โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

เปิดประวัติ Merck ผู้ผลิตยารักษาโควิด "โมลนูพิราเวียร์'

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 19 มี.ค. 2565 เวลา 05.28 น. • เผยแพร่ 19 มี.ค. 2565 เวลา 05.28 น.
(Photo by Handout / Merck & Co,Inc. / AFP)

“เมอร์ค” จากผู้ผลิตยาเสพติด สู่ ‘โมลนูพิราเวียร์’ รักษาชีวิตผู้ป่วยโควิดนับล้าน

วันที่ 19 มีนาคม 2565 เกือบครบ 3 ปี ที่มนุษยชาติต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดในยุคสมัยใหม่ โควิด-19 หรือ การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ท่ามกลางการระบาดที่กระจายตัวไปทั่วโลก มนุษย์ได้ค้นคว้าหาหนทางต่อสู้กับโรคร้ายชนิดนี้ จนกระทั่งเกิดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเกิดขึ้นตามมามากมาย จากหลายผู้ผลิต ทั้งจากบริษัทยาของจีน และผู้ผลิตวัคซีนจากฝั่งตะวันตก

วัคซีนเปรียบเสมือนต้นทางในการป้องกันความเสี่ยงในติดเชื้อโควิด-19 เท่านั้น ท่ามกลางผลวิจัยที่หลั่งไหลประเมินประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อในหลายสายพันธุ์ แต่สิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยทั้งหลายกำลังมองหา ไม่เพียงแค่เกราะป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเท่านั้น

ทว่าทั่วโลกกำลังมองหา “ตัวเปลี่ยนเกมส์” ที่จะพลิกสถานการณ์ระบาดของโควิดทุเลาลง เป็นเพียงโรคชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาหาย หรือมียารักษาโรดชนิดนี้โดยตรงซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยรุนแรงลงอย่างมาก

ต้นเดือนตุลาคมปี 2564 ที่ผ่าน โลกก็ได้ค้นพบตัวเปลี่ยนเกมส์การระบาดชนิดสำคัญคือ ยารักษาโรคโควิดโดยตรงชนิดแรกที่ชื่อ โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) วิจัยและพัฒนาโดยบริษัท Merck & Co. (เมอร์ค) ของสหรัฐฯ ร่วมกับริดจ์แบ็ก ไบโอเธอราพีติก ของสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยเอโมรี

ซึ่งผลการทดลองที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาพบว่ายาโมลนูพิราเวียร์สามารถลดอาการป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ครึ่งหนึ่ง ประเด็นกลไกการออกฤทธิ์ของยา หรือผลวิจัยที่รับรองประสิทธิภาพนั่นเชื่อว่าคงถูกนำเสนอกันอย่างแพร่หลายแล้ว แต่สิ่งครั้งนี้เราจะขอนำไปทำความรู้จักกับเรื่องราวอันน่าสนใจบริษัทเมอร์ค ผู้คิดค้นยาเปลี่ยนเกมส์การระบาดในครั้งนี้

Merck หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Merck & Co. เป็นบริษัทผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ แต่แท้จริงแล้ว ต้นกำเนิดของบริษัทนี้นั้ย้อนกลับไปในตั้งแต่คริสตศวรรตที่ 17 Merck (เมอร์ค) ก่อตั้งเมื่อปี 1668 หรือ พ.ศ. 2211 ในเมืองดาร์มสตัดท์ Darmstadt ประเทศเยอรมนี โดย ฟรีดิช จาค็อป เมอร์ค (Friedrich Jacob Merck) นักธุรกิจและนักอุตสาหกรรมจากตระกูลเมอร์ค หนึ่งในตระกูลขุนนางผู้ร่ำรวยของรัฐเฮสเซิน

โดย ฟรีดิช จาค็อป เมอร์ค เปิดร้านขายยาที่ชื่อว่า Engel-Apotheke หรือ Angel Pharmacy ผลิตและจำหน่ายมอร์ฟีน โคเคน และ โคเดอีน ในช่วงคศ.17 นั้น สารประเภทนี้ยังไม่ถูกกำหนดให้เป็นสารเสพติดที่มีบทลงโทษตามกฎหมายดังเช่นในปัจจุบัน จึงมักใช้เป็นสารตั้งต้นหรือเป็นส่วนผสมในยารักษาโรค หรือใช้ในรักษาการเจ็บป่วยของโรคบางชนิดโดยตรง

ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 บริษัทเติบโตขึ้นจนสามารถสร้างโรงงานผลิตสารเคมีและเภสัชกรรมที่ผลิตวัตถุดิบสำหรับยาและการเตรียมการอื่นๆ Engel-Apotheke กลายเป็นโรงงานผลิตยาขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ E. Merck บริหารโดย ไฮน์ริช เอ็มมานูเอล เมอร์ค (Heinrich Emanuel Merck) ผู้เป็นทายาทของฟรีดิช จาค็อป เมอร์ค บริษัทนี้ถูกเปลี่ยนถ่ายหุ้นและบริหารโดยลูกหลานตระกูลเมอร์คมานานหลายชั่วอายุคน

ปัจจุบันตระกูล Merck ยังคงเป็นเจ้าของ Merck KGaA ทั้งยังคงมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดาร์มสตัดท์ดังแรกก่อตั้งเมื่อกว่า 350 ปีที่แล้ว

ถึงจุดนี้คุณผู้อ่านคงสงสัยว่าแล้ว Merck Group หรือ Merck KGaA ที่เยอรมนีนั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับ Merck & Co.เจ้าของสูตรยาโมลนูพิราเวียร์ จากฝั่งสหรัฐฯ

สองนคราบริษัทยา “เมอร์ค”

ปี 1891 ลูกหลานตระกูลเมอร์ค อพยพมายังสหรัฐอเมริกา พร้อมตั้งสำนักงานฝ่ายขายซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทลูกของเมอร์คเยอรมนี ที่นครนิวยอร์ก ต่อมา จอร์จ ดับเบิลยู. เมอร์ค (George W. Merck) ทายาทตระกูลเมอร์คซึ่งกำเนิดในสหรัฐฯ ได้การขยายกิจการก่อตั้งบริษัท Merck & Co. และยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของเมอร์คที่เยอรมนี เพียงหนึ่งทศวรรษต่อมาเมอร์คในสหรัฐฯ เติบโตจนเปิดโรงงานผลิตขนาดใหญ่บนพื้นที่ 150 เอเคอร์ทางตอนเหนือของรัฐนิวเจอร์ซีย์ นอกนครนิวยอร์ก

กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุ เยอรมนีซึ่งเป็นฝ่ายมหาอำนาจกลาง มีสถานะเป็นศัตรูตรงข้ามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้คณะบริหารรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ออกบัญญัติกฎหมายการห้ามค้าขายกับประเทศศัตรู (Trading with the Enemy Act of 1917) กฎหมายนี้ ทำให้บรรดาบริษัทสัญชาติเยอรมนี หรือบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเยอรมนี ล้วนได้รับผลกระทบต้องถอนหุ้น ถอนทุน หรือตัดขาดความสัมพันธ์ด้านการเงินและธุรกิจ จากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลวอชิงตัน

ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงพอจะนึกภาพออกว่า เมื่อเริ่มสงครามในยุโรปเริ่มในปี พ.ศ. 2457 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเริ่มตึงเครียด และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของสองเมอร์คในแง่วงศาคญาติก็ถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง บัญญัติกฎหมายนี้ไม่เพียงแค่กระทบต่อเมอร์คเท่านั้น สถาบันการเงินอื่น ๆ อาทิ Goldman Sachs ที่มีสายสัมพันธ์กับเยอรมันต่างตกอยู่ใต้สภาพเดียวกัน

หุ้นและทรัพย์สินของเมอร์กส่วนใหญ่ ถูกรัฐบาลกลางวอชิงตันเข้ายึดและถูกนำขายทอดตลาด ปี 1919 หลังมหาสงครามสิ้นสุดราวหนึ่งปี และเพื่อแสดงความจริงใจ George W. Merck ได้ตัดสินใจโอนหุ้นของบริษัททั้งหมดที่ถือโดยบริษัทแม่ในเยอรมนีไปยังรัฐบาลกลางสหรัฐเพื่อเป็นการแสดงความปรารถนาดี

จากนั้นเขาและพรรคพวกสถาการเงินที่ใกล้ชิดอย่าง Goldman Sachs และ Lehman Brothers ร่วมกันเข้าประมูลหุ้นของ Merck & Co. จากการประมูลของรัฐบาลวอชิงตัน และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลบริษัทในสหรัฐฯ เป็นการตัดขาดสัมพันธ์ด้านธุรกิจจากเมอร์กบริษัทแม่ในเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง

แม้จะแยกออกเป็นสองบริษัท ที่บริหารงานผ่านสองนิติบุคคลจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แแม้จะมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติและประวัติศาสตร์ร่วมกัน แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมา “สองเมอร์ค” กลับเผชิญการฟ้องร้องกันไปกันมาในหลายประเด็น ตั้งแต่สูตรยา ไปจนถึงการทำตลาดที่อาจซ้ำซ้อนกันในบางประเทศ

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุอีกครั้ง “สองเมอร์ก” ซึ่งมุ่งผลิตยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนกองทัพของฝ่ายตน กลับมีชะตากรรมต่างกันสิ้นเชิง เมอร์กในเยอรมนีถูกโจมตีจนแทบไม่เหลือซาก ส่วนเมอร์กในสหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทยาที่พุ่งทะยานทั้งยังคิดค้นและวิจัยยาชนิดใหม่

อาทิ ยาปฏิชีวนะสเตรปโตมัยซิน ยากลุ่มคลอโรไทอะไซด์ ที่ช่วยรักษาภาวะความดันโลหิตสูง ทั้งยังพัฒนาวัคซีนคางทูมตัวแรกในปี 1967 วัคซีนหัดเยอรมันชนิดในปี 1969 ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นี้ Merck & Co. ได้เข้าควบรวมกิจการบริษัทยาหลายแห่งในสหรัฐฯ และต่อยอดพัฒนายาและวัคซีนป้องกันโรคชนิดต่างๆ อีกมาก ความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนายาโมลนูพิราเวียร์ นับเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยรักษาชีวิตมนุษยชาติอีกนับล้านที่ต้องเผชิญการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยยารักษาโรคชนิดนี้โดยตรง

เพียงไม่กี่วันหลังเมอร์คเปิดเผยผลทดสอบต่อกลุ่มอาสาสมัครจนพบว่าให้ผลการรักษาเป็นอย่างดี บริษัทเมอร์คได้มีการยื่นขออนุมัติใช้ฉุกเฉินจากสำนักงานจัดการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) กระทั่งต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรนับเป็นชาติแรกของโลกที่อนุมัติการใช้ยาต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งพัฒนาโดยเมอร์ค ก่อนหน้าที่ FDA ของสหรัฐฯจะพิจารณาเสร็จเสียอีก

ความสำเร็จของเมอร์คไม่เพียงแค่ความสำเร็จในการพัฒนายารักษาโควิดเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมอร์คยังประสบความสำเร็จในวิจัยและพัฒนายาลดคอเรสตอรอลตัวแรก รวมถึงยารักษาเชื้อ HIV ชนิดแรกๆ ของโลกด้วย ปัจจุบันเมอร์คถือเป็นบริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากบริษัทไฟเซอร์, โนวาร์ติส, ฮอฟฟ์แมน-ลา โรช และซาโนฟี

สำหรับประเทศไทย เมื่อ 18 มีนาคม ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับมอบยาโมลนูพิราเวียร์ ล็อตแรกจำนวน 2 ล้านเม็ด หรือ 5 หมื่นคอสการรักษาให้กับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยเบื้องต้นจะพิจารณาใช้ในกลุ่ม 607 ซึ่งเป็นผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง 7 โรค รวมถึงอาจมีการพิจารณาใช้ยาตัวนี้กับผู้ป่วยกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไปเพิ่มเติมในอนาคต หากมีจำนวนยาที่มากขึ้น

โดยแนวทางเบื้องต้นของการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยยาตัวนี้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4 แคปซูล ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันจนครบ (40 แคปซูล) ยาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิตหรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ในผู้ป่วยที่เสี่ยงจะมีอาการรุนแรง หากได้รับยาภายใน 5 วันนับจากวันที่เริ่มมีอาการ นับเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญที่จะพลิกเกมให้โรคโควิดในอนาคตจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นตามแผนของศบค.

 

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...