โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เปิดประวัติ เอสโซ่ ประเทศไทย ตำนานปั๊มพี่เสือที่อยู่ในไทยกว่า 129 ปี

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 21 ก.ค. เวลา 12.14 น. • เผยแพร่ 31 ส.ค. 2566 เวลา 11.03 น.

เปิดประวัติ เอสโซ่ ประเทศไทย (ESSO) บริษัทน้ำมันต่างชาติที่อยู่กับคนไทยมากว่า 129 ปี ก่อนปิดหน้าประวัติศาสตร์ “ปั๊มพี่เสือ” ที่คนไทยคุ้นเคยมายาวนาน

นับเป็นหนึ่งในข่าวใหญ่ของไทย และวงการธุรกิจน้ำมันของประเทศไทย เมื่อบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเข้าซื้อหุ้นและกิจการของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทน้ำมันต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาถึง 129 ปี และกำลังจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านสถานีบริการน้ำมัน “เอสโซ่” ทุกสาขา เป็นแบรนด์ “บางจาก” ตั้งแต่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป

“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนย้อนหน้าประวัติศาสตร์และเรื่องราวตลอด 129 ปี ของปั๊มพี่เสือที่คนไทยคุ้นเคยไปพร้อมกัน

จุดเริ่มต้น “เอสโซ่ ประเทศไทย”

เอสโซ่ เริ่มเข้ามาดำเนินกิจการในไทยตั้งแต่ปี 2437 ในชื่อ “บริษัท แสตนดาร์ดออยล์แห่งนิวยอร์ก” ทำหน้าที่จำหน่ายน้ำมันก๊าดตราไก่และตรานกอินทรี โดยเปิดสาขาในประเทศไทยที่ตรอกกัปตันบุช (ซอยเจริญกรุง 30 ในปัจจุบัน) จากนั้นในปี 2474 บริษัท แสตนดาร์ดออยล์แห่งนิวยอร์ก และบริษัท แว๊คคั่มออยล์ ร่วมกันจัดตั้ง บริษัท โซโกนีแว๊คคั่ม คอร์ปอเรชั่น และจำหน่ายผลิตภัณฑ์หล่อลื่นตรา “การ์กอยส์”

และอีก 2 ปีต่อมา (ปี 2476) ร่วมทุนกับบริษัทแสตนดาร์ดออยส์ (นิวเจอร์ซี) และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท แสตนดาร์ดแว๊คคั่มออยล์ จำกัด ใช้เครื่องหมายการค้า “ม้าบิน” และเริ่มดำเนินการกิจการคลังน้ำมันในปี 2490 โดยรับซื้อกิจการ “คลังน้ำมันช่องนนทรี” จากกรมเชื้อเพลง มาดำเนินการต่อ

ปี 2505 เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด อีสเทอร์น จำกัด” ในวันที่ 1 เมษายน 2505 และเปลี่ยนแปลงเครื่องหมายการค้าจาก “ตราม้าบิน” มาเป็น “ตราเอสโซ่” ในวงรีรูปไข่ แบบที่คุ้นเคยในปัจจุบัน และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด” ในปี 2508

และดำเนินกิจการด้านน้ำมันในนาม “เอสโซ่ (ESSO)” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสถานีบริการน้ำมันที่มีอยู่ทั่วประเทศ และโรงกลั่นน้ำมันและอะโรเมติกส์ ที่ศรีราชา จ.ชลบุรี

สำหรับโรงกลั่นน้ำมันของเอสโซ่ ที่ศรีราชา เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2514 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 35,000 บาร์เรลต่อวัน และตั้งแต่ปี 2534 ภาครัฐอนุมัติการเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมันดิบเป็น 185,000 บาร์เรลต่อวัน และเอสโซ่ได้ขยายกำลังการกลั่นน้ำมันดิบมาต่อเนื่องจนเป็น 174,000 บาร์เรลต่อวัน

จากนั้นในปี 2539 เอสโซ่ แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)”

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ การรวมกิจการกับ บริษัท โมบิลออยล์ไทยแลนด์ จำกัด เมื่อปี 2544 และดำเนินการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ โมบิล (Mobil) โดยเอสโซ่

และค่อย ๆ เติบโตมากขึ้น จนเริ่มจัดตั้ง “บริษัท เอ็กซอนโมบิล จำกัด” และ “ศูนย์ธุรกิจระดับโลก กรุงเทพ (Bangkok Global Business Center หรือ Bangkok GBC)” หรือ “ศูนย์บริการธุรกิจระดับโลก” ในปัจจุบัน เพื่อให้บริการแก่บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลและลูกค้าในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้

ก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2551 และยังลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาน้ำมัน และการพลิกโฉมสถานีบริการน้ำมันให้ทันสมัยขึ้น

อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของปั๊มเอสโซ่ คือ พี่เสือ ซึ่งเป็นมาสคอตประจำปั๊มที่คนไทยคุ้นเคยกัน และสโลแกนที่คุ้นเคยของคนไทย คือ “จับเสือใส่ถังพลังสูง (Put A Tiger In Your Tank)” ซึ่งเป็นสโลแกนในอดีตที่ใช้เพื่อสื่อสารถึงประสิทธิภาพของน้ำมันที่ให้สมรรถนะที่ดีเหมือนกับการวิ่งของเสือ อีกทั้งยังเป็นโลโก้ประจำร้าน Tiger Mart ร้านสะดวกซื้อของเอสโซ่

แท็กทีม “พาร์ตเนอร์” เสริมปั๊มเอสโซ่

ในช่วงที่ผ่านมาของการให้บริการในปั๊มน้ำมันเอสโซ่ จะพบเห็นเหล่าร้านค้าและบริการมากมายที่มาร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ทั้งกลุ่มร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ และจุดบริการต่าง ๆ เข้ามาเปิดร้าน ให้บริการลูกค้าในปั๊ม เช่น โลตัส โกเฟรช, ร้านกาแฟ คอฟฟี่ เจอนี (Coffee Journey), เคเอฟซี, แมคโดนัลด์, สตาร์บัคส์ เป็นต้น

โดยในปี 2565 เอสโซ่ระบุว่า มีร้านค้าพันธมิตรให้บริการในสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 436 แห่ง

ขณะที่การขยายปั๊มน้ำมันของเอสโซ่ในประเทศไทยนั้น ได้ร่วมกัน 2 บริษัทน้ำมันของไทย คือ บริษัท เพียวพลังงานไทย จำกัด และบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) เพื่อปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันบางแห่งของ 2 บริษัทนี้ เป็นแบรนด์ “เอสโซ่” โดยเริ่มลงนามความร่วมมือกับ บจก.เพียวพลังงานไทย ในปี 2560 และลงนามความร่วมมือกับ บมจ.ซัสโก้ ในปี 2563

จากข้อมูล ณ สิ้นปี 2565 สถานีบริการของทั้ง 2 บริษัทมีการเปลี่ยนโฉมแล้วหลักร้อยแห่ง แบ่งเป็น

  • ปั๊มเอสโซ่ ในนาม บจก.เพียวพลังงานไทย 74 แห่ง
  • ปั๊มเอสโซ่ ในนาม บมจ.ซัสโก้ 83 แห่ง

และเมื่อรวมทุกสาขาของปั๊มเอสโซ่ เมื่อปี 2565 จะมีทั้งหมด 802 แห่ง โดยแบ่งเป็น

  • บริษัทเป็นเจ้าของ 279 แห่ง
  • ดีลเลอร์ภายนอกเป็นเจ้าของ 523 แห่ง

ขณะที่ตัวเลขสถานีบริการล่าสุด ณ ครึ่งแรกของปี 2566 เป็นดังนี้

  • ปั๊มน้ำมัน 832 แห่ง (เปิดใหม่ 34 แห่ง)
  • ร้านค้าในสถานีบริการ 463 แห่ง

ดีลใหญ่ เทกโอเวอร์ “เอสโซ่”

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 การประกาศเข้าซื้อกิจการ เอสโซ่ ประเทศไทย ของบางจากฯ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ผู้คนให้ความสนใจอย่างมาก โดยทั้ง 2 บริษัทมีการทำสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ในวันที่ 11 มกราคม 2566 จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (ผู้ขาย) โดยมีมูลค่ากิจการ 55,000 บาท

จากนั้นจึงมีการส่งหนังสือถึงคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เพื่อขออนุญาตควบรวมโรงกลั่นน้ำมันระหว่างบางจากและเอสโซ่ เนื่องจากเข้าข่ายที่ต้องขออนุญาตควบรวมกิจการ โดยการควบรวมครั้งนี้เข้าหลักเกณฑ์ต้องขออนุญาตควบรวมกิจการตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 51

หลังจากนั้น คณะกรรมการ กขค. มีการกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้รวมธุรกิจต้องปฏิบัติ 6 ข้อดังต่อไปนี้

1.ห้ามมิให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานภาครัฐ เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

2.ให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดซื้อน้ำมันดิบจากคู่ค้ารายใดรายหนึ่งไม่เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากรายใดรายหนึ่งมากเกินไป ซึ่งอาจเสี่ยงต่อความมั่นคงทางพลังงาน เว้นแต่เป็นการจัดซื้อน้ำมันดิบจากผู้ประกอบธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กันทางนโยบายหรืออำนาจสั่งการของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลการจัดซื้อน้ำมันดิบของปีที่ผ่านมาต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ภายในไตรมาสแรกของปีถัดไป

