โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

จากโต๊ะเจรจา สู่แนวรบภาษี ทำไม “จีน” เลือกตอบโต้สหรัฐแบบตาต่อตา

การเงินธนาคาร

อัพเดต 12 เม.ย. เวลา 15.02 น. • เผยแพร่ 15 เม.ย. เวลา 04.00 น.

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศกลับมาระอุอีกครั้ง หลังจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 และเริ่มดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูดุลการค้าอย่างเข้มข้น

ทรัมป์ประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรขั้นพื้นฐานสำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลกในอัตราเฉลี่ย 10% โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะจากประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าในระดับสูง นอกจากนี้ยังได้เรียกเก็บภาษีตอบโต้เพิ่มเติมในอัตรา 11–50% สำหรับสินค้ากลุ่มเฉพาะที่ประเมินว่า มีการอุดหนุนราคาหรือทุ่มตลาด และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ เช่น สินค้าเทคโนโลยี แบตเตอรี่ยานยนต์ อะไหล่รถยนต์ และวัสดุก่อสร้าง

ในบรรดาคู่ค้าระหว่างประเทศทั้งหมด จีน ตกเป็นเป้าหมายหลักของมาตรการรอบนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามากที่สุดในรอบหลายปี ทรัมป์จึงยกเว้นจีนจากการชะลอมาตรการภาษี และประกาศเก็บภาษีรวมสูงถึง 145% สำหรับสินค้าบางประเภท ซึ่งเป็นการรวมระหว่าง ภาษีตอบโต้เดิม ภาษีพิเศษ 125% ที่เพิ่มขึ้นใหม่ และภาษีเฟนทานิลอีก 20% ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเกี่ยวข้องกับนโยบายปราบปรามยาเสพติด

"จีน" ไม่อยู่เฉย!

รัฐบาลจีนแสดงท่าทีแข็งกร้าวทันที โดยประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอัตราสูงสุดถึง 104% สำหรับสินค้าบางกลุ่ม พร้อมทั้งเรียกร้องให้สหรัฐถอนมาตรการที่จีนมองว่าเป็นการข่มขู่ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้จีนยังเร่งกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ผ่านการเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อสร้างแนวร่วมภูมิภาคตอบโต้ผลกระทบจากนโยบายสหรัฐ

สหรัฐ ประเทศที่มีการค้าขายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ก่อนอื่นขอพาไปดูข้อมูลการค้าที่สำคัฐของสหรัฐก่อน ซึ่งจากข้อมูลสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีการค้าขายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน โดยมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าและบริการในปี 2565 มากกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยสหรัฐมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศ เขตพื้นที่ และสมาคมระดับภูมิภาคมากกว่า 200 แห่งทั่วโลก

โดยสหรัฐเป็นผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีนเท่านั้น การส่งออกสินค้าของสหรัฐไปยังทั่วโลกมีมูลค่ารวม 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 เพิ่มขึ้น 17.5% หรือราว 307,300 ล้านดอลลาร์ จากปี 2021

ผู้ซื้อ 5 อันดับแรกของการส่งออกสินค้าของสหรัฐ ในปี 2022 ได้แก่

  • แคนาดา (356,500 ล้านดอลลาร์)
    • เม็กซิโก (324,300 ล้านดอลลาร์)
    • จีน (150,400 ล้านดอลลาร์)
    • ญี่ปุ่น (80,200 ล้านดอลลาร์)
    • สหราชอาณาจักร (76,200 ล้านดอลลาร์)

การส่งออกสินค้าของสหรัฐไปยังสหภาพยุโรป มีมูลค่า 350,800 ล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน สหรัฐ เป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปี 2022 สหรัฐนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกรวมมูลค่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14.6% หรือราว 413,700 ล้านดอลลาร์ จากปี 2021 จีนเป็นซัพพลายเออร์สินค้ารายใหญ่ที่สุดให้กับสหรัฐ คิดเป็น 16.5% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมด

ซัพพลายเออร์ 5 อันดับแรกของการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ในปี 2022 ได้แก่

  • จีน (536,300 ล้านดอลลาร์)
    • เม็กซิโก (454,800 ล้านดอลลาร์)
    • แคนาดา (436,600 ล้านดอลลาร์)
    • ญี่ปุ่น (148,100 ล้านดอลลาร์)
    • เยอรมนี (146,600 ล้านดอลลาร์)

การนำเข้าสินค้าของสหรัฐจากสหภาพยุโรป มีมูลค่า 553,300 ล้านดอลลาร์

ดังนั้นจะเห็นภาพว่าสหรัฐมีการขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมาก

ส่องดุลการค้าสหรัฐ-จีน 20 ปีย้อนหลัง

และจากข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Census Bureau) พบว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2005-2024 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขตามมูลค่าโดยประมาณ แต่ไม่ได้ปรับตามฤดูกาล ขณะที่ในปี 2025 สหรัฐขาดดุลการจีนช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2568 กว่า 52,911.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐส่งออกไปจีนเพียง 20,362.9 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 73,274.5 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ดุลการค้าสหรัฐ-จีน 20 ปีย้อนหลัง ดังนี้

ปี 2025 (ม.ค.ก.พ.68) สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน -52,911.6 ล้านดอลลาร์

ปี 2024 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 295,401.6 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 143,545.7 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 438,947.4 ล้านดอลลาร์

ปี 2023 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 279,107.2 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 147,777.8 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 426,885 ล้านดอลลาร์

ปี 2022 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 382,133.8 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 154,125.4 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 536,259.3 ล้านดอลลาร์

ปี 2021 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 352,806.9 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 151,439.4 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 504,246.3 ล้านดอลลาร์

ปี 2020 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 307,966.5 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 124,581.5 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 432,548 ล้านดอลลาร์

ปี 2019 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 342,629.5 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 106,481.2 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 449,110.7 ล้านดอลลาร์

ปี 2018 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 418,232.9 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 120,281.2 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 538,514.2 ล้านดอลลาร์

ปี 2017 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 375,167.9 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 129,997.2 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 505,165.1 ล้านดอลลาร์

ปี 2016 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 346,825.2 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 115,594.8 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 462,420 ล้านดอลลาร์

ปี 2015 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 367,328.3 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 115,873.4 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 483,201.7 ล้านดอลลาร์

ปี 2014 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 344,817.7 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 123,657.2 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 468,474.9 ล้านดอลลาร์

ปี 2013 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 318,683.8 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 121,746.2 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 440,430 ล้านดอลลาร์

ปี 2012 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 315,102.5 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 110,516.6 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 425,619.1 ล้านดอลลาร์

ปี 2011 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 295,249.7 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 104,121.5 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 399,371.2 ล้านดอลลาร์

ปี 2010 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 273,041.6 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 91,911.1 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 364,952.6 ล้านดอลลาร์

ปี 2009 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 226,877.2 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 69,496.7 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 296,373.9 ล้านดอลลาร์

ปี 2008 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 268,039.8 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 69,732.8 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 337,772.6 ล้านดอลลาร์

ปี 2007 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 258,506 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 62,936.9 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 321,442.9 ล้านดอลลาร์

ปี 2006 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 234,101.3 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 53,673 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 287,774.4 ล้านดอลลาร์

ปี 2005 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน 202,278.1 ล้านดอลลาร์

  • ส่งออกไปจีน 41,192 ล้านดอลลาร์
    • นำเข้าจากจีน 243,470 ล้านดอลลาร์

แล้วทำไม "จีน" ถึงเลือกตอบโต้สหรัฐ แทนการเดินหน้าเจรจากับสหรัฐ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ?

Yuqing Xing ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่สถาบันบัณฑิตศึกษาแห่งชาติเพื่อการศึกษานโยบายในโตเกียว อธิบายไว้ว่าณ ปัจจุบัน สินค้าส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอยู่ภายใต้ภาษีนำเข้า 125% ขึ้นไป หากยังคงเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อไป การแยกตัวของสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกคงหลีกเลี่ยงไม่ได้

เบื้องต้นมีความแตกต่างพื้นฐาน 3 ประการ ระหว่างทั้งสองประเทศที่ทำให้ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อกันและมั่นคงได้

ประการแรก สหรัฐฯและจีนมีระบบการเมืองที่แตกต่างกัน จีนเป็นประเทศที่ไม่เสรีนิยม ซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในขณะที่สหรัฐเป็นประเทศประชาธิปไตยซึ่งมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก ๆ 4 ปี ความแตกต่างนี้ทำให้การสร้างความไว้วางใจระหว่างการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมเป็นเรื่องยากมาก

ประการที่สอง ทั้งสองประเทศมีระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน จีนเป็นเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม รัฐวิสาหกิจเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจจีน ควบคู่ไปกับการแทรกแซงของรัฐบาลและนโยบายอุตสาหกรรม ในทางกลับกัน สหรัฐเป็นเศรษฐกิจตลาดเสรีที่ถูกครอบงำโดยบริษัทเอกชน เมื่อบริษัทจีนแข่งขันกับบริษัทอเมริกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุสิ่งที่เรียกว่าการแข่งขันที่เป็นธรรมหรือการค้าที่เป็นธรรม

ในที่สุด ทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติที่แตกต่างกัน ในขณะที่จีนและสหรัฐอยู่คนละฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และหมู่เกาะเตียวหยู/เซ็นกากุ สหรัฐยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจีน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางทหารได้

เมื่อจีนยังเป็นประเทศยากจน สหรัฐไม่สนใจความแตกต่างเหล่านี้และมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันจีนมีเศรษฐกิจ 20 ล้านล้านดอลลาร์ และช่องว่างด้านศักยภาพทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหารกับสหรัฐลดลง ดังนั้นสหรัฐจึงเริ่มกังวลว่าความแตกต่างพื้นฐานอาจบั่นทอนผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐ และอาจคุกคามความมั่นคงของชาติด้วยซ้ำ

ในการแสวงหาสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นการค้าที่เป็นธรรม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้เริ่มสงครามการค้าในปี 2018 โดยกำหนดภาษีนำเข้าจากจีน 7.5%-25% และไม่ถึงสามเดือนหลังจากที่เขากลับเข้าทำเนียบขาว ทรัมป์ได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมด 125% ทำให้ภาษีนำเข้าเพิ่มสูงเกินระดับตอบแทนมาก

ในช่วงแรกของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรที่ลงโทษสินค้าเหล่านี้ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ภายใต้ภาษีศุลกากร 125% ส่งผลให้ต้นทุนของห่วงโซ่อุปทานในจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และห่วงโซ่อุปทานก็จะกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น Apple ได้ย้ายการผลิต iPhone ไปที่อินเดีย และย้ายการผลิต iPad ไปที่เวียดนาม

ทรัมป์คาดหวังว่าภาษีศุลกากรจะส่งผลให้มีการจ้างงานด้านการผลิตกลับเข้ามาในอเมริกาอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่งานที่มีมูลค่าต่ำและใช้แรงงานจำนวนมากเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของประเทศรายได้ต่ำอื่นๆ เหตุผลก็ง่ายมาก นั่นคือไม่มีชาวอเมริกันจำนวนหลายล้านคนที่เต็มใจประกอบไอโฟนหรือแล็ปท็อปเพื่อแลกกับเงินเดือน 400 ดอลลาร์ต่อเดือน

ทรัมป์ถือว่าผู้ผลิตต่างชาติเป็นผู้จ่ายภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกา ในความเป็นจริง บริษัทจีนไม่มีภาระผูกพันต้องจ่ายภาษีนำเข้าสินค้าใดๆ ที่ประกอบขึ้นเพื่อบริษัทอเมริกัน เนื่องจากบริษัทจีนไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเหล่านี้ บริษัทอเมริกันมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า ดังนั้น บริษัทอเมริกันจึงตกเป็นเหยื่อของภาษีนำเข้าเช่นกัน

นับตั้งแต่สงครามการค้าเริ่มต้นขึ้น จีนได้ลดภาษีนำเข้าถึง 4 ครั้ง โดยลดอัตราภาษีเฉลี่ยจาก 12% เหลือ 6% และได้แก้ไขกฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกฎหมายฉบับแก้ไขนี้ และเปิดบริษัทผลิตรถยนต์ที่เป็นของต่างชาติทั้งหมดแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้

ในปี 2020 จีนและสหรัฐฯ ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าระยะแรก ซึ่งจีนสัญญาว่าจะเพิ่มการนำเข้าผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ เสริมสร้างการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และห้ามการถ่ายโอนเทคโนโลยีโดยบังคับ ข้อตกลงดังกล่าวได้ขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรต่อผลิตภัณฑ์นม เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อสัตว์ปีกของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิผล โดยกำหนดว่าหากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีใบรับรองด้านสุขภาพและความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ จีนจะรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เหล่านี้

น่าเสียดายที่ข้อตกลงเหล่านี้ไม่สามารถโน้มน้าวให้สหรัฐฯ ยอมนั่งที่โต๊ะเจรจาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าได้ ความไว้วางใจซึ่งกันและกันก็สูญสลายไป นับแต่นั้นมา ทุกครั้งที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี จีนก็จะตอบโต้ด้วยมาตรการตอบโต้

บางทีทรัมป์อาจเชื่อว่าจีนไม่มีไพ่ในมือที่จะสู้สงครามการค้า เพราะจีนมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ มหาศาล แต่ในยุคของห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก การดูสถิติการค้าเพียงอย่างเดียวเพื่อประเมินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคีถือเป็นการเข้าใจผิด บริษัทอเมริกันหลายแห่งไม่ส่งออกผลิตภัณฑ์ "Made in America" ไปยังจีนอีกต่อไปแล้ว แต่ขายผลิตภัณฑ์ที่ประกอบหรือผลิตในจีน เวียดนาม หรือประเทศที่สามอื่นๆ ให้กับผู้บริโภคชาวจีน

ในปี 2024 บริษัทอเมริกัน 6 แห่ง ได้แก่ Apple, Tesla, Qualcomm, Nvidia, AMD และ Nike ขายสินค้ามูลค่า 121,600 ล้านดอลลาร์ในจีน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 85% ของการส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนในปีนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือจำนวนเงินมหาศาลนี้ไม่ได้รวมอยู่ในสถิติการค้าอย่างเป็นทางการ หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงทวีความรุนแรงขึ้น บริษัทอเมริกันเหล่านี้อาจเป็นไพ่ที่จีนเล่น ลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นของ Tesla หากรัฐบาลจีนถอด Tesla ออกจากรายชื่อรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน

ในเดือนธันวาคม 2017 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน กล่าวว่า "โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ" ถ้อยแถลงดังกล่าวได้รับการอ้างอิงเป็นประจำโดยผู้นำ นักการทูต และนักวิชาการของจีน สำหรับชาวต่างชาติจำนวนมาก ไม่ชัดเจนว่า "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด" หมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ ชัดเจนมากแล้วว่าสีจิ้นผิงหมายถึงอะไร ขอบคุณทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ใน "วันปลดปล่อย" ทรัมป์ได้เปิดฉากสงครามการค้ากับพันธมิตรทางการค้าทั้งหมด แม้แต่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดในเอเชีย ตลาดการเงินทั่วโลกสูญเสียเงินไปหลายล้านล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เริ่มที่จะร่วมมือกับรัสเซียและใช้สิทธิ์ยับยั้งมติของสหประชาชาติเกี่ยวกับสงครามยูเครน ในอดีต จีนมักถูกบอกให้ปฏิบัติตามระเบียบระหว่างประเทศตามกฎเกณฑ์ และถึงกับถูกเตือนไม่ให้ก่อกวนระเบียบดังกล่าว ปัจจุบัน ทรัมป์ได้เปลี่ยนระเบียบที่อิงตามกฎเกณฑ์ให้กลายเป็นระเบียบแบบไพ่

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทรัมป์นำมาสู่ได้สร้างสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยต่อจีน ในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่จีนเท่านั้น แต่สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ก็ตกเป็นเหยื่อของนโยบาย " America First" และสงครามการค้าโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อาจหวั่นเกรงว่าวันหนึ่งสหรัฐฯ อาจพูดกับพวกเขาเหมือนที่เขาพูดกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนว่า "พวกคุณไม่มีไพ่ในมือ"

เรื่องนี้ทำให้ประเทศในเอเชียต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องระเบียบระหว่างประเทศตามกฎเกณฑ์และระบบการค้าโลก จีนมีแนวโน้มที่จะใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และเสริมสร้างความเป็นผู้นำในการร่วมมือระดับภูมิภาค

อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามนโยบาย “America First” ของทรัมป์ต่อไป จะยังคงเดินหน้าในทิศทาง “แยกตัว-ตั้งกำแพง” ต่อไปหรือไม่ หรือจะปรับเข้าสู่ “สมดุลใหม่” ท่ามกลางแรงกดดันพันธมิตรเดิม โดยเฉพาะจีน

อ้างอิง : census.gov , ustr.gov , asia.nikkei.com

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...