คนไทยรักช้างมากกว่าเก่า แต่เราไม่รู้จัก 'วิถีแห่งช้าง' กันอีกแล้ว
ในหนังสือของชาวตะวันตกเล่มหนึ่งซึ่งแต่งไว้เมื่อกลางศตวรรษที่ 19 บอกว่า "ในสยาม ซึ่งเป็นประเทศในเอเชีย ผู้คนรักช้างอย่างมาก"
คนสยามไม่ใช่แค่รัก แต่ยังเคารพช้าง โดยเฉพาะช้างเผือก อย่างที่ อองรี มูโอต์ (Henri Mouhot) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ระหว่างการสำรวจสยามเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ว่า"คนสยามไม่ยอมรับพระเจ้าผู้สร้างโลกหนึ่งเดียว ไม่ยอมรับกระทั่งพระพุทธเจ้า (ว่าเป็นพระเจ้าสูงสุด) แต่พวกเขาเชื่อว่าช้างเผือกนำโชคลาภมาสู่บ้านเมือง"
ทุกวันนี้คนสยามหรือคนไทยก็ยังรักช้าง และอาจจะมากขึ้นด้วยเพราะผสมกับ 'แนวคิดเรื่องสิทธิสัตว์' แบบตะวันตกเข้าไป ทำให้ห่วงใยช้างมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
แต่หลายๆ กรณีที่'แนวคิดเรื่องสิทธิสัตว์' เป็นการคุ้มครองสัตว์แบบที่ไม่รู้ใจสัตว์และคนที่ดำรงชีวิตร่วมกันอย่างกลมเกลียว แต่กลับพยายามแยกคนออกจากสัตว์ และทำให้คนที่เลี้ยงสัตว์ตามวิถีเดิมกลายเป็น'ผู้ร้าย' เพียงเพราะวิถี'อารยะตะวันออก' ของพวกเขาไม่ใช่ 'อารยะแบบตะวันตก'**
ด้วยแนวคิดแบบนี้ จึงทำให้คนไทยที่เคยรักช้างกลับรู้จัก 'วิถีแห่งช้าง' น้อยลง หรือเรียกได้ว่าแทบไม่รู้กันอีกแล้ว
วิธีแห่งช้างเรียกอย่างเป็นทางการว่า 'คชศาสตร์' หรือวิชาว่าด้วยช้างที่สืบทอดมานับพันปี จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้คชศาสตร์ถูกท้าทายจากแนวคิดแบบตะวันตกว่า "ล้าหลัง" และ "ไม่เป็นมิตรกับช้าง"
หากแนวคิดของบรรพบุรุษคนไทยเป็นอันตรายต่อช้างแล้ว เหตุใดคนต่างชาติจึงบันทึกไว้คนไทยรักชาติและบูชาช้าง?
วิชาเลี้ยงช้างของบรรพบุรุษในแผ่นดินไทยจากชาติพันธุ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่ตกผลึกมาแล้วจากการใช้ชีวิตร่วมกับช้างมาตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์ ในแผ่นดินไทยนี้ไม่ว่าชนชาติไหนก็รู้จักวิธีเลี้ยงช้างและมีองค์ความรู้ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นคนไทยวน (ภาคเหนือ) ชาวกูย (อีสานใต้) ชาวลาวล้านช้าง (อีสานเหนือ) คนไทยสยาม (ภาคกลาง) และคนไทยปักษ์ใต้ ไปจนถึงคนไทยเชื้อสายมลายูก็รู้วิธีเลี้ยงช้างตามคติของตน
แต่วิชาเลี้ยงช้างเหล่านี้จะสูญพันธุ์ไปก่อนช้างไทยเสียอีก เพราะช้างไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกต่อไป
เพียงแต่ช้างไม่ได้หมดไป และองค์ความรู้เก่าๆ ยังมีความมีสำคัญ โดยเฉพาะ'วิชาบังคับช้าง' เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ แม้จะทำให้เชื่องแล้วก็ยังดุร้ายได้ แม้ไม่ตั้งใจดุร้ายก็สามารถทำอันตรายได้โดยไม่ตั้งใจ
