สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 4 มีนาคม 2568
สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 4 มีนาคม 2568
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -4 มี.ค. 68 8:22: น.
*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ของสหรัฐฯ ปิดที่ 68.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 1.39 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.0% นับเป็นการปิดที่ระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 71.62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 1.19 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.6% ถือเป็นการปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงประมาณ 2% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 12 สัปดาห์ หลังมีรายงานว่ากลุ่ม OPEC+ จะดำเนินการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันตามแผนในเดือนเม.ย. และความกังวลว่าภาษีน้ำมันของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความต้องการน้ำมัน
*** กลุ่ม OPEC+ ตัดสินใจดำเนินการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันตามแผนในเดือนเม.ย. หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กดดันให้โอเปกและซาอุดีอาระเบียปรับลดราคาน้ำมันลงอีกครั้ง ซึ่งการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 โดย OPEC+ จะเพิ่มปริมาณการผลิต 138,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนเม.ย.
*** ภาคการขุดเจาะและบริการน้ำมันของแคนาดา กำลังแสดงสัญญาณของการชะลอตัว เนื่องจากคำขู่จะขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ สร้างความกังวลว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่คาดหวังไว้ อาจหยุดชะงักหากมีการเก็บภาษีดังกล่าว โดยระดับการจ้างงานในภาคการขุดเจาะของแคนาดาลดลงอย่างมากระหว่างปี 2014 - 2020 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ร่วงต่ำอย่างต่อเนื่องและการผลิตที่ลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้กิจกรรมจะดีขึ้นตั้งแต่ปี 2020 แต่การขู่ว่าจะขึ้นภาษี 10% ต่อน้ำมันดิบแคนาดาที่สหรัฐฯนำเข้า 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าภาษี 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา จะมีผลบังคับใช้ในเวลา 00:01 น. ของวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจุดชนวนความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าในอเมริกาเหนือและส่งผลให้ตลาดการเงินสั่นคลอน โดยคำพูดของทรัมป์ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างรุนแรงในช่วงบ่ายของการซื้อขาย รวมไปถึงสกุลเงินเปโซเม็กซิโกและดอลลาร์แคนาดาที่ร่วงลงเช่นกัน พวกเขาจะต้องถูกเก็บภาษี ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ และอื่น ๆ ในสหรัฐฯ หากทำตามนี้ ก็จะไม่ถูกเก็บภาษี
*** ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนก.พ.ยังคงทรงตัว หลังดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ลดลง 0.6 จุดสู่ระดับ 50.3 แต่ตัวชี้วัดราคาสินค้าที่โรงงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในเกือบ 3 ปี และใช้เวลานานขึ้นในการส่งมอบวัตถุดิบ ซึ่งบ่งชี้ว่าภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตในไม่ช้า โดยความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าส่งผลต่อความวิตกกังวลของผู้ผลิต ในการสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM)โดยส่วนใหญ่ระบุว่าภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันต่อคู่ค้าเช่นแคนาดา เม็กซิโก และจีน ได้สร้างสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ไม่แน่นอน
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศระงับความช่วยเหลือทางทหารทั้งหมดแก่ยูเครน หลังปะทะคารมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยสื่อรายงานว่าการสั่งระงับครั้งนี้ จะดำเนินต่อไปจนกว่าทรัมป์จะตัดสินใจว่าผู้นำของประเทศยูเครน แสดงเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ต่อสันติภาพหรือไม่ โดยสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐบาลของทรัมป์ที่กล่าวว่า นี่ไม่ใช่การยุติความช่วยเหลืออย่างถาวร แต่เป็นการหยุดชั่วคราว
