล่อนนอนร้องกระจองอแงในตอนกลางคืนจนเสียงดังรบกวนเจ้าของร่างเดิม หล่อนจึงไปด่าหญิงสาวคนนั้นถึงในบ้านอย่างไร้เหตุผล ก่นด่าคำที่ไม่น่าฟังมากมาย อย่างเช่น หากเลี้ยงดูไม่ได้ก็โยนทิ้งไป หากเด็กยังร้องไห้อีกหล่อนจะบีบคอให้เด็กนั่นตายไปเสีย… เป็นต้น
เพราะหวาดกลัวต่อตำแหน่งอันสูงส่งของโจวสือซวิน ชาวบ้านเหล่านี้จึงไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าของร่างเดิม แต่ในใจเกรงว่าคงอยากฉีกหัวใจของหล่อนเป็นชิ้น ๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่นินทาหล่อนอย่างเกลียดชังเช่นนี้
เจ้าของร่างเดิมสร้างเรื่องไม่ดีเอาไว้มากมาย จนเซิ่งอันหนิงเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เมื่อหญิงสองคนเห็นเซิ่งอันหนิงเปิดประตูออกมาแต่ไม่ได้ตะโกนด่าพวกเธอ จึงหันหน้าสบตากัน ก่อนจะลุกจากม้านั่งแล้วอุ้มลูกเดินกลับบ้านของตัวเองอย่างเร่งรีบ
แถมยังมีเสียงปิดประตูดังปังอย่างรุนแรง ราวกับเซิ่งอันหนิงเป็นตัวเสนียดจัญไรก็ไม่ปาน
เซิ่งอันหนิงยืนนิ่งอยู่ในลานบ้าน หรี่ตามองบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแถว แต่ละแถวมีแปดหลัง แต่ละหลังมีลานหน้าบ้านเล็ก ๆ หิมะที่ตกสะสมในบ้านของเพื่อนบ้านถูกกวาดจนสะอาด เตรียมพร้อมปลูกผักเมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้น และยังมีเล้าที่ใช้เลี้ยงไก่
แต่ในลานบ้านเล็ก ๆ ของเจ้าของร่างเดิมกลับดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ กิ่งไม้ใบหญ้าทับถมจนกองเป็นพะเนิน มีก้อนถ่านจำนวนหนึ่งวางไว้ที่มุมกำแพงข้างหน้าต่าง
เซิ่งอันหนิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในเมื่อไม่มีใครช่วยได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่พึ่งตัวเองแล้ว
แม้ว่าจะยังไม่เคยก่อไฟ แต่เธอก็เคยดูรายกายทีวีที่เอาชีวิตรอดในถิ่นทุรกันดารมาไม่น้อย แค่จุดไฟที่ไม้แล้วนำถ่านมาวาง พอไฟไหม้ถ่าน ในห้องก็จะอุ่นขึ้น
ขณะกำลังคิด เธอก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นมาและเก็บกิ่งไม้ท่อนไม้ในลานบ้านหอบกลับเข้าไปในเรือน หลังจากหาไม้ขีดไฟเจอแล้วจึงเริ่มจุดไฟทันที
เพราะกิ่งไม้และท่อนไม้ชื้นเกินไป เมื่อเซิ่งอันหนิงผู้ไร้ประสบการณ์เห็นว่ากระดาษหนังสือพิมพ์ไม่สามารถจุดไฟติดได้ ความคิดสุดท้ายที่นึกออกก็คือเทน้ำมันหยดสุดท้ายในถังสังกะสีเคลือบลงบนกิ่งไม้
คราวนี้ไฟจุดติดแล้ว แต่กลับเกิดควันโขมงไปทั่วห้องในเวลาไม่นาน
เซิ่งอันหนิงเคยลำบากแบบนี้ที่ไหนกัน เธอสำลักควันจนไอออกมาไม่หยุด ทั้งปาดน้ำตาและโยนถ่านเข้าไปในเตานั่น
“หัวหน้า บ้านคุณไฟไหม้!”
