ทหารไทยเสียขาที่9คา‘จีบีซี’
ไทยยัน จม.ของ “เตีย เซ็ยฮา” มีนัยขอเจรจาหยุดยิง-เสนอให้ถอยกำลังทหารไปอยู่ที่จุดเดิม ระบุเป็นการเสนอฝ่ายเดียว “ทบ.” ลั่นจุดยืน กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อน เผยยึดพื้นที่คืนได้ 90% แล้ว เดินหน้าเป้าหมายทำให้สิ้นสภาพภัยคุกคาม หลังยังพบอาวุธซุกส่วนหลังอื้อ เศร้า! ทหารไทยเสียขาที่ 9 คา “จีบีซี” ที่กำลังถกอยู่ที่จันทบุรี กต.แจงรูปปั้นช่องอานม้าที่ถูกทำลายไม่ใช่ศาสนสถาน เป็นการสร้างเพื่อแสดงสัญลักษณ์คุมพื้นที่
วันที่ 25 ธันวาคม พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก “TEA Seiha/” ระบุว่า “สื่อไทยบางแห่ง ทั้งทางการและไม่เป็นทางการ ได้นำจดหมายทางการ (ที่ส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) มาเผยแพร่ ราวกับว่าเป็นข่าวรั่วไหล” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมี Google Translate, ChatGPT และ Gemini ที่สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ความหมายอาจไม่ชัดเจนเท่ากับที่สื่อไทยรายงานต่อประชาชนชาวไทยที่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ฉันสับสนและตอนนี้ก็หายสับสนแล้ว
ขณะที่เฟซบุ๊กเพจ “สำนักข่าว Kampuchea Thmey Daily” ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนางฮุน มานา ลูกสาวนายฮุน เซน โพสต์รายงานปฏิเสธรายงานข่าวจากฝั่งไทยที่ระบุว่า พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหมของไทย เพื่อขอหยุดยิง เป็นการรายงานข่าวที่ไม่เป็นความจริง Kampuchea Thmey Daily ระบุว่า หนังสือที่ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา ส่งถึง พล.อ.ณัฐพลดังกล่าวเป็นการสนับสนุนการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป กัมพูชา-ไทย (General Border Committee: GBC) ในวันที่ 24 ธ.ค.68 ตามแถลงการณ์ของประธานอาเซียน ซึ่งเผยแพร่ภายหลังการประชุมพิเศษรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างกัมพูชาและไทย ที่จัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา ชี้แจงหนังสือที่ส่งถึงไทยไม่ใช่เป็นการขอเจรจาหยุดยิงว่า เรื่องของการหยุดยิงหรือไม่หยุดยิงนั้นได้ มีการชี้แจงไปแล้วในช่วงการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งกัมพูชาได้เสนอให้หยุดยิงในวันนั้นช่วงเวลา 22.00 น. โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ของไทย ได้ตอบกลับไปว่าจะมีการหารือในเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะไม่มีรายละเอียดใดๆ เลย หลังจากนั้น พล.อ.เตีย เซ็ยฮา ได้ทำหนังสือมาถึงเราตามที่ปรากฏเป็นข่าว แม้จะไม่ได้มีการพูดตรงๆ ว่าจะมีการหยุดยิง แต่ก็มีนัยในรายละเอียดว่าฝ่ายกัมพูชามีความประสงค์จะหยุดยิง ซึ่งคงต้องไปคุยกันในจีบีซีต่อไป
ทั้งนี้ หนังสือของ รมว.กลาโหมกัมพูชาเป็นเอกสารที่ทางกัมพูชาเสนอมาฝ่ายเดียว ไม่ได้หารือในรายละเอียดกับเรา เป็นเพียง proposal ที่เสนอมาเท่านั้น ซึ่งตัวหนังสือดังกล่าวเพิ่งออกมาผ่านสื่อเมื่อวานนี้ แล้วมีการคอมเมนต์กันว่ามีการแปลผิดหรือไม่ ซึ่งก็คงได้ชี้แจงให้ตรงกันว่าความหมายในหนังสือนั้นหมายความว่าอะไร ระหว่างการประชุมของฝ่ายเลขานุการฯ
ส่วนเนื้อหาที่กัมพูชาระบุว่า ต้องการให้สองฝ่ายกลับไปอยู่ในจุดเดิมก่อนการปะทะนั้น พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า หนังสือมีนัยเช่นนั้น ซึ่งทางฝ่ายเลขานุการจีบีซีกำลังหารือในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน คงต้องรอให้ฝ่ายเลขาฯ ได้ข้อสรุปตรงนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา วันที่สอง ไทยยื่นข้อเสนอใน 3 ข้อ ซึ่งทางกัมพูชาส่งสัญญาณที่ดี คือรับในบางข้อเสนอ และมีการท้วงติงในบางรายละเอียด ซึ่งทางฝ่ายไทยก็ได้ให้ฝ่ายกัมพูชานั้นกลับไปพิจารณาเพื่อที่จะกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง
เขมรต้องประกาศหยุดยิงก่อน
โดยตัวแทนฝ่ายกิจการชายแดนทหารระหว่างประเทศก็ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาขอเวลาในการพิจารณาในรายละเอียดและเลื่อนเวลาการประชุมในวันที่ 2 ออกไป และเมื่อพร้อมก็จะส่งสัญญาณและข้ามกลับเข้ามาประชุมต่อ ส่วนฝ่ายไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุม GBC ก็พร้อมที่จะรอ เพื่อให้การประชุมเดินหน้าตามที่ได้วางกรอบเงื่อนไขข้อกำหนด ที่เป็นจุดยืนของฝ่ายไทยอย่างเข้มแข็ง
