โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อาจารย์ดังเผย ใครเสียหาย กรณีศ.ดร.พญ.เกศกมล

MATICHON ONLINE

อัพเดต 23 ก.ค. 2567 เวลา 02.35 น. • เผยแพร่ 23 ก.ค. 2567 เวลา 02.35 น.

อาจารย์ดังเผย ใครเสียหาย กรณีศ.ดร.พญ.เกศกมล

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ศ.ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “อาจารย์ปังปอนด์” กรณีพญ.เกศกมล เปลี่ยสมัย ส.ว. ความว่า

กรณี “ศาสตราจารย์ ดร. พญ. เกศกมล” ใครเสียหาย?

เมื่อคืนนั่งคุยกับสามีที่เป็น “ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์” ถึงกรณีคุณหมอเกศกมลที่เลื่องลือ และบอกกับสามีว่าไม่อยากให้ความเห็นกับเรื่องนี้ในที่สาธารณะเพราะจะดูเหมือนไปเกาะกระแส คุณสามีบอกว่า มีผู้ออกมาปกป้องคุณหมอและถามคำถามท้าทายว่า “คุณหมอทำแบบนี้..ใครเสียหาย? ไม่มีใครเสียหาย!” คำถามนี้กระตุกต่อมนักวิชาการในตัวมาก วันนี้จึงขอมาตอบคำถาม และอธิบายสักนิดว่าใครเสียหาย?

วงการวิชาการในประเทศไทยแม้จะยังมีปัญหาอยู่หลายเรื่อง แม้แต่เรื่องการขอกำหนดตำแหน่งวิชาการที่มีข้อผิดพลาดและช่องโหว่ที่ต้องตามแก้ไขกันบ้าง แต่วงการนี้โดยส่วนมากก็จะประกอบไปด้วยคนที่มีความรู้ขั้นสูง ที่มีหน้าที่หลักในการสอน ทำงานวิจัย และบริการวิชาการให้กับสังคม ทำให้ประเทศชาติพัฒนาตามองค์ความรู้ที่แต่ละคนมี

ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงคนเป็นอาจารย์ที่มีตำแหน่งใหญ่โตจะหมายถึงผู้วิเศษ หรือผู้มีอำนาจบารมีเกินใคร เพราะตำแหน่งทางวิชาการไม่ใช่ตำแหน่งบริหาร (หัวหน้าภาควิชา รองคณบดี คณบดี หรืออธิการบดี) แต่หมายถึงตำแหน่งที่ได้รับมาที่แสดงถึงคุณวุฒิทางด้านความรู้ที่พิสูจน์ว่ามีเพิ่มสูงขึ้น เชื่อถือได้มากขึ้น เพราะแต่ละตำแหน่งต้องผ่านการยื่นเสนอขอโดยใช้ผลงานทางด้านการสอน ผลงานวิจัย และผลงานการบริการรับใช้สังคม (แต่ในระยะหลังมักจะให้น้ำหนักไปที่ผลงานวิจัยตีพิมพ์ที่อยู่ในฐานข้อมูลระดับนานาชาติที่ต้องผ่านการกลั่นกรองงานว่ามีมาตรฐานและความถูกต้องจริงๆ)

การเป็นศาสตราจารย์เป็นเรื่องยากเย็นของคนในวงการวิชาการมาก เทียบแล้วก็คงจะน้องๆ การเป็นจอหงวนในประเทศจีนสมัยก่อนที่ปีหนึ่งๆ มีคนได้เป็นจอหงวนเพียงคนเดียว (ในบางตำราบอกว่าเปิดสอบสามปีครั้งอีกด้วย)

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยในสมัยนี้โดยมากจะได้วุฒิการศึกษาในระดับปริญญาเอก ซึ่งก็ยากเย็นแสนเข็ญในระดับหนึ่งแล้ว เพราะจะต้องเรียนจบปริญญาโทอย่างน้อย 2 ปี และเรียนจบปริญญาเอกอีกอย่างน้อย 4-5 ปี (บางคนเรียน 8-9 ปี) จบปริญญาเอกแล้วก็จะมีชื่อนำหน้าเท่ๆ ว่า “ดอกเตอร์” เพราะเรียนมายากเย็นแสนเข็ญ แต่พอมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในระบบไทย จะมีตำแหน่งแรกเริ่มเพียงแค่ “อาจารย์ ดร.” เท่านั้น (ใครอยู่ในช่วงวัยนี้จะรู้ดีว่าเราช่างเด็กเล็กเหลือเกินในวงการนี้ หนทางช่างยาวไกล!) แม้ตอนจบดอกเตอร์ใหม่ๆ จะยืดเต็มที่ให้ป้าข้างบ้านหรือคนอื่นดูก็ตาม