ขณะที่โจวสือซวินและเพื่อนร่วมงานกำลังเดินกลับบ้าน พวกเขาก็มองเห็นควันโขมงอยู่ไกล ๆ เขาจึงรีบหิ้วปิ่นโตวิ่งกลับบ้านด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น
แม้เซิ่งอันหนิงจะไม่มีใจอยากอยู่กับเขา แต่เพราะสัญญาในปีนั้น การดูแลหล่อนจึงเป็นหน้าที่ของตน
และยิ่งไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน
ทันทีที่เตะประตูเข้าไป ควันหนาทึบพลันพวยพุ่งออกมา จากนั้นก็เห็นเซิ่งอันหนิงนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น เหมือนกับแมวลายตัวหนึ่งกำลังมองมายังเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อันหนิงคงอยากตะโกนสาปเจ้าของร่างเดิม ทำไมฉันต้องมาอยู่ในร่างผู้หญิงปากร้ายนิสัยเสียอย่างเธอด้วย ต้องมาเช็ดล้างวีรกรรมที่เธอทำไว้มันสนุกนักเหรอ
เอาใจช่วยอันหนิงในตอนต่อ ๆ ไปด้วยนะคะ แค่เปิดเรื่องมาก็เจอเรื่องน่าปวดหัวแล้ว
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 2 ชายผู้นี้คือสามีของเธอ
ตอนที่ 2 ชายผู้นี้คือสามีของเธอ
เซิ่งอันหนิงสำลักควันจนน้ำตาไหล เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันขวับไปทันที พลันเห็นเงาร่างสูงตระหง่านอยู่หน้าประตู เพราะร่างนั้นย้อนแสงจึงมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน
แต่จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม คนผู้นี้ก็คือโจวสือซวินสามีของเจ้าของร่างเดิม
เขาปรากฏตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ เธอก็ไม่รู้จะทักทายอย่างไรดี
โจวสือซวินรีบเดินเข้ามา วางปิ่นโตลงแล้วรีบไปเปิดหน้าต่างทันที ก่อนเข้าไปตรวจสอบเตาไฟ ซึ่งถ่านสีดำได้กลบกิ่งไม้ที่ติดไฟจนดับไปนานแล้ว
เพราะรู้ว่าเซิ่งอันหนิงไม่สนใจเขา และไม่เป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อน เขาจึงหยิบเหล็กคีบถ่านขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อจุดไฟอีกครั้ง
เซิ่งอันหนิงลุกขึ้นและถอยไปด้านหลังด้วยความกระอักกระอ่วน ควันในบ้านค่อย ๆ สลายหายไปแล้ว ห้องมืดสลัวค่อย ๆ สว่างขึ้นมา และเห็นใบหน้าของชายคนนี้ได้ชัดเจนขึ้น
ดวงตาของเขาเย็นชาใสกระจ่าง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเป็นเส้นตรงทำให้ดูเคร่งขรึมและซื่อตรงอยู่หลายส่วน
ผิวพรรณเป็นสีข้าวสาลีซึ่งดูสุขภาพดีมาก
เซิ่งอันหนิงที่มีสายตาละเอียดอ่อนก็รู้สึกว่าทั้งหน้าตาและบุคลิกของโจวสือซวินตรงตามมาตรฐานรสนิยมของเธอ แต่เธอก็ยังไม่มีกะจิตกะใจพูดถึงความรักความสัมพันธ์หลังจากทะลุมิติมา สิ่งที่เธอกำลังคิดก็คือจะแก้ไขความสัมพันธ์กับชายคนนี้อย่างไรดี
ถึงอย่างไรเธอก็ต้องเอาตัวรอดในยุคที่เธอไม่รู้อะไรเลย และยังต้องการความช่วยเหลือจากชายคนนี้
หลังตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน โจวสือซวินก็จุดไฟขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เปลวไฟริบหรี่ค่อย ๆ ลุกโชนอยู่ในเตา จากนั้นเขาก็มองเซิ่งอันหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เขารู้สึกประหลาดใจที่เซิ่งอันหนิงไม่ได้กลับเข้าห้องของตนหลังเขากลับมา เมื่อเห็นว่าใบหน้ารูปไข่งดงามขาวเนียนของเธอเต็มไปด้วยขี้เถ้า เขาก็หมุนกายเดินไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าตรงหน้าประตู แล้วเปลี่ยนน้ำในอ่าง ทั้งยังเทน้ำร้อนในกระติกน้ำร้อนผสมลงไปด้วย
จากนั้นจึงหันกลับมามองเซิ่งอันหนิงด้วยสายตานิ่งสงบ “ล้างหน้าหน่อยไหม?”
