โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

สิริพรรณ : ล็อกชนชั้นนำในเกมเลือกตั้ง เพื่อไทย-ภูมิใจไทย-กล้าธรรม จับมือตั้งรัฐบาล

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี

อีกเดือนเศษสงครามการเมือง 3 ก๊ก แดง ส้ม น้ำเงิน ก็จะถึงบทสรุป

เป็นฉากจบผ่านการเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569

โหรการเมืองเริ่มพยากรณ์-คาดการณ์ โฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ ภูมิใจไทย-เพื่อไทย-กล้าธรรม หรือเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาชนตั้งรัฐบาล

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี นักวิชาการรัฐศาสตร์ ภาคปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญการเมืองเปรียบเทียบ ระบบเลือกตั้ง และพรรคการเมือง วิเคราะห์สมรภูมิเลือกตั้ง ในสมการที่ฝ่ายชนชั้นนำอนุรักษนิยม ผนึกกลุ่มทุน กำลังล้อมกรอบฝ่ายก้าวหน้า

วิเคราะห์ฉากเลือกตั้งเป็นอย่างไร

เชื่อว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยจะลดด้วยเหตุผล 3 อย่าง คือ ข้ามขั้ว ไม่สามารถส่งมอบนโยบาย และ โทรศัพท์คุณแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน แต่จะลดแค่ไหน ประเด็นแรก ประชาชนที่ติดใจกับ 3 เรื่องอาจไม่ใช่คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว อาจมีอยู่บ้างที่โหวตพรรคเพื่อไทย

ดังนั้น คะแนนบัญชีรายชื่อ 10.96 ล้านคะแนน ได้ สส. 29 คน ต่อให้หายไปครึ่งหนึ่งยังไงก็เหลือ สส. 15 คน ส่วนตัวเลข สส.เขต 112 เขต เท่าที่คุยกับคนในพรรค เขามั่นใจ 60 ที่นั่ง จากที่เคยได้ 112 เขต ขณะที่มี สส.พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไปประมาณ 15 คน แต่ก็มีเข้ามาจากพรรคพลังประชารัฐ กลุ่มกำแพงเพชร เมื่อเหลือ สส. 100 คน เป็นของแท้ 60 คน รวมกับ สส. ที่จากปกติจะกลับเข้าสภามาได้ 30% ดังนั้น ต่ำสุดของเพื่อไทย 110 +-

พรรคภูมิใจไทย ครั้งที่แล้วได้ สส.เขต 68 คน บัญชีรายชื่อ 3 มี สส.ไหลเข้ามา 65 คน สมมติว่าได้กลับมาหมด อาจจะตี สส.พรรคเพื่อไทยได้อีก เพดานของพรรคภูมิใจไทย +- น่าจะไม่เกิน 140 ที่นั่ง

บัญชีรายชื่อจาก 3% ขึ้นมา 10% การที่คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ และคุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ไม่มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ทำให้น้ำหนักอ่อนลง ซึ่งเขาคิดถูกแล้ว และโอกาสที่จะได้เป็นนายกฯ คือ 0 และยังต้องมาขึ้นเวทีดีเบตแทน มาเป็นหนังหน้าไฟให้ ดังนั้น เป็นการตัดสินใจแบบมีเหตุมีผล

ส่วนที่เป็นคำถามใหญ่ เป็นปริศนาธรรมมากคือพรรคประชาชน บวกได้ ลบได้ ขึ้นกับกระแสตอนนั้น ถ้าให้ประเมิน ณ วันนี้ประมาณ 150 อาจจะต่ำกว่านั้นนิดหนึ่ง แต่ยังเชื่อว่าเป็นพรรคอันดับหนึ่งอยู่ เพราะดูจากโพลทุกสำนัก รวมถึงโพลออนไลน์เขายังเป็นอันดับหนึ่ง และถ้าไม่ได้ไปโหวตอนุทินเป็นนายกฯ อาจจะได้มากกว่านี้ 180-200 ได้ แต่หลังจากกรณีนี้ อาจทำให้คนไม่มั่นใจ และทำให้เกิดคำถามถึงวุฒิภาวะการตัดสินใจ จึงให้เท่าเดิม 150 ที่นั่ง

