เปิดประวัติ Merck ผู้ผลิตยารักษาโควิด "โมลนูพิราเวียร์'
“เมอร์ค” จากผู้ผลิตยาเสพติด สู่ ‘โมลนูพิราเวียร์’ รักษาชีวิตผู้ป่วยโควิดนับล้าน
วันที่ 19 มีนาคม 2565 เกือบครบ 3 ปี ที่มนุษยชาติต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดในยุคสมัยใหม่ โควิด-19 หรือ การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ท่ามกลางการระบาดที่กระจายตัวไปทั่วโลก มนุษย์ได้ค้นคว้าหาหนทางต่อสู้กับโรคร้ายชนิดนี้ จนกระทั่งเกิดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเกิดขึ้นตามมามากมาย จากหลายผู้ผลิต ทั้งจากบริษัทยาของจีน และผู้ผลิตวัคซีนจากฝั่งตะวันตก
วัคซีนเปรียบเสมือนต้นทางในการป้องกันความเสี่ยงในติดเชื้อโควิด-19 เท่านั้น ท่ามกลางผลวิจัยที่หลั่งไหลประเมินประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อในหลายสายพันธุ์ แต่สิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยทั้งหลายกำลังมองหา ไม่เพียงแค่เกราะป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเท่านั้น
ทว่าทั่วโลกกำลังมองหา “ตัวเปลี่ยนเกมส์” ที่จะพลิกสถานการณ์ระบาดของโควิดทุเลาลง เป็นเพียงโรคชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาหาย หรือมียารักษาโรดชนิดนี้โดยตรงซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยรุนแรงลงอย่างมาก
ต้นเดือนตุลาคมปี 2564 ที่ผ่าน โลกก็ได้ค้นพบตัวเปลี่ยนเกมส์การระบาดชนิดสำคัญคือ ยารักษาโรคโควิดโดยตรงชนิดแรกที่ชื่อ โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) วิจัยและพัฒนาโดยบริษัท Merck & Co. (เมอร์ค) ของสหรัฐฯ ร่วมกับริดจ์แบ็ก ไบโอเธอราพีติก ของสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยเอโมรี
ซึ่งผลการทดลองที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาพบว่ายาโมลนูพิราเวียร์สามารถลดอาการป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ครึ่งหนึ่ง ประเด็นกลไกการออกฤทธิ์ของยา หรือผลวิจัยที่รับรองประสิทธิภาพนั่นเชื่อว่าคงถูกนำเสนอกันอย่างแพร่หลายแล้ว แต่สิ่งครั้งนี้เราจะขอนำไปทำความรู้จักกับเรื่องราวอันน่าสนใจบริษัทเมอร์ค ผู้คิดค้นยาเปลี่ยนเกมส์การระบาดในครั้งนี้
Merck หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Merck & Co. เป็นบริษัทผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ แต่แท้จริงแล้ว ต้นกำเนิดของบริษัทนี้นั้ย้อนกลับไปในตั้งแต่คริสตศวรรตที่ 17 Merck (เมอร์ค) ก่อตั้งเมื่อปี 1668 หรือ พ.ศ. 2211 ในเมืองดาร์มสตัดท์ Darmstadt ประเทศเยอรมนี โดย ฟรีดิช จาค็อป เมอร์ค (Friedrich Jacob Merck) นักธุรกิจและนักอุตสาหกรรมจากตระกูลเมอร์ค หนึ่งในตระกูลขุนนางผู้ร่ำรวยของรัฐเฮสเซิน
โดย ฟรีดิช จาค็อป เมอร์ค เปิดร้านขายยาที่ชื่อว่า Engel-Apotheke หรือ Angel Pharmacy ผลิตและจำหน่ายมอร์ฟีน โคเคน และ โคเดอีน ในช่วงคศ.17 นั้น สารประเภทนี้ยังไม่ถูกกำหนดให้เป็นสารเสพติดที่มีบทลงโทษตามกฎหมายดังเช่นในปัจจุบัน จึงมักใช้เป็นสารตั้งต้นหรือเป็นส่วนผสมในยารักษาโรค หรือใช้ในรักษาการเจ็บป่วยของโรคบางชนิดโดยตรง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 บริษัทเติบโตขึ้นจนสามารถสร้างโรงงานผลิตสารเคมีและเภสัชกรรมที่ผลิตวัตถุดิบสำหรับยาและการเตรียมการอื่นๆ Engel-Apotheke กลายเป็นโรงงานผลิตยาขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ E. Merck บริหารโดย ไฮน์ริช เอ็มมานูเอล เมอร์ค (Heinrich Emanuel Merck) ผู้เป็นทายาทของฟรีดิช จาค็อป เมอร์ค บริษัทนี้ถูกเปลี่ยนถ่ายหุ้นและบริหารโดยลูกหลานตระกูลเมอร์คมานานหลายชั่วอายุคน