เซิ่งอันหนิงอึ้งงันอยู่ครู่หนึ่ง ตาเป็นประกายเพราะได้รับการดูแลแบบที่ไม่คาดคิด เธอพยักหน้าตอบทันที “ได้สิ ขอบใจนะ”
เจ้าของร่างเดิมปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น แต่เขาก็ยังเทน้ำล้างหน้าให้หล่อน คน ๆ นี้ใจกว้างไม่เบาเลย
แววตาของเซิ่งอันหนิงเป็นประกาย ยิ้มแย้มสดใสให้โจวสือซวิน และรีบเดินเข้าไปล้างหน้าล้างมือ
โจวสือซวินพิจารณาเซิ่งอันหนิงด้วยสีหน้านิ่งสงบ หล่อนถึงกับพูดขอบใจเขา ทั้งยังยิ้มให้เขา เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาไม่รู้ว่าในใจของหล่อนกำลังคิดอะไร
เขาเดินไปหยิบปิ่นโตที่นำกลับมาจากโรงอาหารของหน่วยงานและนำไปอุ่นบนเตา หลังจากถลกแขนเสื้อขึ้นก็หยิบผักกาดขาวหัวหนึ่งขึ้นมา
เซิ่งอันหนิงล้างมือเสร็จแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นถึงได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเขม่าควันสะท้อนอยู่บนกระจกกลมเล็ก ๆ ที่แขวนอยู่ ไม่แปลกใจเลยที่โจวสือซวินขอให้เธอล้างหน้าล้างตา ช่างน่าอายจริง ๆ
ดังนั้นเธอจึงรีบล้างหน้าให้สะอาด ครั้นเห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านในกระจก เธอก็คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าของร่างเดิมจะมีใบหน้าที่เหมือนเธอเช่นนี้ แต่เธอมีอายุใกล้จะสามสิบปีแล้ว หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในความเร่งรีบมาตลอด รูปร่างของเธอจึงผ่ายผอมกว่าเจ้าของร่างเดิม ส่วนผิวพรรณก็ไม่ได้ขาวเนียนเหมือนเจ้าของร่างเดิม
อาจเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมอารมณ์เสียบ่อยเกินไป แต่พอตอนนี้หน้าของหล่อนไม่ได้ซ่อนอารมณ์โมโหร้ายเอาไว้แล้ว จึงทำให้ดูเชื่อฟังขึ้นไม่น้อย
เธอเอื้อมมือขึ้นลูบคิ้ว อารมณ์เสียบ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องดี
เซิ่งอันหนิงล้างหน้าล้างตา เห็นผ้าขนหนูแขวนไว้ที่ราวสองผืน ผืนหนึ่งสีเขียวทหาร อีกผืนสีขาว จึงเดาว่าผืนสีขาวนั้นเป็นของเจ้าของร่างเดิม จึงหยิบมาเช็ดหน้า
เมื่อหันกลับมาเห็นว่าโจวสือซวินกำลังหั่นผักกาดขาว แขนเสื้อกันหนาวสีเขียวลายทหารถูกม้วนถลกขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนกำยำ ลวดลายเส้นเลือดบนแขนนั้นทำให้แขนดูทรงพลังอย่างยิ่ง
ด้วยการหั่นผักที่รวดเร็วอย่างชำนิชำนาญ ผักกาดขาวก็ถูกหั่นซอยเป็นเส้นเล็ก ๆ มีขนาดเท่ากันทุกเส้น
เซิ่งอันหนิงลอบถอนหายใจเงียบ ๆ สมกับเป็นคนหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดีไปหมด
แต่เพราะความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมและชายคนนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากชวนคุยอย่างไรดี เธอจึงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นาน จากนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ “เอ่อ… มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”
โจวสือซวินหยุดชะงักไปชั่วคราว เงยหน้ามองเซิ่งอันหนิง “เรื่องที่คุณพูดมาเมื่อวานมันเป็นไปไม่ได้”