ดังนั้น พรรคประชาชนได้มากสุด 150 พรรคภูมิใจไทย 140 + – พรรคเพื่อไทย 110 +- รวมกัน 400 แต่ทั้ง 3 ก้อนนี้บวกและลบได้มาก อาจจะสะวิงไปทางใดทางหนึ่งได้ แต่ยังเชื่อว่าพรรคประชาชนเป็นอันดับหนึ่งโดยที่คะแนนทั้ง 3 พรรคอาจจะไม่ได้ห่างกันมาก

ในเชิงจัดการขั้วทางการเมือง เพื่อไทย ภูมิใจไทย กล้าธรรม ร่วมรัฐบาลมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่

คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด เพียงแต่พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ใครจะเป็นนายกฯ ถ้ามองถึงความเข้มข้นถึงความต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อไทยในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าใช้ต้นทุนหน้าตักแทบไม่เหลือแล้ว หงายไพ่ทางการเมืองของผู้เล่นการเมืองค่อนข้างชัด พรรคภูมิใจไทย น่าจะได้เปรียบในแง่นี้

แต่ข้อท้าทายของพรรคภูมิใจไทย จะสามารถชนะในสนามเลือกตั้งจริงหรือเปล่า ถ้ากลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่เปลี่ยนนายกฯ ที่ไว้ใจได้มากที่สุด

โจทย์นี้เป็นเพื่อไทย จะยอมเป็นเบี้ย ลมใต้ปีกให้พรรคภูมิใจไทยไหม ถ้าพรรคเพื่อไทยยอม มองไปในอนาคตข้างหน้าอาจทำให้คนยิ่งผิดหวังเข้าไปใหญ่

แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ยอม ยังไงการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ใช้เวลาหลายเดือน เพราะจะแทนที่พรรคเพื่อไทยด้วยอะไร พรรคประชาธิปัตย์ อย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 35 ที่นั่ง และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม จึงเป็นโจทย์ที่ทุกคนล็อกเงื่อนไข ล็อกกุญแจไว้หมด พรรคเพื่อไทยมีคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน พร้อมที่จะร่วมกับใครก็ได้ ดร.เชน (ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์) ก็บอกว่าร่วมกับพรรคไหนก็ได้

'ยศชนัน' วอนเล่นการเมืองสร้างสรรค์

อาจเป็นจุดลงตัวสำหรับพรรคเพื่อไทย ในการเป็นรัฐบาลเพื่อได้คุมกระทรวง

น่าจะเป็นไปทางนั้น พรรคเพื่อไทยไม่ชินกับการเป็นฝ่ายค้าน ถ้าพรรคภูมิใจไทยมาเป็นอันดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทยก็คงต้องยอมให้คุณอนุทินเป็นนายกฯ อาจารย์เชนก็อาจเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ฝึกประสบการณ์ แต่ต้องวัดกันว่าฐานเสียงพรรคเพื่อไทยจะรับได้ไหมในระยะยาว

ความขัดแย้งก็จะสูงอยู่ดี เพราะทั้ง 3 พรรคก็ไม่ได้ลงรอยกันไปเสียหมด เชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยอยากแก้รัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกัน ส่วนนโยบายอื่นที่เป็นนโยบายเพื่อไทย เช่น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ก็อาจจะถูกขัดขวางโดยพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงเชื่อว่าเพื่อไทยอยากแก้รัฐธรรมนูญจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องคิดให้ดีว่าคุ้มไหม ถ้าจะเป็นพรรคร่วม