ปัจจุบันตระกูล Merck ยังคงเป็นเจ้าของ Merck KGaA ทั้งยังคงมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดาร์มสตัดท์ดังแรกก่อตั้งเมื่อกว่า 350 ปีที่แล้ว
ถึงจุดนี้คุณผู้อ่านคงสงสัยว่าแล้ว Merck Group หรือ Merck KGaA ที่เยอรมนีนั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับ Merck & Co.เจ้าของสูตรยาโมลนูพิราเวียร์ จากฝั่งสหรัฐฯ
สองนคราบริษัทยา “เมอร์ค”
ปี 1891 ลูกหลานตระกูลเมอร์ค อพยพมายังสหรัฐอเมริกา พร้อมตั้งสำนักงานฝ่ายขายซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทลูกของเมอร์คเยอรมนี ที่นครนิวยอร์ก ต่อมา จอร์จ ดับเบิลยู. เมอร์ค (George W. Merck) ทายาทตระกูลเมอร์คซึ่งกำเนิดในสหรัฐฯ ได้การขยายกิจการก่อตั้งบริษัท Merck & Co. และยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของเมอร์คที่เยอรมนี เพียงหนึ่งทศวรรษต่อมาเมอร์คในสหรัฐฯ เติบโตจนเปิดโรงงานผลิตขนาดใหญ่บนพื้นที่ 150 เอเคอร์ทางตอนเหนือของรัฐนิวเจอร์ซีย์ นอกนครนิวยอร์ก
กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุ เยอรมนีซึ่งเป็นฝ่ายมหาอำนาจกลาง มีสถานะเป็นศัตรูตรงข้ามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้คณะบริหารรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ออกบัญญัติกฎหมายการห้ามค้าขายกับประเทศศัตรู (Trading with the Enemy Act of 1917) กฎหมายนี้ ทำให้บรรดาบริษัทสัญชาติเยอรมนี หรือบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเยอรมนี ล้วนได้รับผลกระทบต้องถอนหุ้น ถอนทุน หรือตัดขาดความสัมพันธ์ด้านการเงินและธุรกิจ จากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลวอชิงตัน
ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงพอจะนึกภาพออกว่า เมื่อเริ่มสงครามในยุโรปเริ่มในปี พ.ศ. 2457 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเริ่มตึงเครียด และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของสองเมอร์คในแง่วงศาคญาติก็ถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง บัญญัติกฎหมายนี้ไม่เพียงแค่กระทบต่อเมอร์คเท่านั้น สถาบันการเงินอื่น ๆ อาทิ Goldman Sachs ที่มีสายสัมพันธ์กับเยอรมันต่างตกอยู่ใต้สภาพเดียวกัน
หุ้นและทรัพย์สินของเมอร์กส่วนใหญ่ ถูกรัฐบาลกลางวอชิงตันเข้ายึดและถูกนำขายทอดตลาด ปี 1919 หลังมหาสงครามสิ้นสุดราวหนึ่งปี และเพื่อแสดงความจริงใจ George W. Merck ได้ตัดสินใจโอนหุ้นของบริษัททั้งหมดที่ถือโดยบริษัทแม่ในเยอรมนีไปยังรัฐบาลกลางสหรัฐเพื่อเป็นการแสดงความปรารถนาดี
จากนั้นเขาและพรรคพวกสถาการเงินที่ใกล้ชิดอย่าง Goldman Sachs และ Lehman Brothers ร่วมกันเข้าประมูลหุ้นของ Merck & Co. จากการประมูลของรัฐบาลวอชิงตัน และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลบริษัทในสหรัฐฯ เป็นการตัดขาดสัมพันธ์ด้านธุรกิจจากเมอร์กบริษัทแม่ในเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง
แม้จะแยกออกเป็นสองบริษัท ที่บริหารงานผ่านสองนิติบุคคลจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แแม้จะมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติและประวัติศาสตร์ร่วมกัน แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมา “สองเมอร์ค” กลับเผชิญการฟ้องร้องกันไปกันมาในหลายประเด็น ตั้งแต่สูตรยา ไปจนถึงการทำตลาดที่อาจซ้ำซ้อนกันในบางประเทศ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุอีกครั้ง “สองเมอร์ก” ซึ่งมุ่งผลิตยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนกองทัพของฝ่ายตน กลับมีชะตากรรมต่างกันสิ้นเชิง เมอร์กในเยอรมนีถูกโจมตีจนแทบไม่เหลือซาก ส่วนเมอร์กในสหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทยาที่พุ่งทะยานทั้งยังคิดค้นและวิจัยยาชนิดใหม่
อาทิ ยาปฏิชีวนะสเตรปโตมัยซิน ยากลุ่มคลอโรไทอะไซด์ ที่ช่วยรักษาภาวะความดันโลหิตสูง ทั้งยังพัฒนาวัคซีนคางทูมตัวแรกในปี 1967 วัคซีนหัดเยอรมันชนิดในปี 1969 ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นี้ Merck & Co. ได้เข้าควบรวมกิจการบริษัทยาหลายแห่งในสหรัฐฯ และต่อยอดพัฒนายาและวัคซีนป้องกันโรคชนิดต่างๆ อีกมาก ความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนายาโมลนูพิราเวียร์ นับเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยรักษาชีวิตมนุษยชาติอีกนับล้านที่ต้องเผชิญการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยยารักษาโรคชนิดนี้โดยตรง
เพียงไม่กี่วันหลังเมอร์คเปิดเผยผลทดสอบต่อกลุ่มอาสาสมัครจนพบว่าให้ผลการรักษาเป็นอย่างดี บริษัทเมอร์คได้มีการยื่นขออนุมัติใช้ฉุกเฉินจากสำนักงานจัดการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) กระทั่งต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรนับเป็นชาติแรกของโลกที่อนุมัติการใช้ยาต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งพัฒนาโดยเมอร์ค ก่อนหน้าที่ FDA ของสหรัฐฯจะพิจารณาเสร็จเสียอีก
ความสำเร็จของเมอร์คไม่เพียงแค่ความสำเร็จในการพัฒนายารักษาโควิดเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมอร์คยังประสบความสำเร็จในวิจัยและพัฒนายาลดคอเรสตอรอลตัวแรก รวมถึงยารักษาเชื้อ HIV ชนิดแรกๆ ของโลกด้วย ปัจจุบันเมอร์คถือเป็นบริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากบริษัทไฟเซอร์, โนวาร์ติส, ฮอฟฟ์แมน-ลา โรช และซาโนฟี
สำหรับประเทศไทย เมื่อ 18 มีนาคม ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับมอบยาโมลนูพิราเวียร์ ล็อตแรกจำนวน 2 ล้านเม็ด หรือ 5 หมื่นคอสการรักษาให้กับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยเบื้องต้นจะพิจารณาใช้ในกลุ่ม 607 ซึ่งเป็นผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง 7 โรค รวมถึงอาจมีการพิจารณาใช้ยาตัวนี้กับผู้ป่วยกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไปเพิ่มเติมในอนาคต หากมีจำนวนยาที่มากขึ้น
โดยแนวทางเบื้องต้นของการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยยาตัวนี้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4 แคปซูล ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันจนครบ (40 แคปซูล) ยาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิตหรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ในผู้ป่วยที่เสี่ยงจะมีอาการรุนแรง หากได้รับยาภายใน 5 วันนับจากวันที่เริ่มมีอาการ นับเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญที่จะพลิกเกมให้โรคโควิดในอนาคตจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นตามแผนของศบค.