เซิ่งอันหนิงตะลึงงัน และจำสาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมทะเลาะกับโจวสือซวินเมื่อคืนนี้ได้ เป็นเพราะหล่อนอยากกลับไปทำงานในเมือง เนื่องจากหน่วยงานของโจวสือซวินจะจัดหางานให้คนในครอบครัวของพนักงานในหน่วยงานทุกปี
จำนวนคนที่ได้ไปทำงานในเมืองมีจำกัดมากขึ้น หล่อนได้ยินมาว่าปีนี้มีเพียงสองตำแหน่งที่จะได้ไปทำงานในเมือง หนึ่งคือเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลรัฐในเมือง อีกตำแหน่งก็คือเป็นคุณครูที่โรงเรียนอนุบาลในเมือง
การคัดเลือกจะขึ้นอยู่กับความสามารถ คุณสมบัติ ประสบการณ์ และความยากลำบากของครอบครัว
ไม่ว่าจะคำนวณจากด้านไหน เจ้าของร่างเดิมก็ไม่มีคุณสมบัติใดเลย ยิ่งไปกว่านั้นความคิดของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ได้จะไปเพื่องาน แต่เพราะอยากกลับไปพบคนรักเก่าที่อยู่ในเมือง
ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยเรื่องอยากได้ตำแหน่งงานครูอนุบาลกับโจวสือซวิน
โจวสือซวินปฏิเสธหล่อนอย่างเย็นชา จากนั้นเจ้าของร่างเดิมจึงโมโหทำลายข้าวของในบ้าน
พอเซิ่งอันหนิงคิดถึงเรื่องเมื่อคืน เธอก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทั้งที่แต่งงานแล้วทำไมถึงยังมีคนรักอยู่ในเมืองอีก
พอเห็นใบหน้าเย็นชาของโจวสือซวิน เธอก็รีบโบกมือทันที “ไม่ใช่ ๆ ฉันรู้ว่าคุณสมบัติฉันไม่พอกับงานนี้ ให้คนที่เขาต้องการเถอะ ฉันแค่อยากช่วยคุณทำกับข้าวเท่านั้นเอง”
โจวสือซวินเหลือบตามองเธอครู่หนึ่ง “ไม่ต้อง”
เซิ่งอันหนิงยืนมองโจวสือซวินทำกับข้าวอยู่ข้าง ๆ เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายก็คือการผัดผัก โจวสือซวินเห็นว่าน้ำมันในถังสังกะสีเคลือบหมดแล้ว จึงได้แต่ขมวดคิ้ว เดินไปหยิบกระปุกน้ำมันหมูออกมา ตักขึ้นมาหนึ่งช้อนหยอดลงในกระทะ
จากนั้นนำหัวหอม ขิง กระเทียม และพริกแดงแห้งลงไปในกระทะ กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณทันที และโชยเข้าจมูกโดยตรง
เซิ่งอันหนิงรู้ว่าตนต้องหิวแน่ แค่ผัดผักกาดขาวธรรมดา ๆ ในกระทะก็ทำให้เธอกลืนน้ำลายแล้ว
อาหารมื้อเที่ยงนั้นเรียบง่ายมาก มีหมูสามชั้นผัดซอสแดงที่โจวสือซวินนำกลับมาจากโรงอาหาร ไขมันเยอะเนื้อน้อย สีสันจืดชืด มองอย่างไรก็ไม่น่าอร่อย จากนั้นก็เป็นผัดผักกาดขาว ส่วนอาหารหลักคือหมั่นโถว
เซิ่งอันหนิงเห็นโจวสือซวินอุ่นหมั่นโถว จึงช่วยเหลือด้วยการจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ และไปหยิบตะเกียบด้วยความคล่องแคล่ว
โจวสือซวินมองดูถ้วยและตะเกียบสองชุดด้วยแววตาคาดไม่ถึง เซิ่งอันหนิงในวันนี้ดูผิดแปลกไป เพราะเมื่อก่อนแค่เขาหายใจต่อหน้าหล่อน หล่อนก็รู้สึกว่าอากาศรอบ ๆ ตัวสกปรกกลายเป็นกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจของคนชนบทไปแล้ว
หลังจากวางหมั่นโถวและกับข้าวลงบนโต๊ะ เซิ่งอันหนิงจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามทันที จ้องมองหมั่นโถวเนื้อหยาบพร้อมกล่าวว่า “ดูน่าอร่อยมาก คุณนี่สุดยอดจริง ๆ ค่ะ”
