ยุบสภาฉุดหุ้นไทยส่งท้าย68 เลือกตั้งใหม่ส่งสัญญาณบวก
ปัญหาชายแดน และ “ยุบสภา” กดดันตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปี นักลงทุนวิตกสร้างแรงเทขายร่วม 20 จุด แต่กูรูมองเป็นสัญญาณบวกระยะกลางสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ไทยยังต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ด้านความยั่งยืนทางการคลัง กระแสทุนสีเทา ส่วนปีหน้าโอกาสเติบโตยังมี
เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (SET Index) โดยเป็นผลจากแรงกดดันทางจิตวิทยาและความกังวลในความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าผลกระทบเชิงพื้นฐานต่อเศรษฐกิจภาพรวมของไทยจะถูกมองว่าจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการค้ากับกัมพูชาเมื่อเทียบกับ GDP ทั้งหมดมีไม่สูงมากนัก
โดยทั่วไป ในวันที่เกิดเหตุหรือวันที่ได้รับข่าวความตึงเครียด มักจะเห็นดัชนี SET ปรับตัวลดลง และครั้งนี้นักลงทุนมีความกังวลและมีการขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง และเหตุการณ์ระหว่างไทย – กัมพูชา แต่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่าผลกระทบต่อ SET Index นั้นจำกัดเช่นกัน และไม่น่าจะยืดเยื้อ เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงได้ด้วยการเจรจา
นั่นทำให้ภาพรวมตั้งแต่วันที่ 8 – 12 ธ.ค. 2568 ดัชนี Set Index ปรับตัวลดลง 19.67 จุด หรือ 1.54% และอีกปัจจัยที่กดดันคือความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้จะมีแรงเก็งกำไรรับข่าวการยุบสภาในวันสุดท้ายของสัปดาห์ (12 ธ.ค.) แต่ความกังวลต่อช่วงสุญญากาศทางการเมือง นโยบายของรัฐบาลรักษาการที่ถูกจำกัด และความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งยังคงเป็นปัจจัยกดดันโดยรวมตลอดสัปดาห์ และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีการเทขายหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาและโลจิสติกส์บริเวณชายแดนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการประกาศยุบสภา ทำให้เกิดความผันผวนด้านลบ นักลงทุนกังวลต่อช่วงสุญญากาศทางการเมืองและการหยุดชะงักของนโยบายเร่งด่วนเดิม ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่รัฐบาลใหม่จะนำมาใช้ เช่น หุ้น Non-Bank, สื่อโฆษณา, ค้าปลีก
ไม่เพียงเท่านี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และทิศทางอัตราดอกเบี้ยทิศของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ โดยตลาดจับตาผลการประชุมของเฟด และสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
ทิศทางธันวาคมช่วงที่เหลือ
ภาพรวมทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคม 2568 นักวิเคราะห์เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยภายในประเทศหลายประการ เช่น ความตึงเครียดชายแดน และการประกาศยุบสภา แต่ส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การเลือกตั้งจะกลายเป็น “ปัจจัยบวก” ในการคลี่คลายความไม่แน่นอนในระยะกลาง
เนื่องจากการยุบสภาเพื่อเตรียมจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญ ที่เข้ามาช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนที่กดดันตลาดหุ้นไทยมาตลอดทั้งปี 2568 ซึ่งส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลดลงถึงประมาณ 10% และมีเงินทุนต่างชาติไหลออกไปแล้วเกือบ 1.4 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อกระบวนการเลือกตั้งเริ่มเดินหน้า จะสามารถหนุนให้ดัชนี SET ปรับตัวสูงขึ้น
“แรงกดดันหลักที่ทำให้ตลาดไทยปรับตัวลงหนักในช่วงปี 2568 คือความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ตลาดขาดปัจจัยกระตุ้นและแรงจูงใจในการลงทุน การเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งจึงถูกตีความว่าเป็นการเริ่มต้นของการสร้างความชัดเจนทางการเมือง แม้จะมีช่วงสุญญากาศเกิดขึ้นก่อนก็ตาม นั่นเพราะนโยบายและความเชื่อมั่นทางการเมืองมีน้ำหนักสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในช่วงนั้นประเด็นที่ควรจับตาเป็นพิเศษ”
ขณะที่การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ควรถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ในด้านความยั่งยืนทางการคลัง กระแสทุนสีเทา และทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างแท้จริงในระยะยาว
ดังนั้นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลใหม่ในการจัดการกับประเด็นเชิงโครงสร้างเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเมื่อตลาดเข้าสู่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ปัจจัยในประเทศ (Domestic Factors) อาจมีบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดมากขึ้น เช่น การเก็งกำไรในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีตหรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินหาเสียง นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการกลับมาของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ก็อาจเป็นสัญญาณบวกต่อการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ
เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ Goldman Sachs มีรายงานที่แสดงถึงมุมมองโดยรวมต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) เป็นบวกในปี 2569 โดยเชื่อว่าผลตอบแทนที่น่าสนใจจะมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ของบริษัท การปรับปรุงผลิตภาพและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น รวมถึงผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง สำหรับตลาดเกิดใหม่ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทย) ทำให้คาดหวังว่าการเติบโตของ GDP ในระดับที่สูงขึ้น (Nominal GDP Growth) และการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Reforms) จะเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
นอกจากนี้ Goldman Sachs ยังคงมองโลกในแง่ดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ระดับความเข้มข้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างสูง (Full Valuations) ทำให้ความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยง ไปยังตลาดอื่น ๆ มีมากขึ้น ดังนั้น ตลาดเกิดใหม่ จึงถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังมีการปฏิรูปและได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI
ทำให้ภาพรวมการลงทุนในปีถัดไปนั้นมีโอกาสที่ดี แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ การเติบโตหรือเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจรบกวนเส้นทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้ รายได้ของบริษัทจดทะเบียน (Earnings) อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และความเป็นไปได้ของผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่ยังคงมองว่าตลาดเกิดใหม่มีเสน่ห์ เนื่องจากมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในบางภูมิภาค และมีการประเมินมูลค่า (Valuation) ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว ดังนั้นการกลับมาของเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะถัดไป จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้ตลาดหุ้นในกลุ่มนี้ รวมถึงไทยสามารถฟื้นตัวได้
นั่นทำให้มีการปะเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (15-19 ธ.ค.) ว่าดัชนีฯ กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดไปอีกพักใหญ่ สถานการณ์ของตลาดในขณะนี้เปรียบเหมือนมีสองด้านที่กำลังดึงกันอยู่ โดยด้านหนึ่งคือความกังวลจากปัจจัยการเงินภายในประเทศที่ยังดูไม่นิ่งและขาดเสถียรภาพ ขณะที่อีกด้านหนึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่
สำหรับปัจจัยที่คอยฉุดรั้งและทำให้หลายคนยังไม่กล้าเข้าลงทุนเต็มที่คือความเสี่ยงเชิงลบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นทางการเมืองถือเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่ขับเคลื่อนตลาดมาตลอด ดังนั้นหากปัจจัยลบเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาจทำให้ตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนนักลงทุนอาจตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
เศรษฐกิจไทยกำลังเริ่มฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม เหรียญยังมีสองด้าน ในอีกมุมหนึ่ง ตลาดหุ้นไทยก็มีจุดแข็งและมูลค่าที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองผลตอบแทนในระยะยาว แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังดูวุ่นวายไม่นิ่ง แต่พื้นฐานของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ยังคงค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และการฟื้นตัวนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนหมอนรองหรือเบาะที่คอยพยุงตลาดเอาไว้ไม่ให้ปรับตัวลงไปลึกกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้นนักลงทุนที่สามารถรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ จึงมองว่าจังหวะเช่นนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการมองหาผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
โดยกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้คือการใช้ Playbook ที่เน้นความระมัดระวังและการเลือกหุ้นอย่างเจาะจง หรือควรให้ความสนใจกับ โซนแนวรับที่ 1,200 จุด ซึ่งเป็นระดับที่มีความสำคัญทั้งในทางเทคนิคและจิตวิทยา หากดัชนีหลุดระดับนี้ไป อาจเป็นสัญญาณเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ แนวทางการลงทุนยังแนะนำให้เน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานดีและมีความผันผวนต่ำ เช่น กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มหุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) หรือ สาธารณูปโภค และควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังกลุ่มที่อ่อนไหวต่อข่าวสารและอารมณ์ตลาดเป็นพิเศษ
สุญญากาศการเมืองกดดัน
ด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K-Research) ได้มีการออกบทวิเคราะห์ภายหลังการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 โดยคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ไว้ที่ 1.6% อย่างไรก็ตาม การประมาณการดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เนื่องจากช่วงเวลาสุญญากาศทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบายและการลงทุนในระยะแรกของการเปลี่ยนผ่าน
นักวิเคราะห์ของ K-Research มองว่า แม้การยุบสภาจะช่วยเร่งกระบวนการเลือกตั้งให้เร็วขึ้น แต่ความไม่แน่นอนในระยะสั้นยังคงเป็นประเด็นกดดันตลาด การเคลื่อนไหวของดัชนีจึงถูกจำกัดกรอบ โดยคาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,230 - 1,260 จุด ในช่วงสัปดาห์ถัดไป (15 - 19 ธ.ค. 68) โดยมีประเด็นทางการเมืองและการเลือกตั้งใหม่เป็นจุดที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
โดยให้แนวรับที่สำคัญที่ 1,245 และ 1,230 จุด และแนวต้านที่ 1,285 และ 1,305 จุด อีกทั้งนักลงทุนควรติดตามผลการประชุม กนง. ในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดและค่าเงินบาทในช่วงปลายปี
ดาวน์ไซด์ไม่มาก
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในลักษณะ "ไซด์เวย์ (Sideway)" หรือ "แกว่งตัวขึ้น (Sideway Up)" ในระยะสั้น แม้จะมีปัจจัยการเมืองมากดดัน แต่เชื่อว่าดาวน์ไซด์ (Downside Risk) ของตลาดจะไม่เยอะมาก เนื่องจากในท้ายที่สุดตลาดก็จะมีความคาดหวังเกี่ยวกับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาพร้อมกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่จะช่วยหนุนตลาด
นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า หุ้น DELTA ยังคงเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่กำหนดทิศทางของตลาดในระยะสั้น เนื่องจากมีน้ำหนักต่อดัชนีสูง ทำให้การเคลื่อนไหวของราคารายวันยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกลยุทธ์ นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากดัชนีมีการปรับฐานลงมา นักลงทุนควรใช้เป็น "โอกาสในการเข้าสะสม" หุ้นที่มีพื้นฐานดี
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เน้นที่หุ้นในกลุ่ม ค้าปลีก (Commerce) และสื่อโฆษณา (Media) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเก็งกำไรในประเด็นการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื่องจากเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงการเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นยอดขายและกิจกรรมทางธุรกิจของกลุ่มเหล่านี้ให้เพิ่มขึ้น
เลือกหุ้นทนทานภาวะ ศก.
ด้าน บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้เสนอแนะกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการ "วางกลยุทธ์เพื่อช่วยรองรับปัจจัยลบ" ในช่วงที่มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังข่าวการยุบสภาและความกังวลในหลายด้านที่ยังคงรุมเร้าตลาด การให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีลักษณะเป็นหุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงด้านขาลงของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ KGI ได้มีการระบุถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากปัจจัยทางการเมือง ได้แก่ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว, ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ (Disruption) และความเสี่ยงด้าน Logistic ซึ่งปัจจัยด้านโลจิสติกส์นี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่คุณสนใจ รวมถึงปัญหา Supply Chain อื่น ๆ
ดังนั้น กลยุทธ์ของ KGI ในช่วงเวลานี้จึงมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวน และหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยเสี่ยงที่ระบุข้างต้น เพื่อให้พอร์ตสามารถรอดพ้นจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (Shock) และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO