ครม.เศรษฐกิจเคาะ 6 มาตรการ กระตุ้นเงินออมชุดใหญ่ หนุนเปิด บ/ช ‘TISA’ รวมหักภาษีสูงสุด 8 แสนบาท
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมาย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 7/2568 หรือ “ครม.เศรษฐกิจ” โดยมีคณะรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้อง 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
ครม.เศรษฐกิจเคาะ 6 มาตรการ กระตุ้นเงินออมชุดใหญ่ หนุน ปชช.เปิด บ/ช ‘TISA’ หักภาษีสูงสุด 8 แสนบาท โยกเงิน ‘คนรวย’ ช่วย ‘คนรายได้น้อย’ เงินได้ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท/ปี หักภาษี 1.3 เท่า – เงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท/ปี หักภาษีได้แค่ 0.7 เท่า พ่วงยกเว้นภาษี ณ ที่จ่ายดอกเบี้ย-เงินปันผล 200,000 บาทแรก
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แจ้งต่อที่ประชุมฯว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการว่า รัฐบาลได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา ประกาศ ข้อกำหนด และคำสั่งที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุภัยพิบัติได้คลี่คลายลง และเข้าสู่ช่วงการฟื้นฟูเมือง โดยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ลงไปพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อติดตามเร่งรัดการฟื้นฟูเมือง รวมทั้งได้ไปที่จังหวัดสตูล เพื่อให้กำลังใจและรับฟังปัญหาจากประชาชน และคนทำงานในพื้นที่ ซึ่งที่นั่นก็มีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมเช่นกัน และนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายกระทรวงมหาดไทย เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การจ่ายเงินผู้เสียชีวิตรายละ 2 ล้านบาท ขยายให้ครอบคลุมผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมทั้งหมด 9 จังหวัดภาคใต้ ด้วยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างนำเสนอ ครม. ตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ตัว ได้แก่ 1) ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาค 2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ 3) ดัชนีความเชื่อมั่น SMEs มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้นจาก 65.9 ในเดือนกันยายน 2568 เป็น 71.1 ในเดือนตุลาคม 2568 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีการฟื้นตัวจาก 50.7 ในเดือนกันยายน 2568 มาอยู่ที่ 53.2 ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่น SMEs ปรับเพิ่มจาก 48.0 ในเดือนกันยายน 2568 เป็น 53.2 ในเดือนพฤศจิกายน 2568
ดร.เอกนิติ กล่าวในการประชุม ครม.เศรษฐกิจวันนี้ว่า ที่ประชุมฯได้มีมติเห็นชอบในหลักการและรับทราบการดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” การเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน โดยกระทรวงการคลัง (กค.) โดยจะมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ มาตรการเพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชนดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนมีช่องทางในการออมที่หลากหลายและสะดวกมากขึ้น ทำให้ประชาชนมีแรงจูงใจในการออม กระตุ้นให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง และมีรายได้น้อยให้มีการออมเพิ่มขึ้นและ มีภาวะทางการเงินที่ดี (Financial Well-being) มีรายได้ที่เพียงพอในการดำรงชีพยามเกษียณอายุ และภาครัฐสามารถบรรเทาภาระงบประมาณด้านสวัสดิการกรณีชราภาพในการดูแลผู้ที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
ทั้งนี้ มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อเพิ่มโอกาสการออม และความมั่นคงทางการเงินของประชาชน โดยกระทรวงการคลัง (กค.) กค. ได้พิจารณาจัดทำมาตรการเพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชนประกอบด้วย 6 มาตรการย่อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มาตรการที่ 1 โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account) หรือ “โครงการ TISA” จะเป็นโครงการเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายทั้งสินทรัพย์ในประเทศ และต่างประเทศผ่านตลาดทุนไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเพียงพอของเงินออมระยะยาวให้กับประชาชนรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีช่องว่าว่างการออมสูงที่สุด นอกจากนี้ การขยายฐานเงินออมระยะยาวนี้จะช่วยสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดทุนอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดผลเชิงบวกทางเศรษฐกิจจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น (Wealth Effect) ซึ่งจะสะท้อนไปสู่การบริโภค การลงทุน และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น