หลังจากเป็น “อาจารย์ ดอกเตอร์” แทบทุกคนก็อยากพยายามขอตำแหน่ง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์” ที่เป็นตำแหน่งทางวิชาการขั้นแรกเท่านั้น ต้องผลิตผลงานวิจัย หนังสือ ตำรา และยื่นขอแสนลำบาก ชีวิตการทำงานสอนประจำและชีวิตครอบครัวที่ต้องดูแลและบาลานซ์ให้ได้ก็จะอยู่ในวัยนี้ บางคนกว่าจะได้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ก็อายุมากแล้ว พอแล้ว เหนื่อยแล้ว ไม่ขอเอื้อมไปถึงตำแหน่ง “รองศาสตราจารย์” ที่เป็นขั้นต่อไป โดยเฉพาะดอกเตอร์ผู้หญิงที่มีภาระแต่งงาน เลี้ยงดูลูก ดูแลบ้าน และดูแลพ่อแม่ไปด้วย ยังไม่นับรวมคนที่ขอตำแหน่งแล้วหลายครั้งก็ยังไม่ได้เพราะผลงานยังไม่ผ่านหรือไม่เข้าเป้า

คุณหมอเกศกมลผ่านขั้นตอนการเป็นดอกเตอร์และผู้ช่วยศาสตารจารย์ง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายความฝันของใครหลายคนที่ชีวิตนี้อยากเป็นดอกเตอร์ หรือผู้ช่วยศาสตราจารย์กับเค้าบ้าง คงเหมือนกับนางงามตกรอบที่มองดูคนขี้เหร่(มาก)มงลงชนะการประกวด!…..ช้ำใจ และสงสัยในระบบการตัดสิน ….เสียหายมากๆ !!!

ตำแหน่งต่อไปก็คือ“รองศาสตราจารย์” ที่การได้มาก็โหดหินมาก โดยเฉพาะอาจารย์ที่จบปริญญาเอกในไทย เนื่องจากต้องมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในระดับนานาชาติต้องเข้มข้นขึ้น คุณภาพดีขึ้น และจำนวนมากขึ้น จนไปถึงตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” หรือจอหงวน ที่เป็นจุดสูงสุดของอาชีพในวงวิชาการ ที่หมายถึง บุคคลนั้นมีความรู้ในสาขาวิชานั้นๆ และได้พิสูจน์ให้ชาวโลกได้เห็นว่าเรามีคุณวุฒิเทียบเท่ากับเขาที่จะเป็นผู้รู้ที่ต้องผ่านการทำงานวิจัยและสะสมองค์ความรู้ที่ดีพอ ไม่รวมกับระบบระเบียบ และโครงสร้างการทำงานในมหาวิทยาลัยไทยที่ยังไม่เอื้อต่อการผลิตผลงานวิชาการเพราะงานสอนและการบริการวิชาการมีมากมาย อาจารย์หลายคนยังต้องทำงานหลายงานเพื่อหารายได้เสริมเพราะภาระครอบครัวที่มากขึ้น ทั้งนี้ เพราะเงินเดือนอาชีพอาจารย์ในมหาวิทยาลัย(ในไทย)ไม่ได้มากเลย

ในประเทศไทยการมีตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” จึงเป็นเกียรติยศขั้นสูงต่อตนเองและครอบครัวเพราะได้มาอย่างยากเย็น ต้องผ่านตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ และผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียดยิบย่อย ผ่านการสอน การวิจัย (และการใช้ภาษาอังกฤษในกระบวนการขั้นตอนต่างๆที่อธิบายไปอย่างโชกโชน) และการบริการวิชาการเพื่อสังคม ก่อนที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” จากพระมหากษัตริย์ (ทำให้เป็นตำแหน่งเดียวที่สามารถใช้ตำแหน่งคำนำหน้าชื่อตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” ได้ในหนังสือราชการเช่นเดียวกับยศตำแหน่งของทหารและตำรวจ)

แน่นอนว่าใครมาเคลมตำแหน่งนี้ง่ายๆ แม้จะเคลมว่าได้มาจากต่างประเทศ ก็คงจะต้องเป็นการไม่เป็นธรรมต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับระบบการขอตำแหน่งทางวิชาการของไทยโดยเฉพาะตำเหน่ง “ศาสตราจารย์ ดร.” ของคุณหมอเกศกมล ที่นำมาใช้เป็นคุณสมบัติในการลงสมัครรับการคัดเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา…ในประเทศไทย!

เสียหาย น่าโมโห และไม่เป็นธรรมกับทุกคนในกระบวนการขอตำแหน่งวิชาการ และแน่นอนว่า ผู้เสียหายมีมากมาย!!!

