โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ชูวิทย์ซัดแรง! สิ้นหวังสองพรรค ชี้ภูมิใจไทยฉีก MOA–ใช้ สว. เปลี่ยนเกมแก้รัฐธรรมนูญ ปชน.ต้องโหวตสวน

สยามรัฐ

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วันที่ 12 ธ.ค.68 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า…

สิ้นหวังทั้งสองพรรค

พรรคภูมิใจไทยฉีก MOA กับพรรคประชาชนที่ตกลงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยวางแผนจับมือกับ ส.ว. เปลี่ยนเกมโหวตรัฐธรรมนูญจากใช้เสียงข้างมากของรัฐสภา

มาเป็นต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3

อย่างที่ผมย้ำแล้วย้ำเล่าว่าพรรคประชาชนตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ที่เชื่อใจพรรคอย่างภูมิใจไทยให้เป็นแกนนำรัฐบาล เลือกอนุทินเป็นนายกฯ

และความผิดพลาดนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากพรรคประชาชนเอง

ความคาดหวังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนต้องพบกับการ “เล่นละครตบตา“ ครั้งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย

ที่แกล้งตกลงเซ็น MOA ทั้งที่ในใจของพรรคภูมิใจไทยไม่มีเจตนาจะทำตาม MOA ของพรรคประชาชนตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว

จะโทษพรรคภูมิใจไทยก็ได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็น ”สันดานการเมือง“ รับไว้ก่อนแล้วไปแก้ตัวเอาดาบหน้า รู้ๆ กันอยู่

ความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่อง ส.ว. โหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็น “อาวุธลับ” ของพรรคภูมิใจไทยในเกมการเมืองบทนี้

แต่พรรคประชาชนนอกจากมองไม่เห็นผลเสียแล้ว ยังมองกลับด้าน กลับมุม เห็นเป็นประโยชน์เสียอีก

ความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทย คือ ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โยกย้ายข้าราชการที่ทำกันตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย

ถลุงงบประมาณที่มีให้ใช้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจัดตั้งรัฐบาล

กวาดต้อน สส. บ้านใหญ่มาสังกัด

ด้วยสถานะที่ได้เป็นรัฐบาลจึงรู้ว่าความพร้อมมีมาก

บรรดาผู้สมัครที่ไม่มีอุดมการณ์ใดๆ ก็ย่อมอยากอยู่กับพรรคที่กระสุนมีไม่จำกัด ไว้ยิงสลุตช่วงเลือกตั้งเท่านั้น

ในขณะการบริหารงานชั่วคราวของรัฐบาลอนุทินห่วยแตกตั้งแต่ต้น ไม่ว่าภาษีทรัมป์ สแกมเมอร์ น้ำท่วมหาดใหญ่ จัดแข่งขันซีเกมส์ จนถึงล่าสุด

เมื่อภัยสงครามไทยเขมรกำลังระอุ พรรคภูมิใจไทยเลือกที่จะทิ้งไพ่ใบสุดท้ายชิง “ยุบสภา” โดยอ้างเอาดื้อๆ ว่า “คุม ส.ว. ไม่ได้“

เป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

พรรคภูมิใจไทยขึ้นเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ด้วยความดื้อ ด้อยประสบการณ์ หวังแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการพึ่งพรรคที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญเดิม

ส่วนพรรคประชาชนเองยอมไปเป็นฝ่ายค้าน นั่งดูพรรคภูมิใจไทยบริหารประเทศแบบขอไปที แล้วทำทุกอย่างที่ใครๆ ก็พูดว่า ”เห็นไหมล่ะ เตือนแล้ว“

พรรคภูมิใจไทยได้โอกาสที่พรรคประชาชนมอบให้ โดยเอาแค่ข้อตกลง MOA ซึ่งแม้จะตั้งเงื่อนไขมาสักร้อยข้อ

พรรคภูมิใจไทยก็เต็มใจทำเป็น เออ ออ ตกลงไปอย่างนั้น

พรรคประชาชนมีไม้ตายอยู่แค่ หากพรรคภูมิใจไทยไม่ทำตาม ก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงมากกว่ารัฐบาล

โดยให้เวลาพรรคภูมิใจไทยไว้ 4 เดือน

อันเป็นเรื่องประหลาดในระบอบประชาธิปไตย

ส่วนพรรคภูมิใจไทยมีไม้ตายที่ สว.

