โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

‘Tariffs’ คำที่ไพเราะที่สุดในพจนานุกรมของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 09 ส.ค. เวลา 22.11 น. • เผยแพร่ 10 ส.ค. เวลา 03.10 น.

การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่สองเมื่อเดือนม.ค.2568 กลายเป็นจุดเริ่มต้นความปั่นป่วนของกติกาโลกครั้งใหม่ ด้วยความพยายามของเขาในการเดินหน้านโยบาย “Make America Great Again”

โดยเฉพาะการประกาศนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ตั้งเป้าเก็บภาษีนำเข้าอัตราสูง กล่าวอ้างประเทศส่วนใหญ่มีกติกาการค้าที่ไม่เป็นธรรมจึงทำให้เกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง

“กรุงเทพธุรกิจ” เรียบเรียงมุมมองที่น่าสนใจจาก ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ภายในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2568

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ทรัมป์ถึงกับยกให้คำว่า‘Tariffs’ เป็นคำที่ไพเราะที่สุดในพจนานุกรมของเขา ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงวาทศิลป์ทางการเมือง แต่สะท้อนถึงกลยุทธ์เชิงลึกที่อเมริกากำลังใช้เพื่อรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจมหภาคและความท้าทายจากคู่แข่งสำคัญอย่าง‘จีน’

ปัญหาเศรษฐกิจมหภาคแรงจูงใจในการใช้ Tariffs

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมหภาคที่รุนแรง การขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงถึงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และการขาดดุลงบประมาณพุ่งเกือบ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี สิ่งเหล่านี้ทำให้สหรัฐมีหนี้สาธารณะสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่ยั่งยืน และตกอยู่ในภาวะเป็นหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการส่งออกน้อยกว่านำเข้ามาก การใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ ซึ่งปัญหาหนี้ที่หัวโตเช่นนี้ ทำให้สหรัฐหนักใจและกังวลถึงวันที่ต้องชำระคืน

จีนผงาดผู้นำในไม่กี่ทศวรรษ

นอกเหนือจากปัญหาภายในแล้ว อเมริกายังเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งรายสำคัญที่นั่นคือประเทศจีน ซึ่งเพียงช่วงเวลา 20 ปี จีนได้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายๆ ด้านอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันจีนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐถึง 2 เท่า ในด้านอีคอมเมิร์ซ จีนใหญ่กว่าถึง 3 เท่า และเป็นอันดับ 1 ในด้านการทำวิจัยและเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป)

นอกจากนี้ จากการประเมิน 44 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก สหรัฐเหลือเป็นเบอร์ 1 เพียง 7 อุตสาหกรรม ขณะที่จีนเป็นผู้นำถึง 37 อุตสาหกรรม

ไม่เพียงเท่านั้นการพัฒนาหัวเมืองสำคัญของจีน เช่น เทียนจิน ฉงชิ่ง เฉิงตู กวางโจว และปักกิ่ง ก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงจำนวนหลายสายที่จีนสร้างได้ในระยะเวลาเพียง 12 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐที่แทบไม่มีความคืบหน้า

“สิ่งเหล่านี้ทำให้อเมริกาหนักใจและเชื่อว่าหากปล่อยไปเช่นนี้ จีนจะแซงหน้าในทุกด้านภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงมุ่งมั่นที่จะจัดระเบียบการค้าโลกใหม่เพื่อตอบโต้และฟื้นฟูสถานะของตน"

ระเบียบใหม่ของการเข้าสู่ตลาดอเมริกา

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์ได้เริ่มจัดระเบียบการค้าของสหรัฐใหม่ กำหนดแนวทางที่ประเทศอื่นๆ จะต้องทำเพื่อเข้ามาขายของในตลาดอเมริกา โดยใช้นโยบายภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือหลัก

แต่เดิมเม็กซิโกและแคนาดาสามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐได้ง่ายที่สุดด้วยภาษี 0% ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) แต่ในระบบใหม่นี้ พวกเขากลับกลายเป็นผู้ที่เข้าตลาดสหรัฐได้ยากที่สุด โดยถูกกำหนดภาษีนำเข้าสูงถึง 25% สำหรับเม็กซิโก และ 35% สำหรับแคนาดา

