"เศรษฐกิจไทย" ปีงู เลื้อยไปมา สู่ ปีม้า ที่ยังอยู่บนความไม่แน่นอนและท้าทาย
เศรษฐกิจโลกในช่วงปี 2568 เผชิญแรงสั่นสะเทือนรอบด้าน โดยเฉพาะการกลับมาของนโยบายกีดกันทางการค้าในยุค “ทรัมป์ 2.0” ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐ ที่จุดชนวนความเสี่ยงใหม่ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งโลกอีกครั้ง กำแพงภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) หรือที่เรียกกันว่า ภาษีทรัมป์ เตรียมใช้กับหลายประเทศ ไม่เพียงสร้างแรงกระแทกต่อการค้าโลก แต่ยังซ้ำเติมประเทศเศรษฐกิจอย่างไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยไทยมีสัดส่วนการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับหนึ่ง
รอบแรก ไทยโดนภาษีทรัมป์ 36% จากนั้น ไทยส่งข้อเสนอใหม่เพื่อเจรจาปรับลด จนกระทั่ง 1 สิงหาคม 2568 ทรัมป์ประกาศปรับลดภาษีไทยเหลือ 19% จนปัจจุบัน นับจากนั้น สำหรับประเทศไทย ปี 2568 จึงกลายเป็นปีแห่ง “พายุเศรษฐกิจ 3 ลูก” แบบเต็มๆ
ที่ถาโถมพร้อมกัน คือ แรงกดดันจากการค้าโลก ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ที่ทั้ง 3 ลูกนี้ก็มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเช่นกัน เมื่อทรัมป์ เคยใช้เรื่องภาษีมากดดันการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ในรอบแรก
พายุลูกที่ 1 : ภาษีทรัมป์และสงครามการค้าโลก กดดันส่งออกไทย
แต่หากมองภาพใหญ่ การกลับมาใช้นโยบายภาษีเชิงรุกของทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศคู่ค้าหลักของไทย ทั้ง สหรัฐฯ จีน รวมถึงสหภาพยุโรป ต่างเผชิญต้นทุนการค้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ชะลอตัว
ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมที่น่ากังวล คือ การชะลอการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) เนื่องจากนักลงทุนประเมินความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น ส่วนค่าเงินบาทเกิดแรงผันผวนตามทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย ส่งผลต่อเสถียรภาพภาคการเงินในระยะสั้น
ในอีกด้านหนึ่ง คือ ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นแรงทำลายสถิติ all time high หลายต่อหลายรอบ สะท้อนสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจน แม้จะเป็นผลบวกต่อผู้ที่ถือครองทองคำก็ตาม
พายุลูกที่ 2 : สงครามค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ความเสี่ยงเฉพาะจุด แต่กระทบวงกว้าง
ความตึงเครียดด้านการค้าและการควบคุมชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา กลายเป็นอีกปัจจัยลบที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจภูมิภาค โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่พึ่งพาการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และแรงงานต่างด้าว แม้ในภาพรวมมูลค่าการค้าชายแดนจะไม่สูงเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมดของประเทศ แต่ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาและความเชื่อมั่น ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวกดดันต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มสูงขึ้น และทำให้ภาคเอกชนชะลอการตัดสินใจลงทุนในพื้นที่ชายแดน
พายุลูกที่ 3 เสถียรภาพการเมืองไทยตั้งอยู่บนความ "ไม่แน่นอน"
เสถียรภาพการเมืองที่ไม่แน่นอน เป็นปัจจัยภายในประเทศที่กดดันเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือความไม่ชัดเจนทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงผู้นำอย่าง "นายกรัฐมนตรี" ในห้วงเวลาไม่เกิน 1 ปี ส่งผลโดยตรงต่อการเดินหน้าและการปรับนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ ส่งผลให้เครื่องยนต์หลักอย่างการลงทุนภาครัฐทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
และเมื่อเจอกับภัยธรรมชาติที่เข้ามาซ้ำเติม ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และความแปรปรวนของสภาพอากาศ ยิ่งกระทบเป็นวงกว้างไปถึงภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ขณะที่กำลังซื้อภาคครัวเรือนยังฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงมาก
ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ฟื้นตัวช้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนโลก และโจทย์โครงสร้างที่ยังแก้ไม่จบเป็นปีงูที่เศรษฐกิจไทยเลื้อยไป เลื้อยมา อยู่ท่ามกลางความผันผวน การฟื้นตัวเป็นไปอย่างระมัดระวังและมีข้อจำกัดหลายด้าน บนแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างภายในประเทศ
แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างการท่องเที่ยวและบริการ จะกลับมาใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และประเทศอาเซียน แต่ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ
โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในกรอบ 2.5–3.0% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งปัญหาผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้นช้า โครงสร้างอุตสาหกรรมที่ยังพึ่งพาภาคการผลิตแบบดั้งเดิม และการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในปี 2568 ยังคงมาจาก การบริโภคภาคเอกชน และ ภาคท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการส่งออกและการลงทุนยังเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเผชิญความผันผวน
มองไปข้างหน้า ปี 2569 ยังท้าทาย
แม้ปี 2569 จะยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์โลกและความผันผวนทางการเมือง แต่มองว่า “จุดเปลี่ยน” อาจเกิดขึ้นในช่วงกลางปี หลังการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้น รัฐบาลใหม่จัดตั้งได้ นโยบายเศรษฐกิจมีความชัดเจน
ทั้งนี้จากการประมาณการของหลายที่ เช่น
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 1.5% ในปี 2569 ซึ่งเป็นการปรับลดจากประมาณการก่อนหน้า ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ
- SCB EIC ประเมินว่า GDP จะเติบโตเพียงประมาณ 1.5% ต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ โดยส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงต้านจากการส่งออกและกำลังซื้อภายในประเทศ ด้านทีทีบี (ttb Research) คาดการเติบโตที่ราว 1.6% ในปี 2569 กสิกรไทย (KResearch) ประเมินตัวเลข GDP ที่ ประมาณ 1.6% เช่นกัน จากแรงกดดันภายนอกและความเปราะบางภายในประเทศ
- ด้าน กกร. หรือ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประมาณการที่ 1.6–2.0% ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของปัจจัยเศรษฐกิจโลกและภาพรวมภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เปราะบาง ดังนั้นการประคองเสถียรภาพในระยะสั้น ควบคู่กับการวางรากฐานโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว จะเป็นกุญแจสำคัญที่ชี้ว่าไทยจะ “รอด” หรือ “สะดุดซ้ำ” ในปีม้าที่เขาบอกกันว่าจะเป็น "ม้าไฟ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สรุปข่าวเด่น ประเด็นร้อนปี 2568 อุบัติเหตุทางการเมือง ไปจนถึงเรื่องราวสุดแซ่บคนบันเทิง
finbiz by ttb เปิด 6 เทรนด์ธุรกิจ ปี2026 ที่SMEsต้องรู้ เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจ
ครม. มีมติอนุมัติเป้าหมาย"เงินเฟ้อทั่วไป" ปี 2569 อยู่ช่วงร้อยละ 1 - 3
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : "เศรษฐกิจไทย" ปีงู เลื้อยไปมา สู่ ปีม้า ที่ยังอยู่บนความไม่แน่นอนและท้าทาย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com