ท่ามกลางกระแสมากมายที่เข้ามาและผ่านไป นี่คือ 7 เรื่องของปี 2025 ที่เราไม่อยากให้ลืม
ตลอดปี 2025 มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่คาดเดาได้และสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่คาดเดาได้กับสิ่งที่เหนือความคาดหมายถูกลบเลือนด้วยกระแสธารของเหตุการณ์โลก ทั้งพายุเศรษฐกิจที่พัดโหมจากนโยบายต่างแดน และคลื่นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ยังคงวนเวียนอยู่ในเขาวงกตเดิมๆ
แต่ธรรมชาติของโซเชียลมีเดีย ทำให้ข่าวสารเปรียบเสมือนเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่ขาดสาย ทุกเช้าที่เราตื่นมามักจะมีพาดหัวข่าวใหม่ที่ดึงดูดความสนใจไปจากปัญหาเดิม ในที่สุดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งก็ถูกกระแสใหม่พัดออกไปจนหลายคนหลงลืม และไม่ได้รับการแก้ไขในท้ายที่สุด
นี่คือเหตุผลที่เราทบทวนเรื่องราวตลอดปี 2025 ที่ผ่านมา และพบว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่ควรค่าแก่การหยุดนิ่งเพื่อจดจำในฐานะบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน
แผ่นดินไหวที่สั่นสะเทือนทั้งตึก สตง. และข้อเท็จจริงใต้พรมของระบบราชการ
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 จากพื้นดิน 10 กม. ศูนย์กลางอยู่ที่ภูมิภาคสะกาย ประเทศเมียนมา แรงสั่นสะเทือนส่งถึงไทยที่อยู่ห่างราว 1,100 กิโลเมตร และยังได้กระตุ้นให้อาคาร 30 ชั้นการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังสร้างใหม่ พังครืนลงมาภายในชั่วพริบตา
แรงงานจำนวนมากติดอยู่ภายในอาคาร แม้เจ้าหน้าที่จะเร่งเวลาช่วยเหลือมากเพียงใด ก็ไม่สามารถช่วยเหลือทั้งหมดได้ นำมาซึ่งการสูญเสียที่สะเทือนใจผู้คนทั่วประเทศ
แม้ว่าในกฎหมายควบคุมอาคาร นับตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จะกำหนดให้ผู้ออกแบบบต้องสร้างอาคารที่รับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินรองรับอาคารเพื่อต้านทานแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว และไม่ควรถล่มลงมา เหตุการณ์ของอาคาร สตง. ซึ่งถล่มเพียงอาคารเดียวในกรุงเทพฯ ตอกย้ำว่า ตึกแห่งนี้มีความผิดปกติในการก่อสร้าง
หลายคนจึงกลับมาตั้งคำถามว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการก่อสร้าง? ใครคือวิศวกรผู้อนุมัติแบบการก่อสร้างดังกล่าว? ปัญหาอยู่ที่กระบวนการแก้ไขแบบหรืออยู่ที่ใด? และทำไมสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถึงอนุมัติให้มีการสร้างอาคารที่ไม่ปลอดภัยเช่นนี้?
ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่าปัญหาอาจเกิดจากปล่องลิฟต์ จากนั้นมีการตรวจสอบพบว่า มีการแก้แบบปล่องลิฟต์ โดยลงชื่อ สมเกียรติ ชูแสงสุข ประธานอนุกรรมการคลินิกช่าง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทว่าเจ้าตัวได้เข้าลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังพบว่าถูกแอบอ้างชื่อในเอกสารแก้ไขแบบปล่องลิฟต์
นอกจากนี้ ยังมีการนำเหล็กของอาคารที่พังทลายไปตรวจสอบ พบว่า เหล็กบางส่วนไม่ได้มาตรฐาน โดยเป็นเหล็กที่มาจากบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งปิดไปก่อนหน้านี้ ถึงอย่างนั้นยังไม่มีการยืนยันว่าสาเหตุการถล่มมาจากความแข็งแรงของเหล็กแต่อย่างใด
จากความพยายามหาสาเหตุการถล่มของตึกนี้เองที่กระตุ้นให้เกิดการรื้อซากเบื้องหลังการก่อสร้างอาคารแห่งนี้จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ในประเทศ เริ่มตั้งแต่ผู้รับเหมาก่อสร้าง คือ กิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี (ITD-CREC) โดยประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เซ็นสัญญาหลักของโครงการนี้ โดยมี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เซ็นเป็นผู้ร่วมดำเนินการ แต่สายตาสังคมจับจ้องไปยังการตรวจสอบบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มากที่สุด องค์กรแห่งนี้ไม่ได้รับว่าจ้างแค่ตึกสตง. แต่ยังมีงานก่อสร้างของหน่วยงานรัฐกว่า 29 โครงการ มูลค่า 27,000 ล้านบาท
จากการสอบสวนของดีเอสไอพบว่าบริษัทนี้จดทะเบียนด้วยชาวไทย 51% และชาวจีน 49% ชื่อผู้ถือหุ้นชาวไทยไม่เคยทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างมาก่อน ทั้งยังมีชื่อในคณะกรรมการและบริษัทอื่นๆ ที่มีชาวต่างชาติเป็นหุ้นส่วน ในขณะที่รายได้ของทั้ง 3 คนไม่สอดคล้องกับการมีชื่อในบริษัทต่างๆ จึงสรุปได้ว่าชาวไทยทั้ง 3 คนเป็นเพียงนอมินีบริษัทต่างชาติ
ไม่เพียงแค่ในไทย บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจของจีนที่ชื่อว่า บริษัทในเครือ ไชน่า เรลเวย์ กรุ๊ป (China Railway Group) ซึ่งได้สร้างบริษัทลูกหลายแห่งเพื่อไปรับก่อสร้างในประเทศต่างๆ ก่อนหน้านี้ มีบริษัทลูกอีกแห่งที่ชื่อว่า ไชน่า เรลเวย์ อินเตอร์เนชันแนล (China Railway International Co., Ltd) ถูกครหาจากการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารรถไฟในเมืองโนวีซาด ประเทศเซอร์เบีย แต่เกิดการพังทลายของหลังคา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 14 คน บริษัทดังกล่าวปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด ประชาชนจึงเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบ แต่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผยสัญญา นำมาสู่การประท้วงทั่วประเทศเซอร์เบียตลอดปีที่ผ่านมา
ปัญหาข้อต่อมาที่ทำให้ประชาชนสงสัยกระบวนการอันไม่โปร่งใสของการก่อสร้างตึก สตง. ในไทยคือ การใช้งบประมาณแผ่นดินกว่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งมีการเปิดเผยว่ามีการเปลี่ยนแปลงร่างออกแบบเพื่อสร้างห้องหรูหรา มีห้องสันทนาการ ยังไม่นับรวมว่าอาคารแห่งนี้มีปัญหาการก่อสร้างล่าช้าที่เสร็จสิ้นไปเพียงราว 33% จากเป้าหมายจริง 86.77%
จนถึงตอนนี้ ผู้ที่ถูกฟ้องจากเหตุการณ์นี้คือผู้รับเหมา ทั้งบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ฟอรัม อาร์คิเทค จำกัด, บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด, บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์, บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด, บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) มีความผิดฐานเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม ทำการก่อสร้าง อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้นๆ
หลังผ่านเหตุการณ์ไปหลายเดือน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้รับประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยคะแนนอยู่ที่ 94.64 คะแนน มาเป็นอันดับ 1 ประเมินโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) การประกาศผลคะแนนดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับการก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ และคำถามของประชาชนต่อความโปร่งใสที่แท้จริงของสตง.
ภาวะอากาศสุดขั้วจะทำให้ไทยเกิดภัยพิบัติได้อีก แต่ระบบดูแลของไทยพร้อมหรือยัง?
วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวันและน้ำทะลักเข้าตัวเมืองอย่างรวดเร็ว ประชาชนจำนวนมากติดอยู่ในบ้านหลายวัน ไม่ได้อพยพ ในช่วงเวลาเกือบสัปดาห์ หลายคนต้องร้องขอความช่วยเหลือผ่านโซเชียลมีเดีย หรือญาติๆ ต้องคอยพยายามติดต่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในบ้าน จนทำให้มีรายงานผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 142 ราย และคนหาดใหญ่ได้รับผลกระทบกว่า 2.4 แสนคน
ปัญหาหลักที่หาดใหญ่เผชิญในปีนี้ คือปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน วัดปริมาณฝนสะสมได้สูงถึง 335 มม. ภายในวันเดียว ทำให้ฝนครั้งนี้หนักที่สุดในรอบ 300 ปี และฝนสะสม 3 วัน (19–21 พ.ย.) พุ่งสูงถึง 630 มม. นับเป็นสถิติแซงหน้าปี 2543 และ 2553 ที่เคยเป็นประวัติศาสตร์น้ำท่วมใหญ่ของหาดใหญ่ ทำให้ระดับน้ำในบางจุดสูงถึง 1-2 เมตร
แม้คนในพื้นที่ยืนยันว่าได้รับแจ้งเตือนภัยพิบัติผ่านทางข้อความมือถือกว่า 7 ครั้ง แต่ประชาชนบางส่วนกล่าวว่า ผู้นำท้องถิ่นยังมั่นใจว่า ‘เอาอยู่’ ทำให้ทุกคนไม่ได้อพยพตามการแจ้งเตือนดังกล่าว รศ. เสรี ศุภราทิตย์ รองประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติให้สัมภาษณ์กับไทยพีบีเอสว่า หน่วยงานในพื้นที่แจ้งว่ายังไม่ขึ้นธงแดง เนื่องจากต้องรอ ‘ประชุมก่อน’ รวมทั้งระดับท้องถิ่นแจ้งว่ากังวล หากแจ้งเตือนอาจส่งผลกระทบกับนักท่องเที่ยวในหาดใหญ่
หลังผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมไปกว่า 4 วัน รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศปกฉ.) ขึ้นผู้สื่อข่าวจึงถามว่า นับเป็นการจัดการล่าช้าหรือไม่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ล่าช้าในการช่วยเหลือ คำตอบดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประสบภัยในหาดใหญ่ ซึ่งต่อมา ได้มีผู้ประสบภัยที่ได้รับการช่วยเหลือในศูนย์พักพิงต่อว่านายกรัฐมนตรีและคณะที่กำลังเข้าเยี่ยมประชาชน
ไม่เพียงแค่หาดใหญ่เท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน หลายจังหวัดในภาคใต้ก็เจอกับฝนถล่มและน้ำท่วมสูง โดยเฉพาะจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง นราธิวาส ยะลา ตรัง สตูล และสุราษฎร์ธานี หลังจากหาดใหญ่น้ำเริ่มลดแล้ว จังหวัดเหล่านี้ยังเผชิญน้ำท่วมอยู่ไม่น้อย
ธารา บัวคำศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ครั้งนี้เกิดจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ (Atmospheric Rivers) ที่ลำเลียงความชื้นสูงมาปะทะมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสะท้อนให้เห็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ คือ สภาวะอากาศสุดขั้วที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นนัยว่า ประเทศไทยจะเผชิญกับภัยพิบัติมากกว่าเดิม ยืนยันได้จาก Global Climate Risk Index 2021 สำรวจสถิติในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศเสี่ยงเผชิญน้ำท่วมมากที่สุดในโลก พร้อมทั้งเจอกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่า 140 ครั้ง จึงทำให้อยู่ในอันดับ 9 ของโลกที่เผชิญกับความเสี่ยง
แต่การจัดการปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้สะท้อนว่าไทยยังไม่มีแผนรับมือกับภัยพิบัติที่มาจากความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในการรับมือของชุมชน รายงานจากสหประชาชาติระบุว่า มีเพียง 50% ของชุมชนท้องถิ่นไทยในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติที่ได้รับการอบรมเตรียมการป้องกันและรู้จักการเตือนภัยจากรัฐ
เช่นเดียวกับรายงานสถานะของสภาพภูมิอากาศในเอเชีย ปี 2023 ระบุว่าประเทศไทยไม่มีรายงานข้อมูลการสร้างการรับรู้ความเสี่ยงแก่ประชาชน รวมทั้งข้อมูลการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ แม้ไทยพยายามดำเนินพันธกิจตามกรอบ การดำเนินงานเซนไดเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติของสหประชาชาติ
กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญในเขาวงกต
ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ซึ่งมีที่มาหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังรัฐประหาร ปี 2557 นั้น เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนและพิลึกพิลั่นราวกับละครการเมืองเรื่องยาว ที่ตั้งใจคิดฉากหักมุมมาเสิร์ฟจนคนดูเหนื่อยไปตามๆ กัน หากใครลองวางตาจากข่าวสารไปเพียงชั่วครู่ ก็อาจตามไม่ทันแล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดเดินทางไปถึงจุดไหน มีเงื่อนไขทางกฎหมายอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง และความหวังที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนั้นยังคงอยู่ดีหรือไม่
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติในคดีที่ประธานรัฐสภาขอให้วินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ และต้องทำประชามติตลอดกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมดกี่ครั้ง ในขั้นตอนใดบ้าง
ประเด็นแรก ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบ ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน
ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ ‘รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง’
ประเด็นที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่
ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร
ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
โดยการออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
iLaw ตั้งข้อสังเกตต่อคำวินิจฉัยนี้ว่า ยังไม่ได้ให้ความชัดเจนต่อคำถามที่ถกเถียงกันมาตลอดหลายปีว่าสุดท้ายแล้วต้องทำประชามติกี่ครั้ง ตุลาการเสียงข้างมากบอกว่าครั้งที่ 1 และ 2 จะรวมกัน ‘ก็ได้’ ซึ่งหมายความว่า จะทำประชามติ ‘2 ครั้งก็ได้ หรือทำ 3 ครั้งก็ได้’ จึงยังไม่ชัดเจนอยู่ดี
อีกประเด็นคือ จะเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ตอบคำถามที่ไม่ได้ถามไปด้วย นั่นคือการระบุว่า ‘รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง’ เมื่อพิจารณาคำถามที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญของผู้เสนอญัตติทั้ง 2 คน ไม่ได้มีคำถามใดกล่าวถึงประเด็นการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. แต่อย่างใด
การวินิจฉัยเช่นนี้ ส่งผลต่อภาพหวังเดิมที่ สสร. จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อหาตัวแทนไปจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่แน่ใจว่าประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในกติกาสูงสุดของประเทศอย่างแท้จริงนั้น ดูจะติดขัดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อมา สิ่งที่สร้างเขาวงกตไม่รู้จบ คือการถกเถียงถึงคำถามในประชามติ หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10-12 ธันวาคมที่สภาร่วมประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รอบสอง
สภาลงมติมาตรา 256/28 ในวาระที่ 2 เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า สว. 1 ใน 3 จะมีอำนาจในการเห็นชอบรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในที่สุดสภามีมติ 329 ต่อ 302 ไม่เห็นด้วยกับการตัดอำนาจ สว. ที่จะเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ช่วงที่พรรคประชาชนได้จะเสนอให้นับคะแนนใหม่ ณัฐวุฒิ เรืองปัญญา หัวหน้าพรรคประชาชนได้ขึ้นกล่าวว่า "ไม่สามารถยอมรับให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เดินไปได้ [หากคงอำนาจสว.เห็นชอบรัฐธรรมนูญ] ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา" ตาม MOA ที่พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยได้ตั้งเงื่อนไขว่า หากพรรคประชาชนโหวตอนุทินเป็นนายกฯ รัฐบาลจะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยุบสภาภายใน 4 เดือน
กลางดึกคืนนั้น นายกรัฐมนตรีก็ได้ประกาศ "ขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชน" ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าฝ่ายค้านกำลังเตรียมรวมรายชื่อสส. เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เป็นอันว่ารัฐบาลอนุทินได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคม นำมาสู่การเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ และการลงประชามติรัฐธรรมนูญในวันเดียวกัน
ธุรกิจสแกมเมอร์และความสัมพันธ์กับนักการเมือง
ตลอดปีที่ผ่านมา หัวข้อที่ว่าด้วย ‘การปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์ข้ามชาติ’ ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
ในขณะที่ประเทศไทยยังยักแย่ยักยันกับการตอบตกลงเพื่อลงดาบปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศอื่นๆ เริ่มปฏิบัติการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่ได้ส่งคิม จีนา รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนที่สอง เดินทางถึงกรุงพนมเปญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรม ตำรวจ และหน่วยข่าวกรอง เพื่อประสานงานการส่งตัวชาวเกาหลีที่ถูกควบคุมตัวในกัมพูชากลับประเทศ หลังจากมีเหตุการณ์นักศึกษาเกาหลีใต้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต โดยคาดว่านักศึกษาคนดังกล่าวจะเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในธุรกิจสแกมเมอร์
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการทูตที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างกัมพูชาและเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ยังพยายามส่งตำรวจมายังกัมพูชาเพื่อจัดตั้ง ‘สำนักงานเกาหลี’ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานร่วมกับตำรวจกัมพูชาได้โดยตรง แทนที่จะต้องดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่สถานทูต
ต่อมา สำนักข่าวในเกาหลีได้รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมเปิดเผยรายชื่อนักการเมืองไทยราว 7 คนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์ในกัมพูชา แต่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และ สถานทูตเกาหลีใต้ ออกคำชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็น ข้อมูลเท็จ และไม่มีหลักฐานจากทางการยืนยันตามที่ถูกกล่าวหา
จากนั้น รังสิมันต์ โรม ส.ส. จากพรรคประชาชนได้เปิดเผยหลักฐานใหม่เกี่ยวกับโครงข่ายธุรกิจสีเทาที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะสแกมเมอร์ในกัมพูชา จึงเป็นที่มาเรื่องราวของ เบน สมิธ นักธุรกิจชาวแอฟริกันที่พยายามขอสัญชาติไทย มีภาพถ่ายคู่กับข้าราชการ นักการเมืองชื่อดัง ทักษิณ ชินวัตร ธรรมนัส พรหมเผ่า รวมทั้งอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทยด้วย
ต้นเดือนพฤศจิกายน อนุทินพยายามยืนยันต่อความจริงจังในการปราบสแกมเมอร์ และกล่าวว่า “พร้อมปราบสแกมเมอร์ทุกระดับ” จึงจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติแก้ไขและป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์อย่างจริงจัง ต่อมาในเดือนธันวาคม มีการประกาศยึดทรัพย์ 3 เครือข่ายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ข้ามชาติ ได้แก่เครือข่าย ยิม เลียก, เบน สมิธ, ก๊ก อาน และ เฉิน จื้อ มูลค่ารวมกันกว่าหมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ฝ่ายค้านและประชาชนยังคงจับจ้องไปยังธรรมนัส พรหมเผ่า มีเสียงเรียกร้องให้ ‘ปลด’ ออกจากตำแหน่งรัฐบาล จากหลักฐานที่ชี้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับเบน สมิธ เนื่องจากเบน สมิธเคยว่ายวานให้ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษาของธรรมนัส เป็นทนายความยื่นฟ้องรังสิมันต์ในข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จากกรณีพาดพิงเขาว่าเป็นสแกมเมอร์
เศษวัสดุตกจากทางด่วนพระราม 2 - ถนนยุบ
ความเสี่ยงที่คนไทยต้องเจอจากการก่อสร้างบนท้องถนน
ปีนี้มีหลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เริ่มจากข่าวว่า เศษวัสดุตกจากทางด่วนพระราม 2 ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลถึงมาตรฐานการก่อสร้างและการตรวจสอบถนนและสะพานต่างๆ
