โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ส.ประกันหนุนธุรกิจโตยั่งยืน คาดปี67เติบโตตามเป้า2-4%

ทันหุ้น

อัพเดต 05 ส.ค. 2567 เวลา 09.57 น. • เผยแพร่ 05 ส.ค. 2567 เวลา 09.57 น.

#สมาคมประกันชีวิตไทย #ทันหุ้น สมาคมประกันชีวิตไทย เปิดแผนงานขับเคลื่อนธุรกิจประกันชีวิตโตยั่งยืน ดึงเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพธุรกิจ และการแข่งขัน เน้นความมั่นใจสร้างฐานะการเงินแข็งแกร่ง ยังมั่นใจอุตสาหกรรมเติบโตตามคาด 2-4%หลังผลงานครึ่งปีแรกเบี้ยรวมขยายตัว 3.8%

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เผยหลังเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมว่า พร้อมเดินหน้าต่อเนื่องสำหรับขับเคลื่อนภาคธุรกิจประกันชีวิต โดยมีนโยบายสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิตให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในเรื่องของการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของกรมธรรม์ ความมั่นคงของเงินกองทุน ความแข็งแกร่งของฐานะการเงินและการดำเนินงาน

*ขับเคลื่อนธุรกิจ

ทบทวนกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินงาน โดยนำเสนอและติดตามการขอแก้ไขประกาศต่างๆ รวมถึงการขอให้มีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแล อีกทั้งสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนองค์กร และบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงสุด

“ที่ผ่านมาธุรกิจได้มีการใช้เทคโนโลยี เช่น ปัญหาประดิษฐ์ (AI) และ วิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ การเสนอขาย การพิจารณารับประกันภัย การพิจารณาสินไหม ไปจนถึงการส่งมอบบริการและธุรกรรมหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยให้เพิ่มสูงขึ้น”

นอกจากนี้ สมาคมมีนโยบายส่งเสริมการให้ความรู้ด้านการประกันชีวิต เพื่อให้รู่ถึงประโยชน์ของการประกันชีวิต ไปจนถึงการแจ้งเตือน เฝ้าระวังการป้องกันมิจฉาชีพในรูปแบบต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของสมาคมในทุกด้าน การเป็นศูนย์กลางการให้บริการ และให้ความรู้ ตัวแทน และบุคลากรในภาคธุรกิจ รวมถึงเผยแพรข้อมูลสถิติต่างๆที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้

มั่นใจโตตามเป้า2-4%

นางนุสรา กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเติบโตของภาคธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ยังคงเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายขยายตัวที่ 2-4%สะท้อนจากครึ่งปีแรกที่เบี้ยรับรวมของภาคภาคธุรกิจเติบโตได้ 3.8% ซึ่งแม้ตัวเลขเบี้ยปีแรก หรือ FYP จะไม่ได้ขยายตัว แต่ในส่วนของเบี้ยปีต่ออายุ มีการขยายตัวที่ดี

โดยธุรกิจประกันชีวิตในช่วงครึ่งแรกปี 2567 ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 311,413.63 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3.80% เมื่อเทียบกับปี 2566 จำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 88,332.86 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 1.76% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 223,080.77 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 4.63% และมีอัตราความคงอยู่ 83%

สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย 1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) 58,266.84 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3.21% เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 30,066.02 ล้านบาท เติบโตลดลง 0.92%

โดยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตมากขึ้นในช่วงครึ่งแรก ปี 2567 คือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 51,450.58ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.33คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.52 ซึ่งหลัก ๆ มาจากการที่ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพและเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันสุขภาพมากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงและรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (Medical Inflation)

ในขณะที่ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก โดยครึ่งแรก ปี 67 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 5,699.48. ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 11.25% หรือ คิดเป็นสัดส่วน 1.83%

*ปัจจัยหนุนโต

โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากกระแสคนรักสุขภาพ อันเนื่องมาจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเกิดโรคอุบัติใหม่และมลภาวะ รวมถึงแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ประชาชนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ และ มีการทำประกันสุขภาพมากขึ้น รวมถึงการที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged Society) อย่างเต็มตัว ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินช่วงวัยเกษียณกันมากขึ้น เพราะนอกจากเป็นรูปแบบการออมประเภทหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่ำแล้ว ยังได้รับความคุ้มครองชีวิต และ สิทธิการลดหย่อนภาษีที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุน

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามแนวโน้ม และความผันผวน ของสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์เงินเฟ้อ และตลาดหุ้นไทย ที่ส่งผลกระทบต่อการออม การลงทุน และภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ส่งผลต่อการใช้จ่ายของภาคประชาชน รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการเกิดโรคอุบัติใหม่ เพราะส่งผลต่อความต้องการและความเชื่อมั่นของภาคประชาชนที่มีต่อธุรกิจประกันชีวิตโดยตรง

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...