จะมีโจทย์ใหม่ที่เรียกว่า “โหวตเชิงยุทธศาสตร์” ก้าวพ้นขั้วเดิมหรือไม่

คนต้องการเปลี่ยนแปลง แต่คนจะรู้แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่า มีดีกรีของมัน ตอนนี้สังคมไทยมีแต่ขาวกับดำ เอาไม่เอา เปลี่ยนไม่เปลี่ยน และสังคมก็ถูกผลักให้คิดแบบนั้นโดยไม่มองเลยว่ามีทางตรงกลางอยู่

เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับเอาไม่เอา ทั้งที่พูดกันแล้วว่าการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับประชาชนไม่รู้ว่าแก้อะไรบ้าง ตัวเองสู้หัวชนฝามาหลายรอบแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่มันแก้ไม่ได้ ทำไมคุณไม่เสนอรายมาตราควบคู่ไปด้วยแล้วบอกว่าแก้อะไรบ้าง นี่คือช่องทางตรงกลางที่มีทางอยู่ แต่ถูกเล่าวาทกรรมว่ามีแค่เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน

ดังนั้น เวลาที่บอกว่าเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าจะต้องเปลี่ยนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่ปัญหาเรื่องเปลี่ยนคนก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า อยากเปลี่ยนมาเลือกรัฐบาลมาเลือกพรรคประชาชน ครั้งนี้คุณเท้ง (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) บอกว่าจะไม่ร่วมกับคุณอนุทิน แต่ในความหมาย ถ้าคุณอนุทินเป็นนายกฯ แต่ถ้าพรรคประชาชนเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้บอกนะว่าจะร่วมกับใครไม่ได้ ยกเว้นพรรคกล้าธรรม ดังนั้น มีส้มก็อาจจะมีน้ำเงินได้ แต่ส้มต้องเป็นนายกฯเท่านั้น แต่จะเกิดขึ้นหรือเปล่า

ถ้ามองในแง่นี้ สำหรับพลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ถ้าตอบโจทย์นี้ ส้มแดงคือพลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เป็นโซลูชั่นที่ไม่ตรงกลาง แต่ในแง่พลังจะแข็งมาก เพราะเป็นจุดยืนที่คล้ายกันมากที่สุด จึงกัดเหลี่ยมกันเอง อยากแก้รัฐธรรมนูญคล้ายกัน แนวทางพัฒนาประเทศในทางก้าวหน้าเหมือนกัน การให้สวัสดิการ เป็นพรรคที่ชัดเจนเรื่องนี้มากที่สุดเหมือนกัน

อนุทิน

แต่ทั้ง 2 พรรคมีคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันเอาไว้ ชนชั้นนำล้อมกรอบพรรคการเมืองก้าวหน้า ไม่ให้ขยับเกินกรอบ และไม่ให้โอกาสจับมือร่วมกันได้ แถมยังทำให้ 2 พรรคต่างฝ่ายต่างสู้กันแล้วทำให้อ่อนแอ นี่คือยุทธศาสตร์ของกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งกลุ่มชนชั้นนำในที่นี่ไม่ใช่แค่ทหารกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แต่ประกอบด้วยทุนที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง ทุนที่ได้ประโยชน์สัมปทานจากรัฐ กลุ่มทุนผูกขาด มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทหาร ระบบราชการ องค์กรอิสระ ศาล และปัจจุบันก็มีพรรคอย่างพรรคภูมิใจไทยเป็น Partner อยู่ในยุทธศาสตร์นี้ร่วมกัน

ซึ่งจะต่างกับพรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติข้ามขั้ว ซึ่งครั้งนั้นถูกสะกิดมาเป็น Proxy เป็นกันชน แต่ครั้งนี้พรรคภูมิใจไทยเข้าไปอยู่ในองคาพยพของชนชั้นนำ แล้วพยายามล้อมกรอบพรรคฝ่ายก้าวหน้าไม่ให้ขยับได้มาก

ดังนั้น ถ้าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เร็วกว่าพรรคร่วมรัฐบาลแบบเดิม ก็ต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเป็นพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย แต่จะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า เพราะทั้งสองพรรคก็ถูกปืนจี้คอให้เดินไม่ได้ มีตัวประกันอยู่

กลุ่มทุนที่มีสายสัมพันธ์ทหาร ที่ได้สัมปทานจากรัฐ กลุ่มทุนผูกขาด เป็นตัวกำหนดว่าพรรคไหนจะชนะโดยการให้เงินทุน ถ้าเขาถอนเงินออกมา พรรคก็ไม่เยอะขนาดนี้ เวลาพูดถึงชนชั้นนำมี Dynamic แบบนี้

การเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาออกมาจากรั้วอำมาตย์ ออกมาสู่รั้วธุรกิจมากขึ้น

ไม่รู้จุดเปลี่ยนมาจากไหน แต่อาจมาตั้งแต่ยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วก็ได้ การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเห็นชัดขึ้น การจัดตั้งพรรคการเมืองต้องใช้ทุน โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้การจัดตั้งพรรคการเมืองต้องใช้ทุน และยิ่งมีพรรคการเมืองเล็ก ๆ หลายพรรค ทำให้ต้องเลี้ยงพรรคเหล่านี้ทุกเดือน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทุนเข้ามาโอบรับค่าใช้จ่าย ต่อเนื่องมาถึงครั้งนี้

และพอไม่มีฉันทามติในสังคม เป็นพรรคใหญ่พรรคเดียว โอกาสที่พรรคอื่นจะเข้ามาเป็น Kingmaker จัดตั้งรัฐบาลก็มี ดังนั้น นายทุนที่อยากตั้งพรรคการเมืองไม่จำเป็นพรรคอันดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีพรรคเขาก็จัดตั้งรัฐบาลอะไรไม่ได้ คล้าย ๆ กับเป็นอำนาจเบล็กเมลล์ไปในตัว

เลือกตั้งครั้งนี้จะทำลายกลุ่มทุนเหล่านี้ได้หรือไม่

ไม่มีทาง ในการเลือกตั้งครั้งหน้าในอนาคตไม่แน่ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ 4 กลุ่มนี้แหละจะแข็งแกร่ง

การเลือกตั้งครั้งถัดไป จะกร่อนอำนาจกลุ่มเหล่านี้ได้ไหม

ยังไม่เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งถัดไปจะเป็นยังไง ตอนนี้ยังไม่เห็น เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่สังคมอยู่ในจุดที่..เหมือนพรรคภูมิใจไทยกำลังจะสร้างบ้านใหญ่ที่ใหญ่มาก เป็นที่รวมของบ้านใหญ่ แต่ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยไม่เคยเป็นพรรคใหญ่ สายการบังคับบัญชาเป็นแนวดิ่ง

แต่พอมีบ้านใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองขึ้นมา คุณต้องพึ่งพาเขา การบังคับบัญชาก็เป็นแนวนอน จะฟังกันหรือเปล่า ดังนั้น จุดนี้ โดยธรรมชาติไม่น่าจะใหญ่ขึ้น อาจจะคล้ายกับระเบิดเวลาในตัวเอง

หากเปรียบเทียบพรรคภูมิใจไทยปัจจุบัน เทียบกับพรรคไทยรักไทย ปี 2544 สิ่งที่ต่างกันคือ พรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้ง ประสบความสำเร็จจากนโยบาย องค์กรพรรคการเมืองที่แข็งแกร่ง จึงมาควบรวม

แต่ของพรรคภูมิใจไทย บ้านใหญ่ ซ้อนบ้านใหญ่ สิ่งที่รวมกันไว้ได้คือ อาจมีปัจจัยบางอย่างให้มารวมกัน แต่ไม่ได้มีนโยบายหรือความเชื่อมั่นในพรรคภูมิใจไทย แต่ในแง่ความคล้ายกันในบริบท คือ ในแง่ของระบบเลือกตั้ง ที่พรรคเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ ในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว พรรคชาติไทยพัฒนา ได้คะแนนบัญชีรายชื่อไม่ถึง 1% แต่ได้ สส. เพราะมีการปัดเศษ คือ คุณวราวุธ ศิลปอาชา ถ้าคุณวราวุธไม่ย้ายมาพรรคภูมิใจไทย อาจไม่ได้เป็น สส.ก็ได้

