เฟดลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ตามคาด 0.25% ด้านพาวเวลล์ส่งสัญญาณ ‘แตะเบรก’
InnovestX ระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เจโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า "เกณฑ์" สำหรับการลดดอกเบี้ยในครั้งถัดไปจะสูงขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง (Neutral Rate) แล้ว
โดยในการแถลงข่าวหลังการประชุม เจโรม พาวเวลล์ ระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยทั้ง 3 ครั้งในปีนี้ ได้ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ "ภายในกรอบที่ประเมินว่าเป็นจุดสมดุล"
ซึ่งสถานะนี้ทำให้เฟดมีความพร้อมที่จะ "รอดูสถานการณ์" เพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจต่อไป ก่อนจะตัดสินใจดำเนินการใดๆ เพิ่มเติมถ้อยแถลงดังกล่าวสอดคล้องกับสัญญาณจากนโยบายการเงินที่บ่งชี้ว่า เฟดจะเพิ่มความระมัดระวังและตั้งเงื่อนไขที่เข้มข้นขึ้นสำหรับการลดดอกเบี้ยในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงสู่ระดับ 3.4% ในปี 2026 (บ่งชี้ว่าปีหน้าอาจลดอีกเพียง 1 ครั้ง) และอยู่ที่ระดับ 3.1% ในปี 2027 ซึ่งตัวเลขนี้ไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อน
มติ 'เสียงแตก' ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงมาอยู่ที่กรอบ 3.50% - 3.75% แต่สิ่งที่น่าจับตามองคือ ความเห็นที่แตกแยกอย่างชัดเจน โดยมีกรรมการเห็นต่างถึง 3 ท่าน
- ออสแตน กูลส์บี (Chicago Fed) และ เจฟฟรีย์ ชมิด (Kansas City Fed) โหวตให้ "คงอัตราดอกเบี้ย" (Pause)
- สตีเฟน มิราน (Fed Governor) สนับสนุนให้ "ลดดอกเบี้ยแรงขึ้น" ที่ 0.50%
ความเห็นต่างนี้สะท้อนมุมมองที่ขัดแย้งกันต่อสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฝั่งที่สนับสนุนให้ลดดอกเบี้ยมองไปที่ตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแอและต้องการแรงหนุน ในขณะที่ฝั่งสายเหยี่ยว (Hawks) กังวลว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่จบ โดยเฉพาะราคาสินค้าที่อาจพุ่งสูงขึ้นจากมาตรการกำแพงภาษี (Tariffs)
- จิม แบร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจาก Plante Moran Financial Advisors ให้ความเห็นว่า "ความแตกแยกนี้สะท้อนว่าภาพรวมเศรษฐกิจกำลัง 'ขมุกขมัว' (Murky) มันคือความตึงเครียดระหว่างสองเป้าหมายหลักของเฟด คือเงินเฟ้อที่ยังสูง กับตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอตัว"
- สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อ "ภาวะชัตดาวน์" (Government Shutdown) ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่างตัวเลขจ้างงานและเงินเฟ้อขาดช่วงไป ส่งผลให้เฟดต้องตัดสินใจท่ามกลาง "ม่านหมอกของข้อมูล" (Data Fog)
ด้านมุมมองเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โดยได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี แม้ข้อมูลจะขาดช่วง แต่ประมาณการเศรษฐกิจของเฟด (Summary of Economic Projections) แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม:
- เงินเฟ้อ (Core PCE): คาดว่าจะอยู่ที่ 3% ในปี 2025 (ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.1%), 2.5% ในปี 2026 และจะเข้าสู่เป้าหมาย 2.1% ในปี 2027
- ตลาดแรงงาน: คาดอัตราว่างงานปีนี้และปีหน้าอยู่ที่ 4.5% และ 4.4% ตามลำดับ
พาวเวลล์ มองว่า เงินเฟ้อที่เกินเป้าหมายในช่วงนี้ สาเหตุหลักมาจาก "กำแพงภาษี" ที่ดันราคาสินค้า (Goods) ให้สูงขึ้น แต่เชื่อว่าเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราว (One-time increase) ในขณะที่ภาคบริการยังคงเห็นการชะลอตัวของเงินเฟ้อต่อเนื่อง