นอกจากนี้ หากหมอเกศกมลนำคุณวุฒิต่างๆ นี้มาสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในไทย ผู้เขียนมั่นใจว่า มหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานดีๆ คงจะไม่แม้จะรับเข้าเป็น “อาจารย์ ดร.” ในตำแหน่งแรกของการเป็นอาจารย์ แต่ตำแหน่งของคุณหมอกลับผ่านกระบวนการของการคัดเลือกผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกวุฒิสภา ที่เป็นตำแหน่งสำคัญในการบริหารประเทศในระดับสูง

ในชีวิตการทำงานของผู้เขียนเอง แม้แต่การขอตำแหน่งวิชาการยังมีการให้ลงนามว่าข้อมูลต่างๆ ที่เราให้ในใบสมัครต่างๆ เป็นความจริงทุกประการ ทำให้มีความมั่นใจว่าการสมัครสมาชิกวุฒิสภาจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และสามารถเอาผิดกับผู้ที่ให้ข้อมูลเท็จได้…. ข้อมูลที่ผู้สมัครไม่ได้มีความรู้จริง ไม่ได้จบปริญญาเอกจริง และไม่ได้มีการร่ำเรียนจากสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพตามที่ได้มีการรับรองโดยกระทรวง อว. จริงๆ

หากคุณหมอและคนรอบข้างที่ปกป้องและสนับสนุนยังคงยืนยันว่าไม่มีความผิดใดๆ ก็จะเกิดผู้เสียหายอีกกลุ่มใหญ่ นั่นก็คือ เด็กเล็ก นักเรียน นิสิต/นักศึกษา ในประเทศที่คงจะขาดความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาไทย และความมีศีลธรรมและจรรยาบรรณของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เพราะใครๆ ก็เป็นศาสตราจารย์ ดร. ได้ โดยหากสนับสนุนคุณหมอก็ไม่ต่างอะไรไปจากการสนับสนุนค่านิยม “ระบบจ่ายครบจบแน่” ในระบบการศึกษาขั้นสูงของไทย

ในส่วนของสังคม ผู้เสียหายอีกกลุ่มก็คือผู้ลงสมัครแข่งขันเป็นสมาชิกวุฒิสภากับคุณหมอ เพราะไปแพ้คุณหมอที่มีคุณวุฒิที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้น แม้แต่ท่านสมาชิกวุฒิสภาที่เข้าไปอยู่ในสภาอันทรงเกียรติด้วยกันก็คงจะรู้สึกเสียหายเช่นกัน อย่าลืมว่าท่านยังแพ้คุณหมอเกศกมลเพราะคนที่มีคำนำหน้าชื่อ “ศาสตราจารย์ ดร. พญ.” ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งนี้จากคนไทยด้วยกันเอง

ประชาชนทั่วไปที่เสพสื่อหรือเสพข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายสัปดาห์ ก็คงจะรู้อยู่เต็มอกว่าฝ่ายคุณหมอยกคำตอบ คำแถลงการณ์ และข้อกฎหมายมาแย้งและโต้ตอบแบบข้างๆคูๆ ว่าไม่มีผู้เสียหาย และกำลังจับตาดูว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร คุณหมอจะได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาจริงๆ หรือไม่ สังคมจะหมดศรัทธากับระบบและกระบวนการประชาธิปไตยของไทยไปถึงระดับไหน…. เสียหายแน่นอน!

และสุดท้าย หากคุณหมอได้รับใช้ประเทศโดยเป็นสมาชิกวุฒิสภาจริงๆ ตลอด 5 ปีของการทำงานของคุณหมอก็จะเป็นที่จับตาของสังคม ผู้ที่เกี่ยวข้องและออกมาปกป้องคุณหมอก็จะถูกตรวจสอบโดยละเอียดถึงอดีตและคุณวุฒิที่กล่าวอ้าง ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาสูงๆ ที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตในบ้านเมืองเราที่ได้รับวุฒิการศึกษาแบบเป็นที่น่าสงสัยเช่นเดียวกันก็จะถูกตรวจสอบที่มาที่ไป และอาจเป็นประเด็นใหญ่โตบานปลายของหลายๆ ท่าน….

สุดท้ายคุณหมอเกศกมลนั่นแหละที่จะเป็นผู้เสียหาย!

ณ ตอนนี้ การออกมายอมรับ การแสดงความบริสุทธิ์ใจ และการแสดงข้อมูลที่ถูกต้องเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะผู้เสียหายมีอยู่มากมาย ทั้งในระบบวิชาการที่เกียรติและศักดิ์ศรีได้มาเพราะความเก่งและความเพียร และในสังคมที่จับตามอง เพราะคนที่จะได้ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์ ดร.” ต้องได้เพราะคู่ควร มิใช่ได้ด้วยความอยากมีอยากเป็น และหากมีตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” และก็ควรที่จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจที่ดีให้กับอาจารย์รุ่นน้องๆต่อไป

อย่าลืมว่า “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานจะอยู่ตลอดไป”

ด้วยความปรารถนาดี

ศาสตราจารย์ ดร. ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ
(”ของแทร่“ ผู้ไม่อยากให้เรื่องนี้จบเพราะข่าวปลาหมอคางดำหรือเพราะไม่มีผู้เสียหาย)
ภาพ: กุหลาบที่ปลูกเอง (ของแทร่เช่นกัน)
(โปรดแชร์)

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อาจารย์ดังเผย ใครเสียหาย กรณีศ.ดร.พญ.เกศกมล

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...