ทุกวันนี้การควบคุมช้างชั้นสูงยังคงรักษาไว้ในราชสำนัก ซึ่งมีตำราและผู้เชี่ยวชาญพร้อมสรรพ แต่นั่นมีไว้เฉพาะ 'ช้างสำคัญ' เช่นช้างเผือก
องค์ความรู้เรื่องช้างแบบสามัญนั้นเข้าถึงยากแล้ว เพราะมันไม่จำเป็นสำหรับชีวิตผู้คนสมัยนี้อีก
แม้ว่าการเลี้ยงช้างเพื่อการพาณิชย์ก็ยังมีอย่างแพร่หลาย ผู้คนทั้งไทยและต่างชาติต่างก็เข้าถึงช้างด้วยวิธีการนี้ แต่เราคนธรรมดาๆ รู้จักช้างน้อยเหลือเกิน และไม่รู้กระทั่งว่าควรจะควบคุมพวกมันอย่างไร
ดังนั้น เวลาเกิดเรื่องกับช้าง บางคนจึงไม่รู้ว่าผู้เชี่ยวชาญจริงๆ นั้น (ที่เชี่ยวชาญทั้งสัตวศาสตร์สมัยใหม่และคชศาสตร์โบราณ) เขาจัดการกับช้างอย่างไร
ในฐานะที่เรา (ผู้เขียนและผู้อ่าน) เป็น 'คนนอก' วงการคนเลี้ยงช้างเหมือน ก็ได้แต่ถามกันเองว่า "ผู้เชี่ยวชาญรู้จักวิธีการควบคุมช้างได้อย่างไร?"
แต่บทความนี้เป็นเรื่องเชิงประวัติศาสตร์ จึงจะเน้นการแนะนำองค์ความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายเกี่ยวกับวิชาบังคับและควบคุมช้างที่สืบทอดมาแต่โบราณ
เพื่อที่เราจะรู้ว่าบรรพบุรุษไทยอยู่กับช้างมาอย่างไร และตอนนี้เราควรศึกษาจากบรรพบุรุษแค่ไหนเพื่อรักษาชีวิตของช้างไว้
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่พอจะเข้าถึงได้จากห้องสมมุดออนไลน์ (เช่น หอสมุดธรรมศาสตร์) คือหนังสือชื่อ "ตำนานการจับช้าง" หรืออีกชื่อว่า"ช้าง: ภูมิรู้เรื่องช้างฉบับพิสดารที่สุด" เขียนเมื่อปี พ.ศ. 2481 โดย'เฮง ไพรยวัล' ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องเวทมนตร์คาถา คนในวงการไสยศาสตร์ต่างรู้จักชื่อของท่านดี
แต่อาจารย์เฮง ไพรยวัลยังเก่งเรื่องช้างด้วย เพราะการควบคุมช้างจะต้องใช้'ไสยศาสตร์' หรือพูดให้เข้าหูคนสมัยนี้ก็คือต้องใช้ 'จิตตศาสตร์' นั่นคือจิตวิทยาในการกล่อมบ้างด้วยมนตร์บ้าง บางครั้งก็กล่อมด้วยการแต่ง 'ฉันท์ดุษฎีสังเวย' คือกล่อมช้างด้วยบทกวีสำหรับพระเป็นเจ้าเพื่อให้ช้างเชื่องลง
เพราะช้างนั้นแสนรู้ เมื่อคนใช้วิธีหนักๆ กำราบให้เชื่องแล้ว ก็ค่อยปลอบด้วยคำหวานๆ ทำให้ช้างเชื่อฟัง ไม่ใช่ว่าคนจะใช้กำลังกันเสมอไป แบบนั้น "ช้างกระทืบตายเอาได้"
โปรดทราบว่า จางวางกรมช้าง (หรือเจ้ากรม) นั้นแต่โบราณมีบรรดาศักดิ์ว่า'พระเพทราชา' คำว่า'เพท' คำนี้มาจากคำว่า'เวท' คือความรู้ขั้นสูงหรือเวทมนตร์ เพราะผู้ควบคุมกำลังช้างจะต้องมีความรู้ (วิท) และพลังจิตที่กล้าแข็ง (เวท) ถือเป็น 'เจ้าแห่งความรู้และวิทยาการเรื่องช้าง'