รายละเอียดของโครงการ : คนไทยทุกคนสามารถเปิดบัญชี TISA กับผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เป็นต้นต้น ภายใต้ระบบโครงสร้างพื้นฐานของดิจิทัล แอคเซส แพลตฟอร์ม (Digital Access Platform Company Limited: DAP) โดยกรมสรรพากรได้มีการยกร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. …) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
- สำหรับการดำเนินการในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวสู่มาตรภาษี เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
- สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA และการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับมาตรการการยกกำลังการออมด้วยบัญชี TISA เพื่อคนไทยทุกคนตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 เป็นต้นต้นไป
สำหรับการดำเนินการในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวไปเป็นมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA มีดังนี้
1) การปรับปรุงการหักลดหย่อนการออมระยะยาว โดยให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม และเงินค่าชื่อหน่วยลงทุน ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีภาษีละ 800,000 บาท ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมตา โดยให้เงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม และค่าซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าว ได้แก่
1.1) ค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ
1.2) เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVF) ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท
1.3) เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
1.4) เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
1.5) เงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ
1.6) เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
1.7) เฉพาะเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน(Thai ESG) ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้นำมาหักลกลดหย่อนได้ 1.2 เท่า แต่ไม่เกิน 800,000บาท การหักลดหย่อนนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
2) การหักลดหย่อนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ดังนี้
2.1) การคำนวณค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1,500,000 บาท ให้นำเงินได้ที่จ่ายไปเป็นค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบบำนาญ เงินสะสม และเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ (2.2) 1) 1.1) ถึง 1.7) ให้นำเงินได้ทั้งหมดไปคำนวณหักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า (สูงสุดไม่เกิน 1,040,000 บาท)
- กรณีผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 1,500,000 บาท ให้นำเงินได้ที่จ่ายไปเป็นค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม และเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ (2.2) 1) 1.1) ถึง 1.7) ให้นำเงินได้ทั้งหมดไปคำนวณหักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า (สูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท)
2.2) หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน
3) การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงิน หรือ ผลประโยชน์ใด ๆ รวมถึงกำไรส่วนทน (Capital Gains) ที่ได้รับจากค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันชีวิต แบบบำนาญ เงินสะสม และเงินค่าซื้อหน่วยลงทุน ให้เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน
4) กำหนดเวลาใช้บังคับ
- การหักลดหย่อนตามข้อ (2.2) 1) 1.1) ถึง 1.5) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
- การหักลดหย่อนตามข้อ (2.2) 1) 1.6) ถึง 1.7) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
(2.3) มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA
1) ให้ผู้มีเงินได้นำเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ ตามข้อ (2.2) 1) 1.1) ถึง 1.5) ต้องไม่เกินปีภาษีละ 800,000 บาท โดยให้เงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมภาษีเงินได้บคคลธธรรมดา ทั้งนี้ เงินค่าซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ดังกล่าว ได้แก่
- เงินค่าซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
- เงินค่าซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่รัฐต้องการสนับสนุนตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เฉพาะค่าซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571 โดยให้เงินค่าซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวนำมาหักลดหย่อนได้ 1.2เท่า แต่ไม่เกิน800,000 บาท การคำนวณค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธธรรมดานี้ให้เป็นไปตามข้อ (2.2) 2) 2.1)
ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ต้องถือหลักทรัพย์ดังกล่าวในบัญชี TISA มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรก และไถ่ถอนหลักทรัพย์นั้น เมื่อผู้มีเงินได้มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
2) การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการขาย หรือ ไถ่ถอนหลักทรัพย์ในบัญชี TISA โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ยกเว้นสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากการขาย หรือ ไถ่ถอนหลักทรัพย์ เมื่อผู้มีเงินได้ถือหลักทรัพย์มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรก และมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์
- ยกเว้นสำหรับเงิน หรือ ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการขาย หรือ ไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่ได้นำไปซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเติมในบัญชี TISA ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยมีให้นับรวมเงินได้ที่นำไปซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว เป็นเงินได้ที่จะนำมาหักลดหย่อนตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA แต่จะขายหรือไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่ซื้อเพิ่มเติมได้ เมื่อผู้มีเงินได้ถือหลักทรัพย์ในบัญชี TISA มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรกและมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์
- ยกเว้นสำหรับดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้รับจากหลักทรัพย์ในบัญชี TISA เฉพาะที่ได้คงเงินดังกล่าวไว้ในบัญชี TISA จนกว่าผู้มีเงินได้ถือหลักทรัพย์ในบัญชี TISA มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรกและมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ หรือ ได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเติมในบัญชี TISA ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยมิให้นับรวมเงินได้ที่นำไปซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว เป็นเงินได้ที่จะนำมาหักลดหย่อนตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA แต่จะขายหรือไถ่ถอนหลักทรัพย์ที่ชื่อเพิ่มเติมได้เมื่อผู้มีเงินได้ถือหลักทรัพย์ในบัญชี TISA มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ครั้งแรก และมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ การยกเว้นภาษีเงินได้ข้างต้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
3) การลงทุนในส่วนที่เกิน 800,000บาท ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ แต่ภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงิน และผลประโยชน์ใด ๆ รวมถึงกำไรจากการการขายหลักทรัพย์จะมีภาระภาษี หรือ ไม่มีภาระภาษีให้เป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน (สามารถลงทุนเกิน 800,000 บาทได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่นำมาหักลดหย่อนได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 800,000 บาท)
4) กำหนดเวลาใช้บังคับ: ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 เป็นต้นไป
2.4 การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับมาตรการการยกกำลังการออมด้วยบัญชี TISA เพื่อคนไทยทุกคนตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
- ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมตาสำหรับดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้รับจากการลงทุนสะสมตามมาตรการยกกำลังการออมด้วยบัญชี TISA เพื่อคนไทยทุกคน เฉพาะส่วนที่คำนวณจากการลงทุน จำนวนไม่เกิน 200,000 บาท สำหรับปีภาษี (ปีภาษีละ 200,000 บาท ทบกันไปทุกปี เช่น ปีภาษีที่ 2 รวมเป็น 400,000 บาท เป็นต้น) ทั้งนี้ เฉพาะการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571 และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
- กำหนดเวลาใช้บังคับ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 เป็นต้นไป
2.5 ในกรณีจำเป็น ผู้ลงทุนสามารถนำหลักทรัพย์ที่ลงทุนภายใต้บัญชี TISA ไปใช้เป็นหลักประกัน (Pledge) ได้ เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนด เช่น เพื่อรักษาพยาบาลตนเอง หรือ ผู้เยาว์ภายใต้การปกครอง หรือ เพื่อการศึกษาของผู้เยาว์ เป็นต้น ทั้งนี้ ขอบเขต วงเงิน และสัดส่วนการนำหลักทรัพย์ไปใช้เป็นหลักประกันจะอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ กค. และสำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด อย่างไรก็ดี ในการกำหนดให้สามารถนำหลักทรัพย์ หรือ เงินออมบางประเภทที่นับรวมในวงเงินบัญชี TISA ไปใช้เป็นหลักประกันได้ จำเป็นต้องพิจารณากฎหมายเฉพาะของแต่ละประเภทเงินออมประกอบด้วย โดยเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งไม่สามารถนำเงินไปใช้เป็นหลักประกันได้ ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่บัญญัติให้“สิทธิเรียกร้องเงินจากองทุนไม่อาจโอนกันได้ และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี”จึงไม่สามารถใช้สิทธิการนำหลักทรัพย์ไปใช้เป็นหลักประกันได้ในทุกกรณี
มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการออมเงินระยะยาวผ่าน TISA นี้จะก่อให้เกิดผลบวกทางการคลังจากการปรับโครงสร้างสิทธิให้กลุ่มผู้มีรายได้สูงได้รับประโยชน์ลดลง และนำส่วนดังกล่าวไปเพิ่มแรงจูงใจให้กับกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลาง ส่งผลให้เกิดวินัยการคลังที่ดีขึ้น พร้อมทั้งขยายการกระจายสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ทั่วถึงและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ คาดว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5,700 ล้านบาท
มาตรการที่ 2 ยกเว้นอากรแสตมป์ สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance)
มาตรการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) เป็นกรมธรรม์ที่ออกแบบมาพิเศษ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย เพื่อให้สามารถเข้าถึงการประกันภัยขั้นพื้นฐานได้ด้วยเบี้ยประกันภัยที่ไม่สูงมาก แต่ด้วยการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยทั้งกรมธรรม์ประกันชีวิต และกรมธรรรมธรรม์ประกันวินาศภัยจะมีภาระค่าอากรแสตมป์ด้วย ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงการคลังจึงเสนอให้พิจารณายกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย โดยตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย ดังนี้
- ประกันวินาศภัยรายย่อย ที่มีเบี้ยประกันภัยไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี
- ประกันชีวิตรายย่อย ที่มีเบี้ยประกันภัยไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี และ
- การประกันชีวิตรายย่อย แบบสะสมทรัพย์ที่มีเบี้ยประกันภัยไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 6,000 บาทต่อปี
“ประโยชน์ของมาตรการนี้จะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อย และ SMEs สามารถเข้าถึงประกันชีวิตและประกันวินาศภัย สำหรับประกันภัยรายย่อยได้มากขึ้น และจะทำให้ธุรกิจประกันภัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยให้มีความหลากหลาย และสอดคล้องกับกลุ่มดังกล่าวมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้ 11.30 ล้านบาท”
มาตรการที่ 3 โครงการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม
โครงการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออมโดยจำหน่ายให้กับประชาชนผ่านช่องทาง Bond Connect Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนพันธบัตร เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลได้ง่ายและทั่วถึงยิ่งขึ้น สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้งในตลาดแรกและการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง ตลอดจนเพื่อยกระดับพันธบัตรรัฐบาลจากสินทรัพย์เพื่อการออมไปสู่สินทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยกระทรวงการคลังจะทยอยออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออมผ่านช่องทาง Bond Connect Platform ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการจองชื่อพันธบัตรรัฐบาล โดยมีการจองซื้อขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 1,000 บาท และยังได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้บริษัทหลักทรัพย์เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลร่วมกับธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนสามารถนำพันธบัตรรัฐบาลไปใช้ เพื่อวางหลักประกันสนับสนุนการออมการลงทุนร่วมกับตลาดทุน
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออมเป็นตราสารรูปแบบดิจิทัล ซึ่งไม่มีการออกใบพันธบัตร หรือ สมุดพันธบัตรเช่นเดียวกับพันธบัตรออมทรัพย์ที่จำหน่ายผ่านวอลเล็ต สะสมบอนด์มั่งคั่งคั่ง (สบม.) โดยกระทรวงการคลังร่วมกับ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (Settrade) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ได้พัฒนา Bond Connect Platform ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาอัตราค่าธรรมเนียม และเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับแผนการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลให้กับประชาชนรายย่อยผ่านช่องทาง Bond Connect Platform คาดว่าจะเริ่มดำเนินการจัดจำหน่ายครั้งแรกในเดือนมกราคม 2569
มาตรการที่ 4 ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต แบบบำนาญรูปแบบจ่ายเงินก้อนเมื่อเริ่มรับบำนาญ (Lump-Sum Annuity)
การออกผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญรูปแบบจ่ายเงินก้อนเมื่อเริ่มรับบำนาญ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการออมระยะยาว และรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยกรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๔๖๒) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 12666 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเพื่อการหักลดหย่อนเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ จากเดิมกำหนดให้การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญ ต้องจ่ายเท่ากันทุกงวด หรือ จ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ตามระยะเวลาเอาประกันภัย ปรับปรุงเป็นเงินบำนาญงวดแรกที่ได้รับอาจจ่ายเป็นเงินก้อน (Lump-Sum Annity) ได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการออมระยะยาว และรองรับสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนทำประกันชีวิตแบบบำนาญมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีหลักประกันรายได้ยามเกษียณ และออมเงินเพื่อการเกษียณ และเสริมความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยชรา เพื่อเพิ่มทางเลือกและเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ
มาตรการที่ 5 การปฏิรูปหลักเกณฑ์การลงทุนของธุรกิจประกันภัยเพื่อยกระดับความมั่นคงและผลตอบแทนของเงินออมของประชาชน
การปฏิรูปหลักเกณฑ์การลงทุนของธุรกิจประกันกันภัยเพื่อยกระดับความมั่นคง และผลตอบแทนของเงินออมของประชาชน ให้บริษัทยังคงดำเนินการลงทุนอยู่ภายใต้การบริหารความเสี่ยง และจำกัดเพดานการลงทนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลการลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และภาวะของตลาดเงินตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจประกันภัยสามารถเข้าถึงช่องทางการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน และยกระดับความมั่นคงให้กับเงินออมของประชาชนที่อยู่ในรูปของกรมธรรม์ประกันภัย โดยการให้บริษัทประกันภัยที่มีศักยภาพในการลงทุนมีความยืดหยุ่น ในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนมากขึ้น รวมถึงการขยายเพดานการลงทุนในตราสารทุนในประเทศ ทำให้บริษัทประกันภัยสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและกระจายความเสี่ยง และรักษาความสามารถในการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้เอาประกันภัยในระยะยาวได้ โดยสำนักงาน คปภ. ได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต พ.ศ. 2568 และประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธรกิจประกันภัย เรื่อง ลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้
- การเพิ่มประเภทสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถลงทุนได้
- การปรับเพิ่มเพดานการลงทุนของบริษัทประกันภัย และ
- การขยายขอบเขตการลงทุนในการถือตราสารทุน เพื่อประกอบธุรกิจอื่นที่มีอำนาจในการควบคุมให้กว้างขึ้น โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group Wide Supervision) ของสำนักงาน คปภ.
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดทุนไทย และบริษัทประกันภัยสามารถขยายชอบเขตการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
มาตรการที่ 6 การปรับปรุงหลักเกณฑ์ค่าความเสี่ยงตราสารทุนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ประชาชน
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ค่าความเสี่ยงของการลงทุน (Risk Charge)ในตราสารทุนให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดทุนและเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้แก่ประชาชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการลงทนในตราสารทุนไทยมากขึ้น นำไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนในประเทศ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันกันภัย เรื่อง กำหนดประเกทและชนิดของเงินกองทุน รวมถึงหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทนของบริษัทประกันชีวิต (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 และประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง กำหนดประเกทและชนิดของเงินกองทุน รวมถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 โดยมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุน สำหรับความเสี่ยงด้านตลาด จากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใ ห้สะท้อนความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและแนวทางการกำกับดูแลแบบสากล จากเดิมที่ร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 15 ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะทำให้บริษัทประกันภัยเกิดแรงจูงใจในการลงทุนในตราสารทุนมากขึ้น โดยยังอยู่ภายใต้เพดานการลงทุนที่กำหนด เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน อีกทั้งเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและสร้างความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนไทย ซึ่งเป็นแหล่งรองรับเงินออมระยะยาวของประชาชน