อุบัติเหตุบนถนนเส้นพระราม 2 เริ่มเกิดบ่อยครั้งขึ้นนับตั้งแต่เกิดโครงการสร้างทางหลวงพิเศษ ตามแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 – 2579โดยมีสถิติอุบัติเหตุบนถนนพระราม 2 ตั้งแต่ปี 2561-2566 ทั้งหมด 2,243 ครั้ง บาดเจ็บ 1,304 คน และเสียชีวิต 143 คน
หลังจากที่เมื่อปลายปีที่แล้วมีอุบัติเหตุพังถล่มหน้าตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งทางรัฐบาลยืนยันว่าจะมีการทบทวนมาตรการความปลอดภัยการก่อสร้างนี้มากขึ้น
จนกระทั่งล่าสุดเกิดเหตุพังถล่มของโครงสร้างระหว่างการก่อสร้างทางยกระดับพระราม 2 เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิต 6 คน และบาดเจ็บ 26 คน เรื่องนี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงมาตรการความปลอดภัยและขาดความเชื่อมั่นต่อโครงการก่อสร้างของรัฐบาล ต่อจากนั้นก็ยังคงมีข่าวสิ่งของตกใส่รถอยู่อีกเรื่อยๆ
การก่อสร้างตามแนวถนนพระราม 2 มีโครงการหลักคือโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองถนนกาญจนาภิเษก(ด้านตะวันตก)-ปากท่อ (M82) ตามแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 – 2579 ซึ่งแบ่งย่อยเป็นอีก 2 โครงการคือโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก มีการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้ว่าจ้าง และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน – บ้านแพ้ว มีกรมทางหลวงเป็นผู้ว่าจ้าง
ภายหลังการจัดซื้อจัดจ้างผู้รับเหมา โครงการทางหลวง M82 นี้จึงมีการทำสัญญากับบริษัทเอกชนทั้งหมด 18 สัญญา โดยแบ่งระยะการก่อสร้างทางพิเศษ-ทางหลวง และมีสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น โครงการขยายถนนหรืองานสร้างระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง
ส่วนจุดเกิดเหตุล่าสุดคือส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ในสัญญาที่ 3 เป็นงานก่อสร้างทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจรคร่อมตามแนวทางพิเศษเฉลิมมหานครช่วงดาวคะนอง-สุขสวัสดิ์-ราษฎร์บูรณะ โดยมีผู้รับเหมาคือกลุ่มกิจการร่วมค้า ไอทีดี – วีซีบี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด) มีกำหนดการนับตั้งแต่วันเริ่มสัญญาวันที่ 10 มกราคม 2565 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 25 ตุลาคม 2567
ด้วยสัญญาที่มีจำนวนมากและก่อสร้างในเวลาใกล้เคียงกันในระยะทางที่ยาวหลายกิโลเมตร ทำให้ถนนพระราม 2 เผชิญกับรถติดมายาวนานหลายสิบปีพร้อมกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างทางยกระดับที่อยู่เหนือถนนภาคพื้นดิน ซึ่งมักเกิดเหตุเศษอุปกรณ์การก่อสร้างหล่นหรือการพังถล่มอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากการก่อสร้างรูปแบบนี้ต้องใช้ความละเอียดและมีปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดเหตุ เช่น การก่อสร้างในช่วงกลางคืน
นอกจากนี้ การก่อสร้างระยะทางยาวนี้ยังต้องคำนึงถึงความแตกต่างในลักษณะพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย เช่น บางระยะอยู่ใกล้กับพื้นที่ชุมชนหรืออยู่คร่อมกับถนนที่แคบทำให้ปิดถนนเพื่อก่อสร้างไม่ได้ จึงต้องก่อสร้างอยู่บนถนนที่มีประชาชนขับรถสัญจร ทำให้การก่อสร้างจึงต้องสร้างตอนกลางคืนเป็นหลัก ทำให้งานล่าช้าออกไปอีกด้วยเวลาการทำงานที่จำกัดและอันตรายต่อแรงงานก่อสร้าง
อีกเหตุการณ์ที่สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน เมื่อเกิดเหตุระทึกกลางเมืองในเช้าวันที่ 24 กันยายน 2568 พื้นถนนหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลยุบตัวลง กลายเป็นหลุมลึกกว้างราว 30 คูณ 30 เมตร อ้างอิงความลึกถึงจุดลึกที่สุดจากภาพสแกนประมาณ 21 เมตร
แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่เรื่องไม่คาดฝันนี้ก็ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งโรงพยาบาลที่ต้องปิดรับผู้ป่วยนอก สถานีตำรวจนครบาลสามเสนและตึกแถวที่มีความเสี่ยงเรื่องโครงสร้าง การจราจรที่สับสน และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเสียหาย ทำให้ประชาชนบริเวณใกล้เคียงประสบความเดือดร้อนกายและไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกหรือเปล่า