ขณะที่ น.อ.อุดม กุลศิริปัญโญ เสนาธิการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เปิดเผยถึงท่าทีของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ว่า มีทิศทางที่ดีขึ้น หากถามถึงความจริงใจในการประชุมที่เคยพบเจอกันทั้งระดับอาร์บีซี จนมาถึงจีบีซีในวันนี้ ต้องยอมรับว่าการประชุมจีบีซีในครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชามีสัญญาณที่ดีที่จะบรรลุข้อตกลงในกระดาษ บนโต๊ะเจรจา รวมถึงเชื่อมั่นว่าในแนวทางปฏิบัติก็จะได้เห็นความจริงใจ ความซื่อสัตย์ของฝ่ายกัมพูชามากขึ้น
ด้านพลจัตวาตรี ซกคา ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 5 ส่วนหน้า เขต 3 กล่าวกับผู้สื่อข่าวไทยเป็นภาษาไทยว่า ความสัมพันธ์ของไทยและกัมพูชาโดยเฉพาะพื้นที่จันทบุรีและไพลิน เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่กันอย่างสงบ และไม่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนใน จึงไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความตึงเครียด ขณะที่ทิศทางการประชุม GBC ในช่วง 1-2 วันนี้ ยังไม่สามารถตอบได้ ต้องรอข้อสรุปจากการหารืออย่างเป็นทางการ แต่เชื่อมั่นว่าไทยและกัมพูชายังคงเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องพึ่งพากัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ และเป้าหมายสำคัญคือการสร้างสันติภาพ เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายสามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกัมพูชารับข้อเสนอกลับไปเพื่อหารือ และกลับมาเสนอไทยอีกรอบในเวลา 17.00 น. แต่ก็ขอเลื่อนเป็นเวลา 19.30 น.
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก กล่าวถึงการประชุม GBC จะได้ข้อยุติหรือไม่ ว่าคงต้องติดตาม เพราะขณะนี้เป็นเพียงการพูดคุยของฝ่ายเลขานุการ GBC เท่านั้น ซึ่งจะมีรายละเอียดว่าสามารถตกลงอะไรกันได้บ้าง ส่วนกัมพูชาจะยอมรับข้อเสนอของไทยหรือไม่ ขอให้รอฟังการประชุม ทั้งฝ่ายเลขานุการ GBC รวมถึงวันที่ 27 ธ.ค.นี้ ของ รมว.กลาโหมทั้ง 2 ประเทศ ขอย้ำว่า ในพื้นที่หน้าที่ของเรายังคงดำเนินการอยู่ ซึ่งยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง เรายังต้องทำและปฏิบัติ และทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่า 1 ใน 3 ข้อเสนอ คือกัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อนในฐานะผู้รุกราน ปัจจุบันนี้ได้เห็นสัญญาณนั้นแล้วหรือไม่ ภายหลังได้มีการทำหนังสือมาถึงกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยพฤกษ์ระบุว่า กัมพูชาได้ส่งสัญญาณมาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงต้นว่าคิดและอยากปฏิบัติเช่นนั้น แต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายที่ทำให้สถานการณ์เกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้วเราต้องปกป้องอธิปไตย
เมื่อถามว่า กัมพูชาสงวนคำพูดหลบเลี่ยงที่จะประกาศหยุดยิงก่อน โดยใช้วิธีการให้ไทยและกัมพูชาประกาศหยุดยิงพร้อมกัน พล.อ.ชัยพฤกษ์กล่าวว่า เชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาพยายามสื่อสารกับคนไทยในประเทศเช่นนั้น เมื่อถามว่าเรายังยืนยันในจุดยืนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องประกาศก่อนใช่หรือไม่ พล.อ.ชัยพฤกษ์กล่าวว่า แน่นอน
สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน กัมพูชาอยู่ในสภาพที่สิ้นภาพที่เป็นภัยคุกคามแล้วหรือไม่ พล.อ.ชัยพฤกษ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทำลายไปหลายส่วน กำลังที่อยู่บริเวณเขตอธิปไตยของเรา ตอนนี้ทำได้ 90% แต่ในพื้นที่ทางลึก ยุทโธปกรณ์ที่เขามีอยู่ก็ยังมีอีกจำนวนมาก แต่ไม่ขอพูดถึงรายละเอียด คิดว่าเราดำเนินการตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้เป็นที่น่าพอใจ
ทหารไทยเสียขาที่ 9
ขณะที่ เพจกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ทหารไทยเข้ายึดเนิน 225 จ.สุรินทร์ได้แล้ว อยู่ในระหว่างปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญสูงสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ความตึงเครียดและการปะทะกันอย่างรุนแรงตามแนวรบปราสาทตาควาย-เนิน 350-เนิน 225 เมื่อเดือน ธ.ค.2568 พื้นที่ดังกล่าวมีบทบาทชี้ขาดต่อการควบคุมสถานการณ์ทางทหารในภูมิภาคนี้