ทั้งสองพรรคจึงได้ใช้ ”อาวุธลับ“ ของตัวเองออกมาแล้ว

เพียงแต่พรรคภูมิใจไทยวางแผนใช้ตั้งแต่วันแรก

เสมือนว่า

“พรรคประชาชนซื้อล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่ยกให้พรรคภูมิใจไทยขึ้นรางวัลใช้เงิน แล้วหวังว่าพรรคภูมิใจไทยจะแบ่งเงินรางวัลให้”

เมื่อพรรคภูมิใจไทยได้ดำเนินการสมประโยชน์ ต่อมาสถานการณ์สงครามทำท่าจะยืดเยื้อหลังโดนเรื่องน้ำท่วม

ไม่แน่ใจกับสถานการณ์ตัวเอง จึงตัดสินใจยุบสภาดีกว่า

แผนนี้เหี้ยม แต่ได้ผล เพราะอยู่นานกว่านี้เกมอาจพลิกไปมากกว่าที่เป็นอยู่

การยุบสภาในขณะที่ตัวเองพร้อมสรรพ แต่ชาติไม่พร้อม เพราะอยู่ในภาวะสงครามกับกัมพูชา

ขนาดว่ายิงกันทั้งวัน เครื่องบินทิ้งระเบิด อพยพชาวบ้านเป็นหลายแสนคนใน 7 จังหวัด

ใจคอจะไม่คิดถึงบ้านเมืองในภาวะสงคราม เลือกชิงยุบสภาเพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายซักฟอก และโหวตล้มรัฐบาล

พูดง่ายๆ ว่าพรรคภูมิใจไทย “ได้ทุกอย่างแล้วเผ่นหนี”

ในขณะที่พรรคประชาชนก็ไม่สนใจอะไร มุ่งหัวชนฝาแต่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว

เมื่อไม่สมดังใจหมายก็ใช้ “อาวุธลับที่ไม่ลับ“ เพราะมีอยู่อย่างเดียว

และอีกฝ่ายรู้อยู่แล้ว จึงใช้ “อาวุธลับกว่า” อ้าง สว. ไม่เอาด้วย

คนเขารู้ทั้งบ้านทั้งเมืองว่า สว. ใครคุม ถึงกับตั้งฉายา ”สว. สีน้ำเงิน“

ผ่านได้ผ่านดีทุกเรื่องที่ไฟเขียว และไฟแดงเรื่องที่ไม่ต้องการ

ทั้งสองพรรคจึงเห็นว่า “พรรคสำคัญกว่าชาติ” เห็นประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ของชาติบ้านเมืองในขณะวิกฤตสงคราม

ไม่มีประเทศไหนที่เมื่อมีสงคราม แต่นักการเมืองยังมาห่วงเรื่องแก้กติกาของตัวเอง แล้วเผ่นหนี ยุบสภาไปเลือกตั้ง

นักการเมืองต้องรวมกัน ไม่มีฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้านเพื่อช่วยบ้านเมืองต่อสู้กับศัตรูไว้ก่อน

เรื่องอื่นว่ากันทีหลังดั่งที่ผมว่าไว้ “ชาติต้องมาก่อน” ในบทความก่อนหน้านี้

แต่ใช้ไม่ได้กับสองพรรคนี้ จะโทษพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้

พรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล มีอนุทินเป็นนายกฯ ด้วยฝีมือของพรรคประชาชน

พรรคภูมิใจไทยมากประสบการณ์ในเรื่องลีลาการเมืองเป็นอย่างยิ่ง

แต่บริหารงานด้วยภัยรอบด้าน เอาตัวรอดไปวันๆ

มุ่งเน้นแต่ประโยชน์พรรคตัวเองมากกว่า

ขนาดมีภัยพิบัติน้ำท่วม หรือภัยศึกสงครามยังรีบมารับผู้สมัครที่ดูดมา ใส่เสื้อชูมือ

ส่วนพรรคประชาชนก็เป็น ”ละอ่อนทางการเมือง” ไร้ประสบการณ์

ไม่รู้จักการเมืองดีพอ แต่ส้มหล่นลงมือได้คะแนนมากเกินไป เพราะหาเสียงเก่ง

เปรียบเสมือนเด็บจบใหม่ไปสมัครงานพูดจาหน่วยก้านดี แต่พอให้ไปทำงานจริงกลับทำไม่เป็นท่า ไม่ได้เรื่องอย่างที่หวัง

เพราะขาดประสบการณ์อันถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดในทุกงาน

ท้ายสุดในเรื่องนี้สอนให้ประชาชนรู้มากอย่างพวกเราได้เห็นว่า

ทั้งสองพรรคเป็นตัวเลือกให้ประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้

เพราะยึดเอา ”พรรคมากกว่าชาติ“

ประชาชนอย่างพวกเราจึงต้องโหวตสวน

ไม่สามารถไว้วางใจได้ทั้งสองพรรค

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...