ดังนั้น ศักยภาพในการแข่งขันของพรรคขนาดเล็กลดลง รวมถึงความคาดหวังใหม่ ๆ ของคนที่เปลี่ยนไป คนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง ต้องการความชัดเจนว่าจะเลือกพรรคไหน ดังนั้น ก็จะเหลือแค่ 3-4 พรรคเท่านั้น คุณสุชาติ ชมกลิ่น จะได้เป็น สส.หรือเปล่าถ้ายังอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ดังนั้น เป็นปัจจัยที่ผลักให้พรรคเล็ก ต้องหาพรรคใหญ่ที่มีศักยภาพ

เงินเทา เข้ามาง่าย และไม่มีการจัดการกับสิ่งเหล่านี้ พอเงินมีก้อนใหญ่ที่พร้อมเข้ามาใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เงินซึ่งเราเคยคิดว่าไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาด มันจะเป็นปัจจัยมากขึ้น เป็นน้ำหล่อเลี้ยง ซึ่งพรรคเล็ก ๆ พรรคขนาดกลางจะเอาทุนมาจากไหน เพราะแต่ละเขตต้องมีเงินหลายสิบล้านต่อเขต ทำให้พรรคขนาดเล็ก ขนาดกลางอยู่ได้ยาก จึงต้องมาหาพรรคที่มีเงินอัดฉีดได้เต็มที่ และถ้าเรามองภาพใหญ่ เหมือนกับคุณอนุทินเป็นนายกฯ ที่ชนชั้นนำชอบมากที่สุด เลือกด้วยความเชื่อว่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด

อุดมคติมากไปไหมหาก เพื่อไทย บวกพรรคประชาชนเพื่อไปสู่ทางเลือกใหม่

อะไรอุดมคติมากกว่ากันระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน รวมกัน กับโหวตพรรคประชาชน แลนด์สไลด์ คิดว่าพรรคเพื่อไทย จับมือพรรคประชาชนเป็นไปได้มากกว่าการที่พรรคพรรคประชาชนแลนด์สไลด์

เพราะตอนนี้พรรคประชาชนพยายามเสนอแนวคิดเดียวกับพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งคราวที่แล้วคือเลือกตั้งแลนด์สไลด์ ซึ่งเห็นว่ายาก

เรากำลังพูดว่า การเมืองไทยภายใต้กรอบชนชั้นนำที่พยายามจะล้อมกรอบพรรคฝ่ายก้าวหน้า สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือกลับไปเหมือนปี 44-48 ที่มีพรรคการเมืองที่เด่นเพียงพรรคเดียว เพราะเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำมองว่าเป็นภัยคุกคามสำหรับเขามากที่สุด ท้าทายกับการจัดระเบียบทางสังคม และครอบครองทรัพยากร เป็นการท้าทายเกินไป

ชนชั้นนำไม่ต้องการเห็นภาพนั้น ถ้าเกิดภาพนั้นขึ้นมา อาจจะมีปุ่ม SOS ขอความช่วยเหลือ อาจจะใช้มาตรการที่เด็ดขาดรุนแรงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

มีพรรคหลาย ๆ พรรคในระบบการเมือง ทุกครั้งที่จัดตั้งรัฐบาลผสม เพื่อให้คานอำนาจระหว่างกันและกันเอง ถ้าหากไม่ชอบพรรคใดพรรคหนึ่งก็ใช้องค์กรอิสระเปลี่ยนพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำ คือสภาวะที่เขารู้สึกปลอดภัย และชนชั้นนำธุรกิจก็เข้ามามีส่วนด้วย และมาคุมด้วย ถ้าไม่ชอบก็ถอนเงินออกมา พรรคก็อยู่ไม่ได้พรรคการเมืองถูกล้อมกรอบ ทำให้อ่อนแอ ทำให้ทะเลาะกันเองโดยตั้งใจ

จะมีโอกาสเปลี่ยนการเมืองใหม่หรือไม่

เรากำลังอยู่ในความเชื่อที่มีขาวกับดำ เอาไม่เอา การเปลี่ยนทางการเมืองต้องเปลี่ยนไม่เอาบ้านใหญ่ มาสู่การเมืองใหม่ ให้สังคมเลือกแบบนี้ แต่คำถามคือ บ้านใหญ่คืออะไร มีหลายนัยยะ ส่วนตัวคิดว่าบ้านใหญ่คือบ้านที่ชนะเลือกตั้งติดต่อกันมาจะด้วยวิธีใดก็ตาม มีลูกศิษย์ที่เป็นบ้านใหญ่ เขาทำพื้นที่ ไม่ได้ซื้อเสียงแบบเอาเงินไปทุ่ม

เราอาจไม่อยากเห็นบ้านใหญ่แบบนี้มาครอบงำการเมือง พรรคประชาชนนำเสนอโมเดลการเมืองใหม่ เอาใครก็ได้มาลงสมัคร การที่เอาใครก็ได้มาลง จะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อพรรคมีความเข้มแข็งมาก กระบวนการเลือกคนที่สอดคล้องกับจุดยืนของพรรคจะต้องชัดเจน และเป็นที่ยอมรับได้

และคนที่เป็น สส.เขตจะต้องทำหน้าที่บางอย่างในฐานะที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพรรคกับประชาชนได้ดี แต่ถ้าพรรคยังไม่มีศักยภาพมากขนาดนั้น มันก็จะมีช่องว่าง เพราะความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความยากจน ยังต้องการการดูแลแบบดั้งเดิมยังมีอยู่ จะเปลี่ยนบ้านใหญ่มาเป็นบ้านใหม่ แล้วคนเหล่านี้จะพึ่งพาใคร เพราะ สส.หน้าใหม่ทำพื้นที่ ดูแลพื้นที่ไม่เป็น ดังนั้น คุณจะมีแต่บ้านใหม่ บ้านใหญ่ให้เลือก การเมืองยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนไปในทิศทางแบบนั้น

อย่างครั้งนี้ พรรคประชาชนเปลี่ยนผู้สมัครจำนวนมาก ทำงานการเมืองหรือเปล่า คำว่าดูแลพื้นที่ ไม่ใช่ดูถูกนะ แต่เป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องการ ดังนั้น พรรคประชาชนจะแลนด์สไลด์ด้วยเหตุปัจจัยอะไร สังคมต้องการความยึดโยงกับพื้นที่ เพราะถ้าบ้านใหญ่ใช้แต่เงิน ไม่ดูแลพื้นที่เขาก็ไม่เลือก เราเชื่อว่าคนฉลาดขึ้นจริง ๆ

เรากำลังมองการเมืองซ้ายกับขวา ขาวกับดำ แต่การเมืองที่มันค่อย ๆ เปลี่ยนยังต้องการพื้นที่ และเปลี่ยนโดยไม่สร้างแรงกระเพื่อมและความรุนแรงทางการเมือง ดังนั้น จึงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เร็ว

ย้อนมาคำถามว่าพรรคประชาชนจะแลนด์สไลด์ไหม สังคมยังไม่ได้เปลี่ยนไปถึงจุดนั้น และถ้าเปลี่ยนถึงจุดนั้น พรรคจะต้องมีโครงสร้างที่มารองรับการดูแลการเชื่อมโยงประชาชนที่ดีพอ ไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนจมน้ำตายเอง

ประเด็นเศรษฐกิจจะเป็นจุดที่ทำให้คนตัดสินใจเลือกตั้งหรือไม่

ประเด็นเศรษฐกิจเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งแน่นอน แต่ด้วยความที่แต่ละพรรคไม่ได้มีความต่างกันในการเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังนั้น เวลาประชาชนตัดสินใจด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเหมือนกันก็อาจจะเลือกคนละพรรคได้

