“ช.การช่าง” หรือ CK บริษัทรับเหมาแถวหน้าของไทย กับโอกาสคว้างานใหญ่ ดัน Backlog ทุบสถิติสูงสุด
Wealthy Thai
อัพเดต 15 ก.ย 2566 เวลา 05.49 น. • เผยแพร่ 07 ก.ค. 2566 เวลา 01.40 น. • ณัฐภูมินทร์ ทวีทรัพย์บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CKธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแนวหน้าของประเทศไทย โดยนับจากต้นปีถึงวันที่ 4 ก.ค.2566 ราคาหุ้นปิดลบไปกว่า 17.70% เปรียบเทียบหมวดอุตสาหกรรมที่ปิดบวก 5.68%
แต่ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน ถือเป็นหนึ่งหุ้นที่นักวิเคราะห์ประเมินเป็นเสียงเดียวกันว่าจะได้รับผลดี เมื่อการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจน เนื่องจากมีโอกาสที่จะเห็นการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง
ราคาหุ้น CK ปรับลดลงมากเกินไป โดยแนวโน้มผลประกอบการปี 2566/67 คาดจะเติบโตสูง เพราะได้แรงหนุนจากการเติบโตของบริษัทลูก และ งานใหม่ที่ได้ลงนาม ไม่ว่าจะเป็น งานก่อสร้างโยธา โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง ทำ ให้งานในมือ (Backlog) ทำสถิติสูงสุดใหม่ และมีแนวโน้มได้งานเพิ่มจากโครงการของบริษัทลูก
สะท้อนจากมุมมองมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมิน CK ราคาหุ้น CK ปรับลดลงมากเกินไป ซึ่งประเมินว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 2566/67 คาดจะเติบโตสูง โดยสิ้นปี 2565 มี Backlog กว่า 55,687 ล้านบาท ล่าสุด ได้โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง (LPCL) มีงานก่อสร้างโยธาประมาณ 99,788 ล้านบาท จะทำให้ Backlog CK เพิ่มเป็น 149,353 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่
รวมทั้งอนาคตมีแนวโน้มจะได้งานเพิ่มจากบริษัทลูก เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 1.27 แสนล้านบาท ซึ่ง BEM ชนะการประมูลแล้วรอรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติ รวมทั้งโครงการทางด่วน 2 ชั้น งามวงศ์วาน – พระรามเก้า 3.5 หมื่นล้านบาท และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้งาน M&E 2.7 หมื่นล้านบาท ทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 แสนล้านบาท เข้าสู่ New S-Curve
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2566คาดรายได้ 27,500 ล้านบาท เติบโต 52%หลังจากนั้นปี 2567 คาดรายได้ 30,000 ล้านบาท เติบโต 9% โดยแรงหนุนจากโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง 9.9 หมื่นล้านบาท ที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างอีก 7 ปี และ ยังได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรของ BEM ที่เติบโตสูง ทำให้กำไรปี 2566 เท่ากับ 1,655 ล้านบาท เติบโต 88% และ ปี 2567 เท่ากับ 2,017 ล้านบาท เติบโต 22%จากปีก่อนหน้า จึงคงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 25.4 บาท
ในส่วนของความกังวลเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้น นักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าวประเมินว่า ปี 2565 CK มีพนักงานทั้งหมด 5,460 คน มีค่าใช้จ่ายพนักงานรวม 1,675 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9% ของต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม โดยจะมีพนักงานรายวันจำนวน 880 คน ถ้าสมมติมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 353 บาท/วัน เป็น 450 บาท/วัน หรือ ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 100 บาท/วัน จะมีค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 26.4 ล้านบาทบาท คิดเป็นเพียง 0.14% ของต้นทุนก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นรวม ซึ่งได้รับผลกระทบเล็กน้อย
ทั้งนี้ CKถือเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่มีโอกาสรับงานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่จะทำให้งานในมือปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย สะท้อนจากมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมิน Backlog ของ CK จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ประมาณ 2.50 แสนล้านบาท จาก megaproject สองโครงการ ได้แก่ 1. รถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 1.27 แสนล้านบาท และ 2. โรงไฟฟ้าหลวงพระบางมูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ภายในปีนี้
CK ประเมินว่ารายได้เฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยประมาณการของบริษัทสอดคล้องกับเป้าหมาย Backlog ที่ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในอีก 8 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของ megaproject อย่างเช่น รถไฟฟ้าสายม่วงและสายสีส้มจะอยู่ที่ 7-8% ต่ำกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 2565 ที่ 9% ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาจจะอยู่ที่ 3-4%
ดังนั้นประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 เท่ากับ 1.87 พันล้านบาท เติบโตโดดเด่นกว่า 69%จากปีก่อน จึงแนะนำ “ซื้อ”กำหนดราคาเป้าหมาย 27.00 บาท โดยได้แรงหนุน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. Backlog มีคุณภาพดี 2. มีโอกาสจะได้งานใหม่เพิ่มอีก และ 3.รายได้จากเงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น