จริงอยู่ที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบท้องถิ่นลงพื้นที่อย่างรวดเร็ว รวมถึงนายกฯ คนใหม่หมาด อนุทิน ชาญวีรกูล ก็เร่งสั่งการประสานงานหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ปกติโดยเร็ว
นายกฯ อนุทินให้สัมภาษณ์ว่า สถานที่เกิดเหตุคือพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงใต้ ช่วงหน้าวชิรพยาบาล เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุมาจากท่อประปาแตก ฝนตกหนักชะล้างดินถมใต้ถนนเกิดเป็นโพรงจนพื้นถนนทรุดตัวลงด้านล่าง ส่วนการซ่อมแซมโครงสร้างของอุโมงค์รถไฟฟ้าและพื้นถนนทรุดคาดว่าต้องใช้เวลาถึง 1 ปี
พ.ร.บ. อากาศสะอาดต้องนับหนึ่งใหม่หลังการเลือกตั้ง
มลพิษทางอากาศกลายเป็นภัยคุกคามทางสุขภาพของคนทั่วโลกมาอย่างเนิ่นนาน โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่ถูกพูดถึงมากและเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขอย่างจริงจัง
จากแรงผลักดันของภาคประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. หรือ พ.ร.บ.อากาศสะอาด เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภา ซึ่งนับตั้งแต่ 17 มกราคม 2567 สภาก็ได้มีมติเอกฉันท์ รับหลักการร่างกฎหมาย และจัดตั้งกมธ. ศึกษาดูแลร่างกฎหมาย จากนั้นเปิดให้ประชาชนลงความคิดเห็นกลางปี 2568
เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาวาระ 2 และ 3 สภาได้ลงคะแนนผ่านกฎหมายอย่างท่วมท้น และส่งต่อไปให้ สว. พิจารณาในขั้นสุดท้าย แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับข่าวลือการยุบสภาตามมาเรื่อยๆ หลายภาคส่วนจึงพยายามผลักดันให้มีการ ‘เร่ง’ พิจารณา แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการ เพราะรัฐบาลได้ประกาศยุบสภา ทำให้ พ.ร.บ. อากาศสะอาด พร้อมกฎหมายอีกประมาณ 88 ฉบับต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่
พ.ร.บ.อากาศสะอาด ครั้งนี้มีใจความสำคัญตรงที่ ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) โดยจัดการปัญหาอากาศเสียแบบทั้งระบบ และเป็นครั้งแรกของไทยที่จัดการต้นตอของมลพิษ เช่น การเผาในที่โล่ง รถยนต์ โรงงาน การก่อสร้าง และกิจกรรมของรัฐเอง พร้อมทั้งระบุให้รัฐ ‘รับผิดชอบ’ หากละเลยหรือไม่บังคับใช้กฎหมาย อาจถูกตรวจสอบหรือฟ้องร้องได้ นับเป็นการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่การมาแก้ปัญหาปลายเหตุเมื่อเกิด PM2.5 เท่านั้น
THACCA ที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยงานสร้างสรรค์ไทย
1-2 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เราได้ยินคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ กระจัดกระจายอยู่ทุกซอกทุกมุมในสังคม เนื่องจากรัฐบาลในสมัยพรรคเพื่อไทยตั้งใจยกเป็นนโยบายเรือธงที่จะผลักดันวงการศิลปวัฒนธรรมไทยให้ก้าวหน้าและเป็น ‘จุดขาย’ ของประเทศ
และเราก็ได้ยินชื่อ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือ THACCA ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2567 โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และดำเนินงานในสังกัดสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ซึ่งยังไม่มีสถานะทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ
รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เคยผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พ.