พระมหากษัตริย์อยุธยาที่พระนามว่า'พระเพทราชา' นั้นก็ทรงควบคุมกรมช้างมาก่อน พระนามทางการนั้นมิใช่พระเพทราชา แต่เป็น'สมเด็จพระมหาบุรุษ' เพราะพระเพทราชาเป็นบรรดาศักดิ์ขุนนาง มีมาจนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น พระยาเพทราชาที่คอยออกไปจับช้างให้หลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
กลับมาที่ "ตำนานการจับช้าง" ของอาจารย์เฮง ไพรวัล อธิบายอย่างละเอียดว่าการจับช้างป่ามาทำให้เชื่องต้องทำอย่างไรบ้าง ลำบากแค่ไหน และต้องใช้กลเม็ดควบคุมช้างอย่างไร
เช่น ในบทว่าด้วย "วิธีการฝึกหัดช้างและบังคับช้าง" กล่างถึงกลหัดช้างวิธีการต่างๆ ซึ่งแม้เราจะไมได้เลีเยงช้าง แต่ถ้ารับทราบไว้ก็จะรู้ว่าการเลี้ยงช้างไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านอธิบายว่า
"กล ๑ ท่านว่าธรรมดาช้างทุกชนิดที่จับไว้ได้แล้ว เมื่อเอามาเลี้ยงรักษาไว้นั้น จะว่ากล่าวสั่งสอน มิสู้จะช้านัก พอให้ลืมกิริยาป่าเสียสักหน่อย ก็จะรู้จักภาษาคนได้ง่าย ผิดกว่าสัตว์ทั้งหลาย การบังคับเมื่อรู้จักทำแล้ว ก็กล้วว่ารักง่าย ถ้าไม่เรียนรู้วิธีบังคับ หรีอผ่อนปรนอย่างใดแล้วก็จะกลับเป็นผลร้ายไปเสียอีก ช้างที่จะบังคับยากนั้น มีอยู่ก็เป็นเวลาที่กำลังตกน้ำมัน เพราะช้างน้ำมันย่อมมีหัวใจดุร้ายฉุนเฉียว หัวใจไม่สู้จะเกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ แทบทั้งหมด คล้ายกับเป็นช้างบ้า"
เพียงเท่านี้ก็จะเข้าใจสิ่งที่อาจารย์เฮง ไพรวัลเขียนไว้ (จากประสบการณ์ของท่านและสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพชน) ว่า"ถ้าไม่เรียนรู้วิธีบังคับ หรีอผ่อนปรนอย่างใดแล้วก็จะกลับเป็นผลร้ายไปเสียอีก" ต่อให้ช้างนั้นทำให้เชื่องแล้วก็ตาม เพราะช้างก็ยังเป็นสัตว์ใหญ่ที่ทรงพลัง หากไม่ควบคุมด้วยองค์ความรู้ เช่น การบังคับอย่างถูกหลักวิชาคชศาสตร์ มันก็จะดุร้ายขึ้นมาได้
ข้อความตอนนี่สะท้อนให้เห็นว่าการเลี้ยงช้างนั้นจะเลี้ยงแบบ Pet ไม่ได้ แต่ต้องเลี้ยงเหมือนเป็น 'มนุษย์' เพราะช้างฉลาดและดุร้ายคละกันไปเหมือนมนุษย์ไม่มีผิด
แต่ช้างก็ยังเหมือนมนุษย์ตรงที่มีใจที่อ่อนโยนกว่าสัตว์ทั้งหลาย หากมี'วิชาจิตตศาสตร์' ที่เข้าใจช้างแบบหมอปะกำ (ผู้รู้วิชาควบคุมช้าง) หรือควาญอาวุโส ก็จะรู้ใจช้างและควบคุมได้เพียงใช้แค่เสียง อาจารย์เฮง ไพรวัลบันทึกเรื่องนี้ไว้คราวตั้งเพนียดคล้องช้างที่กรุงเก่าอยุธยา สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เอาไว้ว่า
"พอเวลาเที่ยงคืนช้างเถื่อนอาละวาดกันไม่หยุดหย่อน เจ้าหน้าที่ไม่เป็นอันหลับนอน ต้องคอยร้องตวาดปรามกันร่ำไป ถึงกระนั้นช้างเถื่อนจะหยุดอาละวาดก็หามิได้ กลับกำเริบหนักขึ้นยิ่งกว่าเก่า คราวนี้ร้อนถึงหมอควาญผู้เฒ่าเป็นครูใหญ่ ต้องรีบรุกเดินเข้าไปนั่งอยู่บนพลับพลา แล้วส่งเสียงกล่อมช้างเป็นสำเนียงภาษามอญ"
