โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ยุบสภาฉุดหุ้นไทยส่งท้าย68 เลือกตั้งใหม่ส่งสัญญาณบวก

Manager Online

เผยแพร่ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

ปัญหาชายแดน และ “ยุบสภา” กดดันตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปี นักลงทุนวิตกสร้างแรงเทขายร่วม 20 จุด แต่กูรูมองเป็นสัญญาณบวกระยะกลางสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ไทยยังต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ด้านความยั่งยืนทางการคลัง กระแสทุนสีเทา ส่วนปีหน้าโอกาสเติบโตยังมี

เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (SET Index) โดยเป็นผลจากแรงกดดันทางจิตวิทยาและความกังวลในความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าผลกระทบเชิงพื้นฐานต่อเศรษฐกิจภาพรวมของไทยจะถูกมองว่าจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการค้ากับกัมพูชาเมื่อเทียบกับ GDP ทั้งหมดมีไม่สูงมากนัก

โดยทั่วไป ในวันที่เกิดเหตุหรือวันที่ได้รับข่าวความตึงเครียด มักจะเห็นดัชนี SET ปรับตัวลดลง และครั้งนี้นักลงทุนมีความกังวลและมีการขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง และเหตุการณ์ระหว่างไทย – กัมพูชา แต่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่าผลกระทบต่อ SET Index นั้นจำกัดเช่นกัน และไม่น่าจะยืดเยื้อ เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงได้ด้วยการเจรจา

นั่นทำให้ภาพรวมตั้งแต่วันที่ 8 – 12 ธ.ค. 2568 ดัชนี Set Index ปรับตัวลดลง 19.67 จุด หรือ 1.54% และอีกปัจจัยที่กดดันคือความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้จะมีแรงเก็งกำไรรับข่าวการยุบสภาในวันสุดท้ายของสัปดาห์ (12 ธ.ค.) แต่ความกังวลต่อช่วงสุญญากาศทางการเมือง นโยบายของรัฐบาลรักษาการที่ถูกจำกัด และความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งยังคงเป็นปัจจัยกดดันโดยรวมตลอดสัปดาห์ และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีการเทขายหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาและโลจิสติกส์บริเวณชายแดนอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการประกาศยุบสภา ทำให้เกิดความผันผวนด้านลบ นักลงทุนกังวลต่อช่วงสุญญากาศทางการเมืองและการหยุดชะงักของนโยบายเร่งด่วนเดิม ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่รัฐบาลใหม่จะนำมาใช้ เช่น หุ้น Non-Bank, สื่อโฆษณา, ค้าปลีก

ไม่เพียงเท่านี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และทิศทางอัตราดอกเบี้ยทิศของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ โดยตลาดจับตาผลการประชุมของเฟด และสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์

ทิศทางธันวาคมช่วงที่เหลือ

ภาพรวมทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคม 2568 นักวิเคราะห์เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยภายในประเทศหลายประการ เช่น ความตึงเครียดชายแดน และการประกาศยุบสภา แต่ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การเลือกตั้งจะกลายเป็น “ปัจจัยบวก” ในการคลี่คลายความไม่แน่นอนในระยะกลาง

เนื่องจากการยุบสภาเพื่อเตรียมจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญ ที่เข้ามาช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนที่กดดันตลาดหุ้นไทยมาตลอดทั้งปี 2568 ซึ่งส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลดลงถึงประมาณ 10% และมีเงินทุนต่างชาติไหลออกไปแล้วเกือบ 1.4 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อกระบวนการเลือกตั้งเริ่มเดินหน้า จะสามารถหนุนให้ดัชนี SET ปรับตัวสูงขึ้น

“แรงกดดันหลักที่ทำให้ตลาดไทยปรับตัวลงหนักในช่วงปี 2568 คือความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ตลาดขาดปัจจัยกระตุ้นและแรงจูงใจในการลงทุน การเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งจึงถูกตีความว่าเป็นการเริ่มต้นของการสร้างความชัดเจนทางการเมือง แม้จะมีช่วงสุญญากาศเกิดขึ้นก่อนก็ตาม นั่นเพราะนโยบายและความเชื่อมั่นทางการเมืองมีน้ำหนักสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในช่วงนั้นประเด็นที่ควรจับตาเป็นพิเศษ”

ขณะที่การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ควรถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ในด้านความยั่งยืนทางการคลัง กระแสทุนสีเทา และทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างแท้จริงในระยะยาว

ดังนั้นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลใหม่ในการจัดการกับประเด็นเชิงโครงสร้างเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเมื่อตลาดเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ปัจจัยในประเทศ (Domestic Factors) อาจมีบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดมากขึ้น เช่น การเก็งกำไรในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีตหรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินหาเสียง นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการกลับมาของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ก็อาจเป็นสัญญาณบวกต่อการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ

เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ Goldman Sachs มีรายงานที่แสดงถึงมุมมองโดยรวมต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) เป็นบวกในปี 2569 โดยเชื่อว่าผลตอบแทนที่น่าสนใจจะมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ของบริษัท การปรับปรุงผลิตภาพและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น รวมถึงผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง สำหรับตลาดเกิดใหม่ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทย) ทำให้คาดหวังว่าการเติบโตของ GDP ในระดับที่สูงขึ้น (Nominal GDP Growth) และการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Reforms) จะเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มากขึ้น

นอกจากนี้ Goldman Sachs ยังคงมองโลกในแง่ดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ระดับความเข้มข้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างสูง (Full Valuations) ทำให้ความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยง ไปยังตลาดอื่น ๆ มีมากขึ้น ดังนั้น ตลาดเกิดใหม่ จึงถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังมีการปฏิรูปและได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI

ทำให้ภาพรวมการลงทุนในปีถัดไปนั้นมีโอกาสที่ดี แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ การเติบโตหรือเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจรบกวนเส้นทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้ รายได้ของบริษัทจดทะเบียน (Earnings) อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และความเป็นไปได้ของผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

แต่ยังคงมองว่าตลาดเกิดใหม่มีเสน่ห์ เนื่องจากมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในบางภูมิภาค และมีการประเมินมูลค่า (Valuation) ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว ดังนั้นการกลับมาของเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะถัดไป จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้ตลาดหุ้นในกลุ่มนี้ รวมถึงไทยสามารถฟื้นตัวได้

นั่นทำให้มีการปะเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (15-19 ธ.ค.) ว่าดัชนีฯ กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดไปอีกพักใหญ่ สถานการณ์ของตลาดในขณะนี้เปรียบเหมือนมีสองด้านที่กำลังดึงกันอยู่ โดยด้านหนึ่งคือความกังวลจากปัจจัยการเงินภายในประเทศที่ยังดูไม่นิ่งและขาดเสถียรภาพ ขณะที่อีกด้านหนึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่

สำหรับปัจจัยที่คอยฉุดรั้งและทำให้หลายคนยังไม่กล้าเข้าลงทุนเต็มที่คือความเสี่ยงเชิงลบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นทางการเมืองถือเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่ขับเคลื่อนตลาดมาตลอด ดังนั้นหากปัจจัยลบเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาจทำให้ตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนนักลงทุนอาจตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว

เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัว

อย่างไรก็ตาม เหรียญยังมีสองด้าน ในอีกมุมหนึ่ง ตลาดหุ้นไทยก็มีจุดแข็งและมูลค่าที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองผลตอบแทนในระยะยาว แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังดูวุ่นวายไม่นิ่ง แต่พื้นฐานของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ยังคงค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และการฟื้นตัวนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนหมอนรองหรือเบาะที่คอยพยุงตลาดเอาไว้ไม่ให้ปรับตัวลงไปลึกกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้นนักลงทุนที่สามารถรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ จึงมองว่าจังหวะเช่นนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการมองหาผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

โดยกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้คือการใช้ Playbook ที่เน้นความระมัดระวังและการเลือกหุ้นอย่างเจาะจง หรือควรให้ความสนใจกับ โซนแนวรับที่ 1,200 จุด ซึ่งเป็นระดับที่มีความสำคัญทั้งในทางเทคนิคและจิตวิทยา หากดัชนีหลุดระดับนี้ไป อาจเป็นสัญญาณเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ แนวทางการลงทุนยังแนะนำให้เน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานดีและมีความผันผวนต่ำ เช่น กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มหุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) หรือ สาธารณูปโภค และควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังกลุ่มที่อ่อนไหวต่อข่าวสารและอารมณ์ตลาดเป็นพิเศษ

สุญญากาศการเมืองกดดัน

ด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K-Research) ได้มีการออกบทวิเคราะห์ภายหลังการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 โดยคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ไว้ที่ 1.6% อย่างไรก็ตาม การประมาณการดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เนื่องจากช่วงเวลาสุญญากาศทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบายและการลงทุนในระยะแรกของการเปลี่ยนผ่าน

นักวิเคราะห์ของ K-Research มองว่า แม้การยุบสภาจะช่วยเร่งกระบวนการเลือกตั้งให้เร็วขึ้น แต่ความไม่แน่นอนในระยะสั้นยังคงเป็นประเด็นกดดันตลาด การเคลื่อนไหวของดัชนีจึงถูกจำกัดกรอบ โดยคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,230 - 1,260 จุด ในช่วงสัปดาห์ถัดไป (15 - 19 ธ.ค. 68) โดยมีประเด็นทางการเมืองและการเลือกตั้งใหม่เป็นจุดที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

โดยให้แนวรับที่สำคัญที่ 1,245 และ 1,230 จุด และแนวต้านที่ 1,285 และ 1,305 จุด อีกทั้งนักลงทุนควรติดตามผลการประชุม กนง. ในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดและค่าเงินบาทในช่วงปลายปี

ดาวน์ไซด์ไม่มาก

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในลักษณะ "ไซด์เวย์ (Sideway)" หรือ "แกว่งตัวขึ้น (Sideway Up)" ในระยะสั้น แม้จะมีปัจจัยการเมืองมากดดัน แต่เชื่อว่าดาวน์ไซด์ (Downside Risk) ของตลาดจะไม่เยอะมาก เนื่องจากในท้ายที่สุดตลาดก็จะมีความคาดหวังเกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาพร้อมกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่จะช่วยหนุนตลาด

นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า หุ้น DELTA ยังคงเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่กำหนดทิศทางของตลาดในระยะสั้น เนื่องจากมีน้ำหนักต่อดัชนีสูง ทำให้การเคลื่อนไหวของราคารายวันยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกลยุทธ์ นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากดัชนีมีการปรับฐานลงมา นักลงทุนควรใช้เป็น "โอกาสในการเข้าสะสม" หุ้นที่มีพื้นฐานดี

สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เน้นที่หุ้นในกลุ่ม ค้าปลีก (Commerce) และสื่อโฆษณา (Media) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเก็งกำไรในประเด็นการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื่องจากเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงการเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นยอดขายและกิจกรรมทางธุรกิจของกลุ่มเหล่านี้ให้เพิ่มขึ้น

เลือกหุ้นทนทานภาวะ ศก.

ด้าน บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้เสนอแนะกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการ "วางกลยุทธ์เพื่อช่วยรองรับปัจจัยลบ" ในช่วงที่มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังข่าวการยุบสภาและความกังวลในหลายด้านที่ยังคงรุมเร้าตลาด การให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีลักษณะเป็นหุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงด้านขาลงของพอร์ตการลงทุน

ทั้งนี้ KGI ได้มีการระบุถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากปัจจัยทางการเมือง ได้แก่ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว, ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ (Disruption) และความเสี่ยงด้าน Logistic ซึ่งปัจจัยด้านโลจิสติกส์นี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่คุณสนใจ รวมถึงปัญหา Supply Chain อื่น ๆ

ดังนั้น กลยุทธ์ของ KGI ในช่วงเวลานี้จึงมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวน และหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยเสี่ยงที่ระบุข้างต้น เพื่อให้พอร์ตสามารถรอดพ้นจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (Shock) และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...