ทั้งนี้ ระบบภาษีใหม่นี้ถูกจัดแบ่งเป็นระดับ (tier) โดยมีอัตราภาษีตั้งแต่ 10%, 15%, 20%, 25%, 30%, 35%, 40% และ 50% โดยแต่ละประเทศบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐด้วยข้อเสนอที่แตกต่างกัน กรณีสหราชอาณาจักรได้ข้อตกลงกลุ่มแรก ”First Deal“ ได้รับภาษี 10%

ส่วนที่ถูกมองว่า "ให้ข้อเสนอดีที่สุด" แก่อเมริกา หรือที่เรียกว่า "Massive Deal to America" ได้รับภาษี 15% ขณะที่ประเทศเหล่านี้ให้สิทธิพิเศษกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 0% ในเกือบทุกตลาด และสัญญาจะไปลงทุนในอเมริกาเกือบ 500,000 ล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงสัญญาจะซื้อพลังงานและยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ โดยกลุ่มนี้รวมถึงสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ในขณะที่ประเทศที่บรรลุข้อตกลงในระดับ "Great Deal" ได้รับภาษี 19-20% เช่น เวียดนาม เปิดตลาดสำหรับทุกอย่าง และอินโดนีเซีย แลกกับการสัญญาซื้อพลังงาน เครื่องบินรบ F-50 จำนวน 12 ลำ และสินค้าเกษตร

สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอย่างกัมพูชาและมาเลเซีย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ได้รับภาษี 19% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ดีมาก และไม่ด้อยกว่าเวียดนามหรืออินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับอินเดียที่ได้ 25% และบราซิลที่โดนลงโทษทางการเมืองจนได้รับภาษีสูงถึง 50%

"การที่ไทยได้ 19% ถือเป็นความสำเร็จจากการเจรจาอย่างต่อเนื่องที่ทำให้สหรัฐปัดไทยขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ ซึ่งอัตราภาษีในระดับนี้ยังส่งผลดีต่อไทยในการดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะบริษัทที่กำลังย้ายฐานการผลิตออกจากจีน"

เพิ่มจัดเก็บรายได้จากภาษีนำเข้า

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายภาษีทรัมป์สร้างรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) มหาศาล ปัจจุบัน สหรัฐสามารถเก็บภาษีอากรขาเข้าได้ประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งเป็นเพียงรายได้จากอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานทั่วไป (Universal Baseline Tariff) 10%

โดยมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตรายได้จากการเก็บภาษีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ 400,000 - 500,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่ออัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 15%, 20%, 30% หรือสูงกว่านั้นซึ่งรายได้จากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนี้ จะช่วยปิดช่องว่างของการขาดดุลการค้าและลดการขาดดุลให้กับสหรัฐได้อีกส่วนหนึ่ง

เตรียมรับมือภาษียกถัดไป

แม้ไทยจะมีการบรรลุข้อตกลงอัตราภาษี (Reciporacal Tariffs) แล้ว ดร.กอบศักดิ์ ย้ำเตือนว่าสถานการณ์นี้ยังไม่จบ และไม่ควรมองว่า 19% เป็นจุดสิ้นสุด การเจรจานี้เหมือนการชกมวยที่เพิ่งจบยกแรก และยังมีการเจรจาในเรื่องอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำหนดอัตราภาษีสินค้าส่งผ่าน Transshipment ที่ 40% ซึ่งยังต้องกำหนดเงื่อนไขเรื่อง Rules of Origin และ RVC หรือมูลค่าการผลิตในประเทศหรือภูมิภาค

ส่วนภาษีในระดับประเทศ อาจมีการใช้มาตรการภาษีเพื่อลงโทษเฉพาะด้าน เช่น กลุ่มประเทศ BRICS ประเทศที่มีการชำระเงินทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ ยาเสพติด หรือกรณีความไม่เป็นธรรมทางการค้า รวมถึงมาตรการภาษีในระดับอุตสาหกรรมสำหรับสินค้าต่างๆ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ยางรถยนต์ ไม้ และแม้แต่มะเขือเทศสดที่ยังโดนเก็บภาษี

นอกจากมิติทางเศรษฐกิจแล้ว ความขัดแย้งของสหรัฐกับจีนยังอาจขยายตัวจากสงครามการค้าไปสู่สงครามเทคโนโลยี สงครามภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการเงิน และอาจนำไปสู่สงครามจริงได้หากจำเป็น

สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ แล้ว การประกาศภาษีสหรัฐเพื่อการจัดระเบียบการค้าใหม่ครั้งนี้ คือสัญญาณเตือนให้ต้องตื่นตัว ปรับตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังถาโถมเข้ามา

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...