"น่าเสียดาย บทกลอนคำกล่อมช้างนี้ ในหอพระสมุดไม่มีต้นฉบับบันทึกไว้ ทั้งข้าพเจ้าได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็จำไม่ได้ … หมอเฒ่าผู้ใหญ่ส่งเสียงกล่อมเป็นภาษามอญในครั้งนั้น สำเนียงโหยหวลละห้อยเยือกเย็นยิ่งนัก ยิ่งดึกกังาวลเสียงยิ่งดังคร่ำครวญขึ้นทุกที ทำนองกล่อมช้างที่หมอเฒ่ากล่อมนี้ ผิดกับการร้องกล่อมบทฉันท์ที่เป็นคำไทย บรรดาช้างเถื่อนทั้งหลาย เมื่อได้ยินเสียงกล่อมที่โอดครวญ ก็ชวนให้ตลึง ต่างตัวต่างก็ยืนหูผึ่งตรับสำเนียง หยุดจากการอาละวาดกันทันที สืบต่อไปจากนี้ พวกกรมช้างกองนอกทั้งหลาย ต่างก็เรียงรายอยู่เวรตามหน้าที่ ในคืนนี้สงบเรียบร้อยดีตลอดจนรุ่งสาง"
นี่คือความอ่อนโยนของช้างที่มื่อได้ยินเสียงกล่อมของหมอควาญที่มีวิชาก็จะหยุดนิ่งเหมือนต้องมนต์สะกด แต่แท้จริงแล้วมันคือเพลงกล่อมนั่นเอง เหมือนฉันท์กล่อมในภาษาไทยที่ส่วนใหญ่จะเขียนไว้ในทำนองว่า "ช้างทั้งหลาย อย่าอยู่ป่าเลย มันลำบาก มาอยู่ในเมืองเถิด อยู่กับพระเจ้าแผ่นดิน จะอยู่ดีกินดี เป็นพระน้ำพระยา ได้ผาสุกตลอดไป"
ในเวลาจับช้างคราวนั้น อาจารย์เฮง ไพรวัลกล่าวถึงเรื่องความฉลาดอย่างน่าประหลาดของช้างเอาไว้ว่า
"เวลานั้นเป็นเวลา 11 นาฬิกาเศษ ข้าพเจ้ากำลังดูช้างเถื่อนในโขลงเพลินอยู่ หาได้ทันสังเกตสิ่งใดไม่ แต่พอได้ยินแตรงอน แตรฝรั่ง บรรลือเสียงอยู่บนพลับพลา ข้าพเจ้าจึงหันหน้าไปตามเสียงแตรนั้น ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับแขกเมืองที่มาจากประเทศรัสเซีย พร้อมด้วยข้าราชบริพารเฝ้าแหนอยู่เป็นขนัด พระองค์เสด็จประทับลงบนพระเก้าอี้ตรงมุขหน้าพลับพลา สำหรับทอดพระเนตรการจับช้างในวงพาศ ในทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้ามองไปในโขลง เห็นช้างเกือบทุกตัว ยกงวงขึ้นจบเหนือกระพอง ทำให้ข้าพเจ้าเต็มตื้นไปด้วยความปีติในพระบารมี ใจคอสั่นนึกแต่ในใจว่า แม้แต่สัตว์ป่าแท้ๆ ยังรู้จักเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐด้วยเหมือนกัน ด้วยความปลาบปลื้มนี้เอง ข้าพเจ้าจึงยกมือขึ้นพนมน้อมศีรษะถวายความเคารพ"
พูดถึงพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ทรงเป็นประมุขของชาติที่ไม่เพียงจะดูราษฎร์เหมือนลูกแล้ว ยังทรงเอ็นดูช้างทั้งหลายเช่นกัน แม้ว่าช้างจะมีสถานะเป็น 'ยุทธภัณฑ์' (เทียบได้กับรถถัง) ในการสงครามก็ตาม แต่ช้างก็มีสถานะร่วมเป็นร่วมตายกับพระเจ้าแผ่นดินและไพร่พลทั้งหลาย
การจับช้างเพื่อนำมาควบคุมนั้นหากมีการทำร้ายช้างขึ้นมาโดยพวกควาญ เมื่อรู้ไปถึงพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ที่ลงมือกับช้างจะถูกลงโทษอย่างหนัก ต่อให้ช้างเถื่อนดุร้ายแค่ไหน ก็ไม่อาจใช้กำลังจนเลือดตกยางออกได้ จะต้องใช้วิชาบังคับล้วนๆ อาจารย์เฮง ไพรวัลบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า