ศ. … เพื่อจัดตั้ง THACCA อย่างเป็นทางการ และเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความเห็นแล้วช่วง 1-30 เมษายน 2567 แต่การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลทำให้เรื่องนี้ล่าช้า ต่อมารัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ก็หยิบยกร่างกฎหมายขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งเมื่อ 24 ธันวาคม 2567 แต่ความคืบหน้าก็ยังล่าช้าเช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม คนในแวดวงหนัง ดนตรี ซีรีส์ ศิลปะ วรรณกรรม ต่างก็ได้ยินชื่อ THACCA ในหลากหลายวาระ ทั้งการผลักดันให้คนทำหนังไทยเดินทางไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ ภาพยนตร์ไทยว่าด้วยประเด็นทางสังคมและการเมือง นำเสนอผ่านความ ‘ตลกหน้านิ่ง’ ที่เพิ่งคว้ารางวัล Grand Prize AMI Paris จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ 2025 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้าน post-production จาก THACCA และ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชันไทย ประจำปีงบประมาณ 2568 หรือในอุตสาหกรรมหนังสือ คณะอนุกรรมการฯ ร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย จัดทำ ‘โครงการแปลหนังสือไทยสู่สากล’ และเข้าร่วมงานมหกรรมหนังสือนานาชาติไทเป 2024 (Taipei International Book Exhibition 2024-TIBE 2024) มหกรรมหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งถือเป็นตลาดซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือภาษาจีนที่สำคัญที่สุด ฯลฯ
แม้ว่าบางวาระบางโอกาสจะมีเสียงติติงหรือวิพากษ์วิจารณ์บ้างว่า THACCA เพิ่งเข้ามาสนับสนุนเมื่อตอนที่คนในวงการได้ผลักดันผลงานไปสู่ตลาดโลกได้แล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์ ‘เปลี่ยนตัวนายกฯ’ ขึ้นมา หลายคนออกมาแสดงความกังวลว่า หาก THACCA ไม่สามารถยืนระยะได้นาน หรือไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นวงการศิลปะ ภาพยนตร์ และวงการสร้างสรรค์อื่นๆ มักถูกรัฐจัดลำดับความสำคัญไว้ท้ายๆ
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยขึ้นเป็นรัฐบาล และไม่ได้เป็นเจ้าของนโยบายหลักของ THACCA ย่อมทำให้เกิดอาการลุ้นๆ ของคนในวงการอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่า อนุทินได้เข้าร่วมและเป็นประธานเปิดงานที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์หลายครั้งในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลแพทองธาร โดยเขาได้เชื่อมโยงนโยบายซอฟต์พาวเวอร์เข้ากับวิสัยทัศน์หลักของกระทรวงมหาดไทย ในการ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ ด้วยการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ในระดับชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งเป็นการนำนโยบายหลักของรัฐบาลมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่และฐานเสียงของพรรคอย่างเป็นรูปธรรม
ทางด้าน พิพัฒน์ รัชกิจประการ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ผลักดันนโยบาย ‘Sport Tourism’ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ THACCA ที่กำหนดให้กีฬาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การมุ่งเน้นในประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพรรคในการยกระดับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้เป็น ‘กระทรวงเศรษฐกิจ’ โดยใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้อาจสะท้อนว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ในฐานะ อุตสาหกรรมที่ต้องสร้างกลไกและงบประมาณเหมือนพรรคเพื่อไทย ดังนั้นอาจมีแนวโน้มว่าจะเน้นไปที่การทำงานผ่านกระทรวงต่างๆ เป็นหลัก ไม่ได้ทุ่มเททรัพยากรไปที่ THACCA เพียงหน่วยงานเดียว
ดังนั้น ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยหากการดำเนินงานของ THACCA ต้องหยุดชะงักหรือชะลอภารกิจต่างๆ ลง เพราะที่ผ่านมาเป็นความพยายามที่เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ แม้จะมีช่องโหว่และข้อวิจารณ์อยู่บ้างก็ตาม
บทความต้นฉบับได้ที่ : ท่ามกลางกระแสมากมายที่เข้ามาและผ่านไป นี่คือ 7 เรื่องของปี 2025 ที่เราไม่อยากให้ลืม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 2025 ปีที่หนังสะท้อนว่า ผู้คนต้องการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
- เจาะลึกความสำเร็จของ ‘ซูเปอร์สตาร์’ ดนตรีแห่งปี 2025
- ทำไมการร่วมมื้ออาหารจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีอะไรแทนได้ ในสายตานักเศรษฐศาสตร์
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath