โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ส่องอนาคต 3 หุ้น Tech Consult เมื่อกำไรจะเติบโตอย่างโดดเด่น

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 21.46 น. • เผยแพร่ 03 ส.ค. 2565 เวลา 01.21 น. • This’s Alano

3 หุ้น Tech Consultถือเป็นกลุ่มที่บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินเป็นหนึ่งในกลุ่ม High Growth ที่หุ้นผ่านการปรับฐานมาแล้ว อาทิ JMT, JMART, KCE, IIG, TIDLOR, BE8, BBIKอย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ดังกล่าวได้ออกมาประเมินหุ้นกลุ่มนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ทั้งนี้ระบุว่า หุ้นในกลุ่ม Digital Tech Consult (BE8, IIG, BBIK) ประเมินโซนปัจจุบันยังเป็นโอกาสลงทุนจากเหตุผลหลักๆดังนี้ 1.แรงกดดันภาพใหญ่ลดลง หลังจาก Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามตลาดคาดที่ 75 bps ในรอบประชุมล่าสุด และน่าจะเป็นการปรับขึ้นในระดับที่เร่งตัวสุดแล้วเช่นเดียวกับแรงกดดันในส่วนเงินเฟ้อที่เข้าใกล้ระดับสูงสุด
2.ภาพรวมพื้นฐานธุรกิจกลุ่ม Digital Tech Consult ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมาก สะท้อนจากคาดการณ์กำไรงวดไตรมาส 2/65 ทั้งกลุ่มที่ทำ New High ต่อเนื่อง โดยประเมิน BE8 จะรายงานกำไรไตรมาส 2/65 เพิ่มขึ้น 34%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25%จากไตรมาสก่อน ส่วน IIG คาดกำไรเพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และ BBIK ทีมกลยุทธ์อยู่ระหว่างประเมิน แต่เบื้องต้นคาดว่าขึ้นทำ New High เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3%จากไตรมาสก่อนเช่นเดียวกับกลุ่ม ขณะที่คาดการณ์กำไรปี 65-66 ของทุกบริษัทจะอยู่ในระดับเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 35%-40%
3.Valuation หุ้นในกลุ่ม BBIK IIG และ BE8 ปัจจุบัน ถ้าอิง EPS’23 จะมี PER’23 ราว 40.6, 43.5 และ 26.8 เท่าไม่แพงเทียบกับศักยภาพการเติบโตอีกหลายเท่าตัวในระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม ทีมกลยุทธ์แนะนำ IIG (ราคาเป้าหมาย 52 บาท) ที่ยังมี Valuation ถูกกว่ากลุ่ม และ BE8 (ราคาเป้าหมาย70 บาท) ที่แม้ Valuation แพงกว่ากลุ่ม แต่เหมาะสมภายใต้ภาพการทยอยขยายธุรกิจช่วงที่ผ่านมาช่วยให้มีโครงสร้างพร้อมหนุนศักยภาพเติบโตระยะกลางได้สูงกว่ากลุ่ม

BE8 แนะ ซื้อ รับการเติบโตระยะยาว

BE8 โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ระยะสั้นคาดกำไรไตรมาส 2/65 ที่ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน เป็น new high ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกระแสการทำ Digital transformation และการทยอยทำงานโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทได้รับมาในช่วงก่อนหน้า (ทั้งงาน ไปรษณีย์ไทยและการท่าเรือ)
โดยคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70บาท รับการเติบโตในระยะยาว ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 63% ต่อปีในช่วง 3ปีข้างหน้า อีกทั้งยังมีโอกาสเห็น JV, M&A เพิ่มเติม หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ที่มีดีลและต่อจิ๊กซอว์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งX10ซึ่งมาเสริมศักยภาพด้านบุคลากร การไปร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยพัฒนาระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร และล่าสุดการลงทุนในวานิล ลา แอนด์ เฟรนด์ เพื่อเพิ่มความสามารถในด้านการทำ Digital marketing
ทั้งนี้ประเมินกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 64%จากปีก่อน มาที่ระดับที่ 135 ล้านบาท เติบโตตามตามความต้องการด้าน Digital transformation ในตลาดมีเพิ่มมากขึ้น การรุกตลาดภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และดีล X10 ที่จะมาช่วยเสริมรายได้อย่างมีนัยฯตั้งแต่ไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป (สมมติฐานเริ่มรวมรายได้ X10 ตั้งแต่ ก.ย.65) ซึ่งจะช่วยสร้าง synergy และเพิ่มศักยภาพในการรับงานของบริษัท ส่วนภาพระยะกลางคาดกำไรปีในช่วง3 ปีข้างหน้าเติบโตสูงต่อเนื่องเฉลี่ยี่ 63%CAGR ในช่วงปี 65-67