3.ให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างลูกค้าในตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ที่ได้ทำไว้กับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลง ต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรจากลูกค้าในตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรายนั้นด้วย

4.ให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO ที่ได้ทำไว้กับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลง ต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO รายนั้นด้วย

กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO มีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่าได้รับผลกระทบจากการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สามารถใช้เป็นเหตุผลในการบอกเลิกสัญญาได้ โดยต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ

5.ให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนการพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและธุรกิจพลังงานสีเขียว โดยต้องดำเนินโครงการไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมา และต้องมีงบประมาณในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพลังงานสีเขียวและการจัดการสิ่งแวดล้อม ไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ

เพื่อรักษาระดับการพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม อันเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันด้านนวัตกรรมและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค พร้อมทั้งจัดทำแนวทางปฏิบัติกรอบเวลาดำเนินการ ตัวชี้วัด และให้ปฏิบัติตามแผนการดังกล่าว โดยให้จัดทำแผนการดำเนินงานเสนอต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ และรายงานผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมาต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าภายในไตรมาสแรกของปีถัดไป

6.ให้บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนการส่งผ่านประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมธุรกิจไปสู่ผู้บริโภคและสังคม โดยต้องดำเนินโครงการไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ เพื่อเป็นหลักประกันการส่งผ่านประโยชน์ไปยังผู้บริโภคและสังคม ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วย

พร้อมทั้งจัดทำแนวทางปฏิบัติ กรอบเวลาดำเนินการ ตัวชี้วัด และให้ปฏิบัติตามแผนการดังกล่าว โดยให้จัดทำแผนการดำเนินงานเสนอต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ และรายงานผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมาต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าภายในไตรมาสแรกของปีถัดไป

และเมื่อ 25 สิงหาคม 2566 บางจากฯ ได้รายงานความคืบหน้าการเข้าซื้อกิจการ เอสโซ่ ประเทศไทย ระบุว่า บริษัทจะดำเนินการซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวจากผู้ขายในมูลค่า 22,605,926,000 บาท หรือคิดเป็นราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น (โดยการปัดเศษทศนิยม 4 ตำแหน่ง) และชำระราคาค่าหุ้นสามัญให้กับผู้ขาย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566

และจะมีการทำ Tender Offer หุ้นส่วนที่เหลืออีก 34.01% หุ้นละ 9.8986 บาท มูลค่ารวม 11,651,721,248.80 บาท ในวันที่ 8 กันยายน-12 ตุลาคม 2566 และชำระราคาหลักทรัพย์ในวันที่ 17 ตุลาคม 2566

ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 ซึ่งเป็นไตรมาสก่อนหน้าจะมีการปิดดีลเป็นทางการ พบว่ามีรายได้ 51,672 ล้านบาท ขาดทุน 1,776 ล้านบาท สาเหตุจากค่าการกลั่นลดลง และผลกระทบเชิงลบของสินค้าคงเหลือ ต้นทุนทางการเงินสุทธิเพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท ขณะที่เมื่อพิจารณารายได้สะสมครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 111,399 ล้านบาท ขาดทุน 376 ล้านบาท

“บางจากฯ” จะได้อะไรจากการเข้าซื้อ “เอสโซ๋ (ประเทศไทย)”

การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ บางจากฯ จะได้กรรมสิทธิ์ดังนี้

  • โรงกลั่นศรีราชา ขนาดกำลังการผลิต 174,000 แสนบาร์เรล ส่งผลให้ ปัจจุบันบางจากจะมีโรงกลั่นบางจากพระโขนง (เดิม).และโรงกลั่นบางจาก ศรีราชา 2 แห่ง
  • โรงงานพาราไซลีน 500,000 ตัน ซึ่งเป็นโรงงานใหม่ที่เอสโซ่เพิ่งลงทุนไม่ถึง 10 ปี มูลค่าการลงทุนตอนนั้น 400-500 ล้านเหรียญสหรัฐ พื้นที่อาคาร 9,000 ตร.ม.
  • คลังน้ำมันที่ จ.ลำปาง และ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
  • สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 832 สาขา รวมกับสถานีบางจาก 1,360 สาขา รวม 2,192 สาขา
  • หุ้นในบริษัท แทปไลน์ สัดส่วน 21% และบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) 7% ปริมาณน้ำมัน 7.4 ล้านบาร์เรล
  • กรรมสิทธิ์ที่ดิน 800 ไร่

ขณะที่แบรนด์น้ำมันหล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ จะยังคงอยู่กับเอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) ภายใต้ชื่อ “บริษัท เอ็กซอนโมบิล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งจะทำการตลาดผลิตภัณฑ์หล่อลื่น “โมบิล (Mobil)” และเคมีภัณฑ์ รวมถึงบริษัทอื่น ๆ ดังนี้

  • ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปและ OEM ภายใต้ตรา ExxonMobil และธุรกิจการตลาดเคมีภัณฑ์ภายใต้ตรา ExxonMobil
  • บริษัท เอ็กซอนโมบิล จํากัด ซึ่งดําเนินการศูนย์ธุรกิจระดับโลกกรุงเทพ และ
  • บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช ซึ่งทำธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม

หลังจากนี้ “เอสโซ๋” เปลี่ยนไปอย่างไร ?

สำหรับโลโก้ของเอสโซ่ที่เห็นจนชินตาตามสถานีบริการน้ำมันนั้น หลังวันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากแบรนด์ “เอสโซ่” เป็นแบรนด์ “บางจาก” โดยจะใช้เวลา 2 ปีในการปรับเปลี่ยน และในช่วง 2 ปีนี้ จะยังสามารถใช้ตราโลโก้ ESSO ได้เป็นการทั่วไป

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากฯ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชน ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังการซื้อขายเสร็จสิ้น โดยระบุว่า หลังปิดดีลซื้อกิจการเสร็จสิ้นแล้ว ปั๊มน้ำมันของเอสโซ่ 700 ปั๊ม จะทยอยเปลี่ยนมาเป็นปั๊มภายใต้แบรนด์ของบางจากทั้งหมด โดยมีระยะเวลาดำเนินการปรับเปลี่ยนให้เสร็จภายใน 2 ปี

ขณะที่สูตรน้ำมันของปั๊มเอสโซ่ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นสูตรน้ำมันของบางจากฯทั้งหมด โดยขอให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น และมั่นใจในคุณภาพน้ำมันของบางจากฯ ที่มีมาตรฐานสูง

“เราจะขอเวลา 2 ปี ในการเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะเห็นปั๊มยี่ห้อเอสโซ่ยังอยู่ เพราะว่าต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และเราจะใช้บริการให้เอสโซ่ จัดหาน้ำมันดิบด้วย เพื่อจะเอามากลั่นในโรงกลั่นที่ศรีราชา ส่วนจะมีความร่วมมือกับไทยออยล์หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต” นายชัยวัฒน์กล่าว

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับลูกค้า ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ทั้งสูตรของน้ำมัน จะเริ่มใช้สูตรของบางจากภายใน 30 วันนับจากนี้ โดยสังเกตได้จากสติกเกอร์ที่หัวจ่ายน้ำมันในปั๊มเอสโซ่

ส่วนการสะสมคะแนน สำหรับลูกค้าเอสโซ่ซึ่งเป็นสมาชิกบัตรเอสโซ่สไมลส์ยังสามารถสะสมคะแนนและแลกคะแนน เอสโซ่สไมล์ได้อีก 1 ปีจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ภายใต้บัตรเดิม หรือสามารถโอนคะแนนสะสมมาเป็นสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ โดยจะได้รับคะแนนโบนัสพิเศษเพิ่ม 100 คะแนน หากทำการโอนย้ายคะแนนภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566

และข้อมูลล่าสุดจากการแถลงข่าววันนี้ อย่างการเปลี่ยนสาขาของเอสโซ่ ทั้ง 832 แห่ง ซึ่งแบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันภายใต้การบริหารของบริษัท จำนวน 280 แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นของตัวแทนจำหน่าย จะเริ่มทยอยเปลี่ยนเป็น “บางจาก” ตั้งแต่กันยายน 2566 เป็นต้นไป โดยแบ่งเป็นดังนี้

  • สถานีบริการที่อยู่ภายใต้เอสโซ่ จะเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่กลางกันยายน 2566 เสร็จภายในเดือน พ.ย. 2566
  • สถานีบริการของดีลเลอร์ คาดว่าจะใช้เวลาภายใน 1 ปีครึ่ง ภายใต้เงื่อนไขให้ใช้แบรนด์เอสโซ่ได้ภายในไม่เกิน 2 ปี

แม้หลังวันนี้ไป ชื่อของ “เอสโซ่” จะค่อย ๆ เลือนหายไปจากเมืองไทย แต่เรื่องราวตลอด 129 ปีในประเทศไทยของเอสโซ่ จะยังคงจดจำอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ธุรกิจน้ำมันเมืองไทยต่อไป

ข้อมูลและภาพประกอบจาก เอสโซ่ ประเทศไทย (ประวัติ, รายงานประจำปี 2565, เอกสารสำหรับนักวิเคราะห์สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2566)

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เปิดประวัติ เอสโซ่ ประเทศไทย ตำนานปั๊มพี่เสือที่อยู่ในไทยกว่า 129 ปี

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...