โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้

ไทยโพสต์

อัพเดต 9 ธันวาคม 2568 เวลา 2.14 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสงขลา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งพื้นที่เมืองและชนบท ส่งผลให้หลายหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งวางมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ทั้งการฟื้นฟูถนน–สะพานที่ถูกตัดขาด การขุดลอกคูคลอง การเสริมกำลังสถานีสูบน้ำ รวมถึงการออกแบบโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอย พร้อมเร่งสำรวจสภาพพื้นที่ เสริมความพร้อมรองรับฝนใต้ตอนล่างที่จะยาวต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า

โดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นำทีมคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ภาคใต้ทันทีหลังน้ำลด เพื่อหาแนวทางป้องกันจากการเกิดอุทกภัย

โดยระบุว่าภาคใต้ตอนล่างกำลังเข้าสู่ช่วงฝนตกยาวนานกว่าทุกภูมิภาค จากอิทธิพลมวลอากาศเย็นปะทะลมชื้น พร้อมสั่งทุกหน่วยในสังกัดเร่งสำรวจความเสียหายถนน–สะพาน–คูคลอง พร้อมจัดงบซ่อมเร่งด่วน และเดินหน้าแผนใหญ่ป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่–สงขลา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ถนนวงแหวนรอบเมืองเป็นโครงสร้างหลักจัดระบบน้ำใหม่ทั้งเมือง เพื่อไม่ให้เกิดอุทกภัยซ้ำรอยอีก

ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรมเจ้าท่า (จท.) และหน่วยงานท้องถิ่น ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากฝนตกทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นถนนชำรุด สะพานขาด ทางเชื่อมหมู่บ้าน–อำเภอ–จังหวัด รวมถึงประสิทธิภาพการระบายน้ำในคลองและปากแม่น้ำ พร้อมให้เตรียมงบประมาณซ่อมแซมเบื้องต้นทันที แม้งบกลางจะยังไม่ลงมา โดยให้ใช้ “งบคงค้างและงบปีปัจจุบัน” เพื่อซ่อมแซมเร่งด่วนก่อน

พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมจัดทำงบประมาณซ่อมแซมเบื้องต้นกว่า 3,000 ล้านบาท และจะต้องเพิ่มรายละเอียดหลังน้ำลดในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะถนนชุมชน ถนนหมู่บ้าน และเส้นเชื่อมเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งประชาชนใช้สัญจรในชีวิตประจำวัน จะต้องได้รับการฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด ส่วนด้านการบริหารจัดการน้ำ นายพิพัฒน์ได้กำชับกรมเจ้าท่าให้เร่งสำรวจปากแม่น้ำและคูคลองทุกสาย ว่าจุดใดมีสันดอนสะสม จุดใดระบายน้ำได้ล่าช้า และจุดใดต้องขุดลอกหรือดึงเลนออกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเร่งระบายน้ำลงทะเล ป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง

สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่เมื่อไม่นานนี้ เป็น “สัญญาณเตือนสำคัญ” ว่า ระบบระบายน้ำเดิมของเมืองไม่สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปได้อีกต่อไป น้ำไหลเข้าสู่เมืองพร้อมกันถึง 3 ทิศทาง ได้แก่ จากทิศตะวันออกบริเวณเขาคอหงส์–เขาน้ำกระจาย จากทิศตะวันตก ผ่านคลอง ร.1, ร.3 ร.5 และคลองหวะ และจากทิศใต้ ผ่านคลองทุ่งหมอ–คลองทุ่งวัด

ขณะที่ทางออกของน้ำมีเพียงเส้นทางเดียว คือการระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาทางทิศเหนือผ่านคลองอู่ตะเภา ส่งผลให้ระดับน้ำในคลองหลักสูงกว่าตลิ่ง 2–3 เมตร สถานีสูบน้ำหลายแห่งไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จนนำไปสู่น้ำท่วมรุนแรงในเขตเมือง แต่หลังได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์พร้อมด้วย ศ.ดร.บวรศักดิ์ ได้ลงพื้นที่สงขลา–หาดใหญ่เพื่อ “ถอดบทเรียนเชิงลึก” โดยจะสำรวจทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมหน่วยงานท้องถิ่นและนักวิชาการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

โดยมองว่าการฟื้นฟูหลังน้ำลดอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องวางแผนระบบน้ำ–ถนน–โครงสร้างเมืองในระยะ 20–30 ปีข้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก โดยแนวทางระยะสั้น กระทรวงคมนาคมจะเร่งขยายความกว้าง–ความลึกของคลองหลักรอบเมือง เช่น คลอง ร.1, ร.3, ร.5, คลองเตย และคลองหวะ พร้อมติดตั้งและปรับปรุงประตูน้ำ–สถานีสูบน้ำตามจุดยุทธศาสตร์ และเปิดเส้นทางระบายน้ำใหม่ผ่านคลอง ร.5 เพื่อกระจายทางออกของน้ำไม่ให้กระจุกอยู่ที่คลองอู่ตะเภาเพียงเส้นเดียว

สำหรับแนวทางระยะยาว จะใช้โครงการถนนวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมเป็น “โครงสร้างหลักในการจัดการน้ำ” ควบคู่กับการจราจร โดยออกแบบให้ถนนไม่กลายเป็นกำแพงกั้นน้ำ แต่ทำหน้าที่เป็น “แนวระบายขนาน” ผ่านคลองระบายน้ำตลอดแนววงแหวน กว้างประมาณ 50 เมตร ลึก 4–5 เมตร พร้อมระบบประตูน้ำและสถานีสูบน้ำเป็นช่วงๆ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลา “ถนนวงแหวนเส้นใหม่จะไม่ใช่แค่แก้รถติด แต่จะเป็นโครงสร้างแก้น้ำท่วมทั้งเมือง เมื่อน้ำไหลเข้ามาจากสามทิศ เราต้องทำทางออกมากกว่าหนึ่งทิศ และต้องออกแบบไว้ตั้งแต่วันนี้”

พร้อมทั้งเสนอให้โครงการถนนวงแหวน–ระบบน้ำหาดใหญ่ เป็น “โครงการบูรณาการระดับชาติ” ต้องทำงานร่วมกันอย่างน้อย 3–4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อจัดทำ “แผนแม่บทระบบน้ำเมืองหาดใหญ่” อย่างครบวงจร พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องถูกใช้เป็นต้นแบบให้เมืองอื่นของประเทศในการวางระบบถนน–คลอง–ประตูน้ำอย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยกระทรวงคมนาคมพร้อมทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

จะเห็นได้ว่าจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดสงขลาและอำเภอหาดใหญ่ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายในวงกว้างทั้งเขตเมืองและชนบท เบื้องต้นพบว่าระบบระบายน้ำเดิมไม่สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปได้อีกต่อไป โดยน้ำหลากจาก 3 ทิศทางแต่มีทางออกเพียงทิศเดียว ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงซ้ำซาก ต้องติดตามกันว่าแผนของกระทรวงคมนาคมครั้งนี้จะตอบโจทย์ตรงจุดหรือไม่??? ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งฟื้นฟูพื้นที่เสียหายและแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว โดยให้สอดคล้องกันระหว่างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเข้ากับการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ พร้อมบูรณาการหลายหน่วยงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ.

กัลยา ยืนยง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...