IIG รายได้ประจำสูง

IIG โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดกำไรไตรมาส 2/65 ที่ 29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4%จากไตรมาสก่อน ทำ new high ต่อเนื่องตามการทยอยรับรู้งานจาก backlog และคาดกำไรปีนี้ที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45%จากปีก่อนส่วนภาพระยะกลางประเมินกำไรปี 65-67 โตสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 36%CAGR ตามรายได้ที่คาดเติบโต 32% CAGR และ backlog ของบริษัทเมื่อรวมกับ recurring revenue จะsecure รายได้เกือบทั้งหมดของประมาณการปี 65 ของฝ่ายวิจัยแล้ว
ขณะที่ Valuation แม้เติบโตต่ำกว่ากลุ่ม แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ 36%CAGR และราคาซื้อขายบน PER22F ที่ 35 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ ที่ระดับ 50-80 เท่า คงคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 52 บาท ส่วน bond yield ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็น sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มเทคฯ รวมทั้งมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญจากการที่บริษัทต่างๆหันมาใช้ระบบ Cloud มากขึ้น ซึ่งเป็น New S curve ของงาน ERP ลดความกังวลตลาดที่เดิมมอง ERP เติบโตช้า และ recurring income สูง 45% รวมทั้งมีโอกาสเห็น JV, M&A

BBIK กำไรโตไม่หยุด

สุดท้าย BBIKโดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าคาดกำไรปกติของ BBIK ในไตรมาส 2/65 ที่ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 67%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากรายได้ที่เติบโตเด่น ตาม Backlogs ณ สิ้นไตรมาส 1/65 ที่แข็งแกร่ง 459 ล้านบาท ดังนี้
1.คาดรายได้ในไตรมาส 2/65 ที่ 118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 53%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจาก Backlogs ที่แข็งแกร่ง ตามมูลค่าตลาดด้าน Digital transformation ที่ขยายตัวขึ้น และเป็นผลบวกจากการที่ BBIKลงทุนผ่านการซื้อกิจการอื่นเพื่อต่อยอดการให้บริการให้ครบวงจรมากขึ้น
2.คาด GPM ที่ 60% ทรงตัวจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเป็นธุรกิจด้านที่ปรึกษาทำให้มีอัตราการทำกำไรที่สม่ำเสมอไม่ได้ผันแปรตามต้นทุน Raw Material เหมือนธุรกิจการผลิตอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาค 3.SG&A คาดที่ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 77%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโตตามการเพิ่มจำนวนพนักงาน แต่รายได้ยังเติบโตมากกว่า และ 4.ส่วนแบ่งกำไรจาก Orbit คาดที่ 6 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ทำได้ในไตรมาส 1/65 หากกำไรออกมาตามคาด กำไรครึ่งแรกปี 65 จะคิดเป็น 52% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2565 ที่ 112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น71%จากปีก่อน
ขณะที่ในไตรมาส 2/65 BBIK ชนะงานเพิ่มเติมราว 100 ล้านบาท หนุนให้แม้มีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/65 ไปแล้วBacklogs ก็ยังแข็งแกร่งที่ระดับ 459 ล้านบาท โดยตัวเลข Backlogs ไม่ได้รวมรายได้จาก Orbit ซึ่งผู้บริหารคาด Orbit จะมีรายได้รวมทั้งปี 2565 ราว 150 ล้านบาท การเติบโตภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนด้าน Digital Transformation ที่ยังเป็นที่ต้องการอีกมากในระยะยาว ในภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น Post COVID-19 เชื่อว่าผู้ประกอบการจะจำเป็นต้องเร่งลงทุนด้าน Digital Transformation มากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้แผนการเติบโตของ BBIK มีความชัดเจน โดยต้องการจะเปลี่ยนลูกค้าเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะเติบโตไปด้วยกัน ความสำเร็จจากกรณีของ Orbit (BBIK จับมือกับ PTTOR) ทำให้ BBIK พร้อมต่อยอดในโมเดลธุรกิจในลักษณะเดียวกันนี้กับคู่ค้ารายอื่นๆ ขณะที่การเสริมศักยภาพด้านอื่นๆ เช่น Cybersecurity หรือ บริการ HR เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่ฝ่ายวิจัยคาดหวังได้ว่าจะเกิดขึ้นในระยะถัดไป
คงประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ 112 ล้านบาท เติบโต 71%จากปีก่อน และปี 2566 ที่ 173 ล้านบาท เติบโตต่อ 55% แนะนำประมาณการปี 2567 เป็นครั้งแรกคาดกำไรปกติที่ 268 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 55% โดยคาดการณ์กำไรที่สูงมาจากสมมติฐานสำคัญว่าการเติบโตของ Digital Transformation ของประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ขณะที่ผู้ชำนาญที่มีศักยภาพมีจำ กัด ส่วนฐานรายได้และกำไรของ BBIK ยังเล็กและมีงบดุลที่ดีเมื่อบวกกับศักยภาพของผู้บริหารเชื่อว่าจะสามารถที่จะเติบโตต่อยอดได้อีกมาก
ดังนั้นปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 95.25 บาทต่อหุ้น อิง PER เท่าเดิมที่ 55 เท่า ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโต คงแนะ “ซื้อ ” และให้ BBIK เป็นตัวเลือกเด่นของกลุ่ม ICT Small Cap
อย่างไรก็ตามบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมิน BBIKและ BE8 จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 วันที่ 11 ส.ค.65ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมิน IIG จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 วันที่ 11 ส.ค.65เช่นกัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...