วันเดียวกัน มีกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด ทราบชื่อ ส.อ.นิติธรรม ศรีคำแซง สังกัด ช.6 ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ใกล้ปราสาทตาควาย ขณะปฏิบัติภารกิจตามแนวชายแดน ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาซ้าย หลังเกิดเหตุหน่วยได้เร่งให้การช่วยเหลือและนำส่งผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาโดยทันที ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างสอบสวนรายละเอียดของเหตุการณ์ และประเมินสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ซึ่ง ส.อ.นิติธรรมเป็นรายที่ 9 ที่เป็นเหยื่อทุ่นระเบิดที่กัมพูชาได้ลอบวางไว้
ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียออกแถลงการณ์ตำหนิกรณีกองทัพไทยรื้อถอนรูปปั้นเทพเจ้าฮินดู (นักรบแปดมือ) ในพื้นที่ช่องอานม้า เป็นการกระทำที่ไม่เคารพและทำร้ายความรู้สึกของผู้ศรัทธา เนื่องจากมองว่าเป็นพระวิษณุ ว่ารูปปั้นดังกล่าว หากเทียบกับชีวิตทหาร อวัยวะ แขนขาขาด ก็ขอให้คิดต่อกันเอง
“รูปปั้นที่ถูกทำร้าย หากเทียบกับขาทุกขาที่ทหารเราเสียไป และไปเปรียบเทียบกับการลบหลู่ เรื่องนี้ผมไม่เอาไปเทียบหรอกครับ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงแนวทางของกระทรวงการต่างประเทศต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชาว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รวบรวมมาตลอด และประสานกับเหล่าทัพ และมีหนังสืออีก 2 ฉบับตามมาเมื่อ 2 วันที่แล้ว ถึงประธานรัฐภาคีออตตาวาในเรื่องของทุ่นระเบิด และหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมด จากการปะทะไทย-กัมพูชา และยังมีความจำเป็นที่ต้องรวบรวมหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อไป
ส่วนกรณีกระทรวงการต่างประเทศอินเดียประท้วงทางการไทยทำลายรูปเคารพที่เป็นเทพเจ้าทางฮินดู กรณีนี้มีความชัดเจน ซึ่งศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ จะออกแถลงการณ์ชี้แจงในเรื่องนี้ โดยการดำเนินการของฝ่ายไทยในบริเวณนั้นเป็นเรื่องของการบริหารจัดการพื้นที่ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนถึงความเชื่อถือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราเป็นประเทศที่เคารพในศาสนาทุกศาสนาอยู่แล้ว เข้าใจว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นจริงๆ เป็นของประดับด้วยซ้ำ ไม่ใช่สถานที่ศาสนา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะมีการพูดคุย เพื่อให้เอกอัครราชทูตอินเดียเกิดความสบายใจ ไม่ได้มีเจตนาอะไรนอกเหนือจากการควบคุมสถานที่และบริเวณตรงนั้น
ขณะที่ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ทางทหารก็ตอบรับกับทิศทางกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหลักๆ แล้วรูปปั้นตรงนั้นไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนเหมือนเป็นเทวสถานใดๆ เพียงแต่เป็นลักษณะการตกแต่งสถานที่เท่านั้น ซึ่งตนเข้าใจว่าอาจมีการกระทบกระเทือนสภาพจิตใจของผู้นับถือศาสนา แต่กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าจะขอเวลาไปชี้แจงให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจของแท้มากขึ้นในเรื่องนี้
ขณะที่ ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชาชี้แจงว่า การดำเนินการดังกล่าวมิได้มีเจตนาเกี่ยวข้องกับศาสนา ความเชื่อ หรือการดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นการดำเนินการด้านการบริหารจัดการพื้นที่และความมั่นคง ภายหลังจากฝ่ายไทยสามารถกลับเข้าควบคุมพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตที่ประเทศไทย ยืนยันสิทธิอธิปไตย
สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นโครงสร้างที่ถูกติดตั้งขึ้นภายหลัง และไม่ได้เป็นศาสนสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ การดำเนินการจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการควบคุมพื้นที่ ลดความเสี่ยงของความเข้าใจคลาดเคลื่อน และป้องกันไม่ให้เกิดการใช้สัญลักษณ์ที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดเพิ่มเติม.