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist จาก InnovestX ระบุว่า สำหรับผลกระทบต่อตลาด การที่ Fed การลดดอกเบี้ย 3 ครั้งติดต่อกันเป็นภาพ dovish ชัดเจนหนุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่การส่งสัญญาณ hawkish ด้วยการชะลอจังหวะการลดดอกเบี้ยและคาดการณ์ว่าจะมีการลดเพียงครั้งเดียวในปีหน้านั้นอาจสร้างความผันผวนระยะสั้น แต่ในมุมมองระยะกลางถึงยาว ระดับดอกเบี้ยที่ลดลงมาแล้วรวมถึงการยืนยันว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งจากการปรับขึ้นประมาณการ GDP ทุกปีในช่วงคาดการณ์นั้น InnovestX ประเมินว่าจะยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป
โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ซึ่งมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมีต้นทุนการกู้ยืมสูงกว่าและได้ประโยชน์มากกว่าเมื่อสภาพคล่องในระบบดีขึ้น นอกจากนี้หุ้นขนาดเล็กยังได้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจในประเทศยังแข็งแกร่งและไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากเท่ากับหุ้นขนาดใหญ่ที่มีรายได้จากต่างประเทศสูง การที่ Fed คาดการณ์ GDP เติบโตถึง 2.3% ในปี 2026 ยิ่งเสริมความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก
"กลยุทธ์การลงทุน: โอกาสในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กและทองคำ"
InnovextX ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กที่ควรได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องจากวัฏจักรการลดดอกเบี้ยที่ยังไม่จบ รวมถึงหุ้นเทคโนโลยี และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ แม้ว่า Fed จะชะลอจังหวะลง แต่ทิศทางยังคงเป็นการผ่อนคลายนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตและสภาพคล่อง การที่ Fed จะเริ่มซื้อพันธบัตรเพื่อบริหารสำรองประมาณ 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนนับจากวันศุกร์นี้ยิ่งเสริมสภาพคล่องในระบบ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมสำหรับสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนอาจพิจารณาเพิ่มน้ำหนักในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กที่มีคุณภาพและได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
โดยเฉพาะบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูงและสามารถรับมือกับต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงได้ดี หรือลงทุนผ่านกองทุน SCBRS2000 (A) สำหรับทองคำแม้ว่าในระยะสั้นอาจมีการแกว่งตัวในกรอบจากความแข็งแกร่งของดอลลาร์และการชะลอการลดดอกเบี้ย แต่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังคงแข็งแกร่งจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การขาดดุลงบประมาณที่สูง และความต้องการจากธนาคารกลางต่างๆ คาดว่าทองคำจะปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปีหน้าเมื่อความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐฯ รอบการเปลี่ยนผ่านผู้นำ Fed กลับมาเป็นประเด็นหลัก ดังนั้นการรักษาสัดส่วนการถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงยังคงเหมาะสมในพอร์ตการลงทุน โดยอาจพิจารณาซื้อเพิ่มในช่วงที่ราคาปรับตัวลงเพื่อเฉลี่ยต้นทุนและเตรียมพร้อมรับแนวโน้มขาขึ้นในปีหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาสด้าประกาศลงทุน MHEV 5 พันล้าน กำลังผลิต 1 แสนคัน/ปี ฐานส่งออก
จ่อ! ออกหวยเกษียณ ทดลองขายผ่าน Sandbox 1ล้านฉบับ ไตรมาส1 ปีหน้า
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เฟดลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ตามคาด 0.25% ด้านพาวเวลล์ส่งสัญญาณ ‘แตะเบรก’
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com