"ในขณะที่ช้างต่อกับช้างเถื่อนชุลมุนกันอยู่นี้ หมอช้างมีกลเม็ดอยู่อย่างหนึ่งที่กระทำให้ช้างเจ็บโดยไม่มีใครได้ทันเห็น คือช้างเถื่อนตัวนั้นมีรอยถูกแทงด้วยหอกถึง 2 แผล แผลหนึ่งถูกตรงซอกกกหู อีกแผลหนึ่งถูกตอนเหนือกระบังงา แผลทั้งสองนี้เป็นแผลที่เจ็บที่สุด ถ้าช้างเถื่อนยังไม่ถูกที่เจ็บจริงๆ ก็คงไม่ยอมถอยไปง่ายๆ การที่จะแทงช้างเถื่อนด้วยหอกนั้น พวกหมอควาญต้องระวัง กระทำให้แนบเนียนและรวดเร็วที่สุดที่จะเร็วได้ เพราะเป็นหน้าที่พระที่นั่ง ถ้าแม้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นพวกหมอควาญคนใดใจอำมหิตโหดร้ายกระทำแก่ช้างเถื่อน ซึ่งเป็นสัตว์ป่ายังไม่รู้จักภาษาคน ก็ต้องถูกกริ้วหรือลงโทษโบยตีต่อหน้าพระที่นั่งทีเดียว"
จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินและผู้บริหารบ้านเมืองนั้นกำหนดมาตรฐานการดูแลช้างไว้ด้วยความปราณี แต่เพราะหมอช้างบางคนคิดเป็นอื่น จึงใช้วิธีรุนแรงกับช้าง กรณีนี้ยังสะท้อนมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าบ้านเมืองจะมีกฎหมายควบคุมสวัสดิภาพของช้างอย่างดี แต่ก็ยบังมีการทารุณช้างด้วยวิธีการต่างๆ
ยิ่งในสมัยนี้ การทารุณไม่ได้มีแค่การแทงช้างให้เจ็บ แต่ยังรวมถึงการกักขังช้างเอาไว้เพื่อเป็น'สินค้าบริการ' สำหรับนักท่องเที่ยว ภายนอกดูเหมือนจะใส่ใจช้างด้วยการ 'ปลดปล่อย' ช้างจากหมอควาญต่างๆ มาเลี้ยงตามปาง แต่การเลี้ยงแบบนั้นสอดคล้องกับธรรมชาติของช้างและหลักคชศาสตร์หรือไม่? เรื่องนี้ควรจะตั้งคำถามกันให้มาก
จากหนังสือของอาจารย์เฮง ไพรวัล เชื่อได้เลยว่าคนไทยหลายคนไม่รู้ถึงประสิทธิภาพของวิชาควบคุมช้างแต่โบราณ หลายคนอาจคิดว่าการเลี้ยงแบบโบราณเป็นการทำร้ายช้าง แต่มันอาจเป็นไปในทางตรงกันข้ามกันเลย เพราะวิชาช้างคือองค์ความรู้ที่ผู้เรียนรู้นั้น เข้าใจช้างและช้างก็เข้าใจคนเลี้ยง แม้ว่าบางเรื่องจะฟังดูลี้ลับ เช่น การกล่อมช้างและเวทมนต์ต่างๆ แต่ทั้งหมดคือวิชาจิตวิทยาช้างที่คนไทยตกทอดกันมานับพันปีนั่นเอง
ทุกวันนี้คนไทยรักช้างโดยไม่รู้วิถีแห่งช้าง แต่รักช้างเพราะเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือน Pet และรู้สึกว่าจะต้องปกป้องช้างด้วย'ค่านิยมแบบตะวันตก' ที่สัตว์กับคนอยู่ร่วมกันเป็นสังคมเดียวกันไม่ได้
แต่ช้างไม่ใช่ Pet ช้างคือสมาชิกกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย คนไทยมีค่านิยมจารีตแบบไหน การเลี้ยงช้างไทยก็มีจารีตแบบนั้นเช่นกัน
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - Twentieth century impressions of Siam (1908)