*** พันธบัตรต่างประเทศของยูเครนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือนในวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกีของยูเครนและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำลายความหวังของยูเครน ที่จะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ โดยพันธบัตรที่ครบกำหนดในปี 2036 มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด โดยลดลง 4.5 เซนต์ เป็น 60.775 เซนต์ต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน ตามข้อมูลจาก Tradeweb
*** รายงานของ S&P Global Ratings ระบุว่า ข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% จากสินค้าสหภาพยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของชาติในแถบยุโรปกลาง และซ้ำเติมปัญหาทางการคลัง โดยทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะประกาศการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้ โดยระบุว่านโยบายทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปถูกออกแบบมาเพื่อ เอาเปรียบ สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า สาธารณรัฐเช็ก, ฮังการี, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย และโรมาเนีย จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่าจะตอบโต้ อย่างหนักแน่นและทันที ต่ออุปสรรคทางการค้า เนื่องจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแคนาดาและเม็กซิโกจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร
*** อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยเมื่อเดือนก.พ. แต่องค์ประกอบที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็ลดลงเช่นกัน ทำให้คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเสริมความเชื่อมั่นว่ามาตรการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
อัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคใน 20 ประเทศที่ใช้เงินยูโร ชะลอลงเหลือ 2.4% ในเดือนก.พ. จาก 2.5% ในเดือนม.ค. สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 2.3% และเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางยุโรปมากขึ้น
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ แจ้งต่อผู้นำของญี่ปุ่นและจีนว่า ทั้ง 2 ประเทศไม่สามารถลดค่าเงินของตนเองลงต่อไปได้ เพราะถือว่าไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ผมได้โทรหาประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้นำของญี่ปุ่นเพื่อบอกว่า คุณไม่สามารถลดค่าเงินของคุณลงและทำลายมันได้อีกต่อไป คุณทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่เป็นธรรมกับเรา ทำให้เราผลิตรถแทรกเตอร์หรือเครื่องจักร Caterpillar ในสหรัฐฯ ได้ยากมาก เมื่อญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่น ๆ กำลังทำลายค่าเงินของตนเอง ที่หมายถึงการกดค่าเงินให้ต่ำลง
*** ฮอนด้า ตัดสินใจผลิตรถยนต์รุ่น Civic ไฮบริดรุ่นใหม่ในรัฐอินเดียนาของสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นเม็กซิโก เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่อาจเกิดขึ้นกับหนึ่งในรถยนต์รุ่นขายดีที่สุดของบริษัท โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์ต่างเร่งปรับตัวต่อแผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% จากสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา แม้ว่าหลายค่ายรถจะกังวลเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว แต่การตัดสินใจของฮอนด้าถือเป็นก้าวแรกที่เป็นรูปธรรมของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่ ซึ่งคาดว่าการผลิตในรัฐอินเดียนาจะอยู่ที่ประมาณ 210,000 คันต่อปี
*** คณะกรรมาธิการยุโรป ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป โดยให้เวลา 3 ปี แทนที่จะเป็นเพียง 1 ปี ในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซ CO2 ใหม่สำหรับรถยนต์ โดยสหภาพยุโรปได้ลดเพดานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากยานยนต์ลงอย่างมากในปีนี้ ซึ่งหมายความว่ายอดขายอย่างน้อย 1 ใน 5 ของบริษัทผลิตรถยนต์ทั้งหมดจะต้องเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับจำนวนมาก โดยเป้าหมายสูงสุดคือการไม่ปล่อยมลพิษในปี 2035 ข่าวดังกล่าว ส่งผลให้ราคาหุ้นของ VW, Renault, BMW และบริษัทอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น
*** BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน เปิดขายหุ้นในตลาดฮ่องกง เพื่อระดมทุนสูงสุดถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านกระบวนการจองซื้อหุ้นแบบ Accelerated book-building โดยบริษัทตั้งช่วงราคาเสนอขายไว้ที่ 333-345 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นส่วนลดสูงสุด 8.4% จากราคาปิดตลาดที่ 363.60 ดอลลาร์ฮ่องกงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
*** หุ้นของ Mixue Group เครือร้านชานมและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดของจีน พุ่งขึ้นกว่า 47% ในการซื้อขายวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 มี.ค.) ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวหุ้นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดของฮ่องกงนับตั้งแต่ปี 2021 โดย Mixue ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะเครื่องดื่มราคาประหยัดและมาสคอต Snow King ในชุดคลุมสีแดง ระดมทุนได้ 444 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) โดยขายหุ้นจำนวน 17 ล้านหุ้น ที่ราคา 202.5 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น
*** บริษัท Seven & i Holdings ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกของญี่ปุ่น ซึ่งกำลังเผชิญศึกแย่งซื้อกิจการ เตรียมสรุปแผนการลงจากตำแหน่งของซีอีโอ ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะให้ซีอีโอชาวต่างชาติคนแรกเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน โดยริวอิจิ อิซากะ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทจะลาออกและมีแนวโน้มสูงที่สตีเฟน ดาคัส กรรมการบริหาร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
*** Seven & i วางแผนปฏิเสธข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard ของแคนาดา เนื่องจากผู้ค้าปลีกรายนี้ต้องการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจด้วยตนเอง โดยยักษ์ใหญ่ด้านการค้าปลีกกำลังสรุปแผนให้ ริวอิจิ อิซากะ CEO คนปัจจุบัน ก้าวลงจากตำแหน่ง และมีแนวโน้มสูงที่สตีเฟน ดาคัส กรรมการบริษัทจะเข้ามารับตำแหน่งแทน โดยดาคัส เป็นหัวหน้าคณะกรรมการพิเศษเพื่อประเมินข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการจาก Couche-Tard และข้อตกลงการซื้อกิจการเพื่อเป็นบริษัทเอกชนจากครอบครัวผู้ก่อตั้ง Seven & i ที่เพิ่งล่มสลายไปก่อนหน้านี้
*** บริษัท TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวัน วางแผนลงทุนใหม่มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ โดยจะรวมถึงการสร้างโรงงานผลิตชิปเพิ่มอีก 5 แห่งในสหรัฐฯ ในปีต่อ ๆ ไป โดยซีอีโอของบริษัทได้ประกาศร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยการประกาศครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ซี.ซี. เว่ย ซีอีโอของ TSMC เข้าพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำเนียบขาว
*** รายได้ของ CoreWeave ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia เพิ่มขึ้นมากกว่า 8 เท่าในปี 2024 โดยบริษัทผู้ให้บริการคลาวด์รายนี้ เปิดเผยผ่านเอกสารการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งแรกในสหรัฐฯ ซึ่งสตาร์ทอัพรายนี้กำลังเดินหน้าสู่การเป็นบริษัท AI รายใหญ่รายแรกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กในปีนี้ โดยการยื่นเอกสารดังกล่าว เป็นการวางรากฐานสำหรับการเสนอขายหุ้นที่อาจเป็นการจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในปีที่ผ่านมา และเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด IPO เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่เงียบเหงา คาดว่าผู้ให้บริการคลาวด์รายนี้ จะตั้งเป้ามูลค่าตลาดไว้ที่กว่า 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
*** บริษัทออกแบบชิปอย่าง Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบการผลิตร่วมกับ Intel ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในเทคนิคการผลิตขั้นสูงของบริษัท Intel ที่กำลังประสบปัญหาในเวลานี้ โดยการทดสอบ 2 ครั้ง ซึ่งยังไม่มีการรายงานก่อนหน้านี้ บ่งชี้ว่าบริษัททั้ง 2 กำลังใกล้ตัดสินใจว่า จะตกลงทำสัญญาการผลิตมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐกับ Intel หรือไม่ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวอาจสร้างรายได้ก้อนโตและการรับรองให้กับธุรกิจการผลิตตามสัญญาของ Intel ที่ประสบปัญหาล่าช้า และยังไม่มีการประกาศลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นนักออกแบบชิปแต่อย่างใด
*** หุ้น Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% หลัง Morgan Stanley ยกให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้เป็นบริษัทรถยนต์อันดับหนึ่งในสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยระบุว่าความพยายามด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ของบริษัทอาจช่วยขับเคลื่อนการเติบโตได้ แม้ว่าธุรกิจหลักอย่างรถยนต์จะประสบปัญหา โดยข้อมูลอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นว่ายอดขาย Tesla ในยุโรปลดลง 45% ในเดือนม.ค. ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 37%
*** JP Morgan คาดว่าการขาดแคลนทองแดงกลั่นทั่วโลก จะเพิ่มขึ้นเป็น 160,000 เมตริกตันในปี 2026 และยังคงคาดการณ์ว่าราคาทองแดงจะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 11,000 ดอลลาร์ต่อเมตริกตันในปีหน้า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ตรวจสอบความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงที่อาจเกิดขึ้นใหม่ โดยธนาคารคาดว่าอัตราภาษีอย่างน้อย 10% สำหรับการนำเข้าทองแดงกลั่นและผลิตภัณฑ์ทองแดงจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นไตรมาสที่ 3 โดยมีความเสี่ยงสูงที่อัตราภาษีอาจเพิ่มขึ้นถึง 25%
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