คิ้วของโจวสือซวินกระตุก คาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงของเซิ่งอันหนิง เกรงว่าหล่อนคงจะเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายของตัวเองกระมัง
เขายังคงนั่งลงตรงข้ามเซิ่งอันหนิง หยิบหมั่นโถวขึ้นมากิน
เซิ่งอันหนิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดเมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางระแวดระวังของผู้ชายคนนี้ จากการกระทำของเจ้าของร่างเดิมแล้ว เขาคงกำลังเดาว่าเธอจะมาไม้ไหนอยู่กระมัง
เธอกัดหมั่นโถวไปหนึ่งคำ ก่อนจะมองดูหมั่นโถวสีเหลืองอ่อน หลังจากกัดเข้าไปแล้วก็รู้สึกถึงเนื้อหมั่นโถวที่ทั้งแห้งและแข็ง เวลากลืนลงไปก็รู้สึกฝืดคอ
ไม่นุ่มเหมือนกับโวโวโถวข้าวโพดอันหอมหวานที่เธอเคยกินในร้านอาหารเลย
เธอยืดคอเพื่อกลืนมันลงไปและรีบคว้าถ้วยน้ำดื่มน้ำตามไปสองอึก
โจวสือซวินมองดูเซิ่งอันหนิงครู่หนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาลงกินต่อ
ขณะที่ทั้งสองกินข้าวอย่างเงียบ ๆ และจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นนอกประตู “หัวหน้าโจว! คุณอยู่บ้านไหมคะ”
น้ำเสียงของหล่อนฟังดูร้อนรน และมีเสียงร้องไห้ปนมาด้วย
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครเป็นพี่โจวก็รู้สึกแปลกใจหมดแหละค่ะ ภรรยาที่ไม่มีวันได้ญาติดีกันเลยจู่ ๆ วันนี้ก็พูดเสียงอ่อนหวานช่วยจัดโต๊ะจัดกับข้าวงี้
ใครมาหากันนะ
ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 3 โจวสือซวินรู้สึกว่าเซิ่งอันหนิงไม่เหมือนเดิม
ตอนที่ 3 โจวสือซวินรู้สึกว่าเซิ่งอันหนิงไม่เหมือนเดิม
โจวสือซวินนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบวางตะเกียบลงแล้ววิ่งออกไป
เซิ่งอันหนิงวางตะเกียบลงบ้างและตามออกไป จึงเห็นจางอีเหมย หญิงสาวหน้ากลมที่เธอเพิ่งเห็นในลานบ้านเมื่อครู่กำลังอุ้มลูกที่กำลังร้องกระจองอแง ไม่รู้ว่าเด็กน้อยเป็นอะไร สีหน้าของเขาถึงได้ดูม่วงคล้ำ
ด้านข้างมีหญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนอยู่พลางทำสีหน้าร้อนรน
สายตาของจางอีเหมยมองโจวสือซวินราวกับมองเห็นดวงดาว “หัวหน้าโจว ซานจื่อสำลักไม่หยุด ตบอย่างไรก็ไม่หาย หมอเซี่ยวบอกให้รีบพาไปหาหมอ แต่สามีฉันเพิ่งออกจากบ้านไป…”
หล่อนทั้งร้องไห้และตบลูกในอ้อมกอดเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าเด็กกำลังหายใจติดขัด
โจวสือซวินรีบวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กโดยไม่คิดให้มากความ “ไป พวกเรารีบไปโรงพยาบาลกันตอนนี้”
“เดี๋ยวก่อน”
เซิ่งอันหนิงรีบวิ่งตามเข้าไป และเห็นว่าเด็กกำลังมีท่าทางทรมาน ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ก็เข้าขั้นวิกฤติแล้ว เกรงว่าคงสิ้นใจตายก่อนวิ่งไปถึงโรงพยาบาลเสียอีก
วิชาชีพหมอทำให้เธอไม่สนใจสิ่งใด โบกมือสั่งโจวสือซวินทันที “สีหน้าเด็กดูเจ็บปวดมาก หายใจรัวเร็วดูลำบาก ส่งโรงพยาบาลเกรงว่าจะไม่ทัน คุณลองกดมือลงใต้หน้าอกเด็กหนึ่งนิ้ว กดเบา ๆ เร็วเข้า”
จางอีเหมยไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเซิ่งอันหนิงเท่าไรนัก ถึงอย่างไรหญิงชั่วร้ายคนนี้ก็เคยด่าหล่อนในตอนแรก ทั้งยังเคยสาปแช่งลูกชายของหล่อนให้ตาย
วิธีการที่เธอพูดมาเมื่อครู่นี้ใครจะรู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ หล่อนจึงรีบร้องไห้เร่งเร้าโจวสือซวิน “หัวหน้าโจว รีบไปเถอะค่ะ! ไปโรงพยาบาลกัน! ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันแล้วนะคะ”
หญิงสาวในเสื้อเชิ้ตสีขาวมองเซิ่งอันหนิงด้วยสายตาอาฆาต และเร่งเร้าโจวสือซวินเช่นกัน “พี่โจว เร็ว ๆ เถอะค่ะ ซานจื่อจะล่าช้าอีกไม่ได้แล้วนะคะ”
เซิ่งอันหนิงไม่ได้หวังให้คนพวกนี้เชื่อเธอในทันที เธอเข้าไปแย่งตัวเด็กในอ้อมกอดโจวสือซวิน โดยอุ้มเด็กจากทางด้านหลัง
จากนั้นใช้สองมือกดกระแทกใต้ลิ้นปี่ของเด็กเพื่อช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้กล้ามเนื้อท้องของเด็กยกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มแรงดันในทรวงอก สร้างแรงดันให้เศษอาหารที่ติดอยู่ในช่องทางเดินหายใจออกมา(1)
โจวสือซวินอึ้งไปครู่หนึ่งหลังเห็นเซิ่งอันหนิงแย่งตัวเด็กไปแบบนั้น เพราะกลัวว่านิสัยดุร้ายและเห็นแก่ตัวของเธอจะทำให้พลาดโอกาสในการช่วยเหลือชีวิตเด็กไป ถึงอย่างไรนี่ก็คือชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ต่างจากช่วงเวลาที่หล่อนก่อเรื่องวุ่นวาย
เขาเข้าไปผลักเซิ่งอันหนิงอย่างแรงเพื่อแย่งตัวเด็กมา ก่อนจะคำรามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เซิ่งอันหนิง! คุณกำลังทำบ้าอะไร!”
เซิ่งอันหนิงถอยเซไปหลายก้าวและกระแทกขอบประตูด้านหลังอย่างแรง แผ่นหลังบริเวณที่ถูกกระแทกพลันเจ็บแปลบ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาทะเลาะ ชีวิตของเด็กคนนั้นจะรอแม้แต่นาทีเดียวไม่ได้
เธอมองโจวสือซวินด้วยสายตาเดือดดาล “ตอนนี้พวกคุณจะพลาดเวลาที่สำคัญที่สุดในการช่วยชีวิตเด็กคนนี้ไม่ได้นะ โจวสือซวิน ฉันช่วยเด็กคนนี้ได้ ฉันเอาชีวิตเป็นประกัน”
หลังกล่าวเช่นนั้นเธอก็เข้าไปแย่งเด็กมาอีกครั้งด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ หากไม่ได้การจริง ๆ ก็คงทำได้เพียงผ่าตัดนำสิ่งแปลกปลอมออกมาจากหลอดลมเท่านั้น
เซิ่งอันหนิงร้องคำราม แววตาเดือดดาลนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับดอกกุหลาบในเปลวไฟอันร้อนแรงและอุดมหนามคม
แต่สายตานี้กลับทำให้คนเชื่อถือเธออย่างบอกไม่ถูก
โจวสือซวินไม่ได้แย่งเด็กกลับมา เพียงมองดูเซิ่งอันหนิงปฐมพยาบาล ผมของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงบนขนตาของเธอ
จางอีเหมยร้องไห้ด้วยความร้อนใจ หมายจะเข้าไปแย่งเด็ก แต่กลับถูกโจวสือซวินห้ามเอาไว้
เซี่ยวเยี่ยนกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “พี่โจว นี่มันเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับชีวิตคนเลยนะคะ หากทำเช่นนี้แล้วได้ผล พวกเราจะรีบร้อนขนาดนี้ได้อย่างไร?”
โจวสือซวินเม้มปากจ้องมองเซิ่งอันหนิง มือเขากำหมัดแน่นอย่างอดไม่ได้
เซิ่งอันหนิงไม่รู้ว่าตนกดลงไปกี่ครั้ง จนในที่สุดพุทราทั้งลูกก็หลุดออกมาจากปากของเด็ก และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ดังจ้า เธอถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อจางอีเหมยได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ หล่อนก็รีบโผเข้าไปอุ้มลูกของตัวเอง “ซานจื่อ! ดีจังเลยที่หนูไม่เป็นอะไร”
เซี่ยวเยี่ยนเห็นเซิ่งอันหนิงช่วยเหลือเด็กได้ จึงขมวดคิ้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เธอทำเรื่องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ ครั้งนี้ถึงจะโชคดี แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริง ๆ เธอจะรับผิดชอบไหวไหม?”
เซิ่งอันหนิงค้นดูความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็รู้จักหญิงสาวที่มีหน้าตาอ่อนโยนคนนี้ คำพูดเมื่อครู่นี้ฟังดูเหมือนเป็นหมอ น้ำเสียงเดือดดาลแบบแปลก ๆ แสดงให้เห็นว่าหล่อนคงไม่เคยโกรธใครมาก่อน เซิ่งอันหนิงจึงแค่นเสียงชา “เธอเองก็เป็นหมอ แค่วิธีปฐมพยาบาลง่าย ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้เหรอ? เธอเป็นหมอได้ยังไง”
เซี่ยวเยี่ยนไม่ได้จบหมอมาจริง ๆ แต่เคยรู้จักหมอในเมือง จึงนับว่าหล่อนเป็นหมอเท้าเปล่า(2)
หลังจากผ่านการประเมิน ตอนนี้หล่อนก็ได้กลายเป็นหมอในทีมสถานพยาบาล หน้าที่หลัก ๆ ของหล่อนคือดูแลหมูบ้านเล็ก ๆ ใครมีอาการปวดหัวตัวร้อน เด็กเป็นหวัดมีอาการไอก็ต้องไปให้หล่อนดูอาการ
ความสัมพันธ์ของหล่อนกับชาวบ้านจึงดีมาก
แต่ตอนนี้กลับถูกเซิ่งอันหนิงตอกหน้ากลับ ใบหน้าที่งดงามแดงจึงก่ำทันที “เธอ… เธอพูดขนาดนี้ได้ยังไง? เธอ…”
หล่อนมองเซิ่งอันหนิงด้วยสายตาแดงก่ำเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ
จางอีเหมยยังอยากปกป้องเซี่ยวเยี่ยน เมื่อเห็นเซิ่งอันหนิงถากถางคุณหมอเซี่ยวเช่นนี้ มือหนึ่งจึงอุ้มลูก อีกมือก็ปาดน้ำตา “ต่อให้เธอช่วยซานจื่อได้ แต่เธอจะมาพูดแบบนี้กับคุณหมอเซี่ยวไม่ได้นะ เมื่อกี้อาจเป็นเพราะพุทรามันใกล้จะหลุดออกมาอยู่แล้วใครจะไปรู้ พอเธอทำแบบนั้นมันก็เลยหลุดออกมาก็ได้”
อยู่ ๆ เซิ่งอันหนิงกลับรู้สึกว่าการที่เจ้าของร่างเดิมไม่มีเหตุผลมันก็มีประโยชน์อยู่บ้าง นั่นก็คือเธอไม่มีทางเสียเปรียบ
เธอจึงเอ่ยเยาะเย้ยหญิงสาวไร้สมองคนนี้ “ได้ ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ วันนี้ก็ถือว่าฉันยุ่งเรื่องชาวบ้านมากไปแล้วกัน ถ้าครั้งหน้าเปลี่ยนเป็นคุณ ต่อให้คุณจะใกล้ตายอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันก็จะไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย”
เมื่อพูดจบก็เดินกลับเข้าบ้าน และยังกระแทกประตูปิดอย่างแรง
เพราะเธอใส่แรงมากเกินไปจริง ๆ หลังจากเสียงปิดประตูดังลั่นขึ้นมา ดินรอบ ๆ ประตูก็ร่วงกราวลงมาด้วยเพราะแรงสั่นสะเทือน
จางอีเหมยหน้าแดงก่ำ พูดเสียงตะกุกตะกัก “เธอ… เธอแช่งฉันให้ตายเหรอ? ทำไมเธอถึงได้เป็นคนชั่วร้ายขนาดนี้”
เซี่ยวเยี่ยนเข้าไปคว้าแขนของจางอีเหมย ทั้งยังเอื้อมมือลูบหลังเด็กในอ้อมกอดหล่อนพร้อมพูดปลอบใจ “พี่สาว ใจเย็นก่อน ดูอาการของซานจื่อก่อนเถอะค่ะ”
หลังจากพูดเสร็จก็หันกลับไปขอโทษโจวสือซวิน “พี่โจว ฉันขอโทษจริง ๆ นะ พวกฉันอาจจะเข้าใจพี่สะใภ้ผิดไป รอพี่สะใภ้หายโกรธเมื่อไร พวกเราจะมาขอโทษหล่อน คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะมีน้ำใจขนาดนี้”
โจวสือซวินแค่พยักหน้ารับด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น ไม่พูดอะไร ก่อนจะมองไปยังประตูที่ถูกปิดแน่น คิดว่าครั้งนี้เซิ่งอันหนิงคงโกรธมากจริง ๆ
เมื่อเซิ่งอันหนิงเข้าไปในบ้าน เธอทำแค่ถอนหายใจ จากนั้นก็ล้างมือแล้วนั่งลงกินข้าวต่อด้วยท่าทางนิ่งสงบ
เมื่อครู่ที่เธอช่วยเด็กคนนั้น และหุนหันพลันแล่นระเบิดอารมณ์ออกมา สายตานั้นของโจวสือซวินก็ยากจะหยั่งถึง ราวกับสามารถมองความคิดในใจคนได้จนทะลุปรุโปร่ง
ดังนั้นเธอจึงต้องทำตัวเอาแต่ใจหน่อย เพื่อไม่ให้เขาสงสัย
ไม่อย่างนั้น ถ้านิสัยของเธอกับเจ้าของร่างเดิมต่างกันเกินไป ครั้งหน้าเขาคงจับเธอส่งโรงพยาบาลจิตเวชแน่นอน
โจวสือซวินยืนอยู่หน้าห้องครู่ใหญ่ เซิ่งอันหนิงกินหมั่นโถวหมดไปครึ่งลูก ส่วนผัดผักกาดขาวที่เหลืออยู่ครึ่งจานเธอก็กินจนเกลี้ยง แต่หมูสามชั้นผัดซอสแดงเธอไม่กินแม้แต่คำเดียว
เมื่อคิดถึงตอนที่ผลักเซิ่งอันหนิงเมื่อครู่ เขาก็ใช้แรงไปไม่น้อย จึงรู้สึกผิดขึ้นมา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็เดินไปข้างเตียง หยิบจดหมายที่อยู่ใต้หมอนออกมา จากนั้นจึงเดินไปมอบให้เซิ่งอันหนิง “อันนี้ให้คุณ”
-----------------------------------------------------------------------------------------
(1)การปฐมพยาบาลกรณีมีของติดคอที่เรียกว่า Heimlich maneuver เป็นวิธีกระทุ้งให้เกิดแรงดันในช่องว่างทรวงอกจนทำให้สิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ในลำคอหลุดออก กรณีอาหารติดคอแล้วอยู่คนเดียว ไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ ให้กระแทกพนักพิงของเก้าอี้หรือขอบโต๊ะเข้ากับบริเวณลิ้นปี่ในลักษณะกระทุ้งขึ้น หรือผสานมือทั้งสองข้างเป็นกำปั้นแล้วกระแทกในลักษณะกระทุ้งขึ้นที่บริเวณลิ้นปี่ ทั้งนี้ควรใช้วิธีนี้เป็นการปฐมพยาบาลขั้นสุดท้ายหากปฐมพยาบาลอย่างอื่นแล้วไม่ได้ผล
(2)หมอเท้าเปล่า หมายถึงคนที่ฝึกวิชาแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบท ซึ่งอาจไม่ได้เรียนวิชาแพทย์มาโดยตรงเลยก็ได้
สารจากผู้แปล
ได้ใช้วิชาความรู้ที่ติดตัวมาก็ตอนนี้แหละค่ะ ขืนรอไปส่งโรงพยาบาลเด็กได้ตายก่อน
ไหหม่า(海馬)