ประเด็นเศรษฐกิจที่คนสนใจจริง ๆ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ยาก แต่ก็ต้องจำเป็น ให้โอกาสคนชั้นล่างได้มีชีวิตที่พออยู่ได้ แต่โหวตเตอร์จะมองว่าพรรคไหนให้ 3 อย่างนี้ ซึ่งแต่ละคนมองไม่เหมือนกัน บางคนเลือกพรรคประชาชน เพราะแก้ที่โครงสร้าง บางคนเลือกพรรคเพื่อไทย ยังไงก็ยังเชื่อมั่น บางคนเลือกพรรคภูมิใจไทย ได้เลยแจกเฉพาะหน้า ประเด็นเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่เวลาตัดสินใจอาจเลือกพรรคที่ต่างกัน

การตัดสินใจครั้งนี้ จุดยืนไม่ได้แข็งและเด่น เท่ากับ “มีเราไม่มีลุง” เพราะ 2 พรรคที่ชูธงประชาธิปไตย ผิดหวังทั้งคู่ จึงกลับมาสู่ทฤษฎีรัฐศาสตร์ ที่เรียกว่า Cognitive congruence model เลือกพรรคที่มีจุดยืนใกล้เรามากที่สุด หรือห่างจากเราน้อยที่สุด ไม่ว่าพรรคนั้นจะเสนออะไรก็ตาม แต่การรับรู้ สังเคราะห์ ประเมิน ประมวลผลและรสนิยมทางการเมืองของผู้เลือกตั้งว่าข้อเสนอของพรรคนั้นใกล้กับเรามากที่สุด

เป็นเหตุผลที่คะแนนในโพลต่าง ๆ 40% ที่ยังไม่ตัดสินใจ อาจจะยังรอดู ประเมินพรรค และประเมินตัวเองว่าเราใกล้กับพรรคไหนมากที่สุด

การเมืองขณะนี้ชูวาทกรรม ไม่เทาพรรคเทา จะมีผลต่อการเลือกตั้งแค่ไหน

มีเราไม่มีเทา หรือ เมฆหมอกสีเทา ไม่ได้เป็นตัวแทนของความต้องการของสังคมที่เป็นก้อนใหญ่ขนาดนั้น มันแคบ เป็นเรื่องการทุจริตที่มีมานาน การจับประเด็นของพรรคประชาชน หรือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตีไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ จึงแคบเกินไป ทั้งที่เราพูดถึงความเทา ไม่ใช่แค่สแกมเมอร์ แต่มันทุจริตที่โครงสร้าง การตรวจสอบถ่วงดุลที่ล้มเหลว

เช่น กรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม องค์กรที่ควรจะมาจัดการทำให้โครงสร้างประเทศโปร่งใส กลับมาคอร์รัปชั่นเสียเอง และไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย แต่มันถูกทำให้แคบลงมาโจมตีแค่ตัวบุคคล หรือ ตัวพรรคเท่านั้น ไม่ได้เสนอวิธีแก้ปัญหา ถามว่าสโลแกนนี้ใช้ได้ไหม ใช้ได้เฉพาะคนที่เป็นแฟนคลับพรรคอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถขยายผลที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นวาระของประเทศได้

ในที่สุดวาระของประเทศคือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงภัยพิบัติ และความมั่นคงชายแดน และที่สำคัญคนมองหาว่า แคนดิเดตนายกฯ หรือพรรคไหน ฉายภาพว่าหลังเลือกตั้งเราจะกอบกู้ซากปรักหักพังของความขัดแย้ง เศรษฐกิจเรื้อรัง ข้อพิพาทชายแดนให้เราอยู่ร่วมกันได้ในระดับที่สงบสุข มั่นคงและมั่นใจ ซึ่งเรายังไม่เห็นพรรคฉายภาพนี้

ยังไม่เห็น Agenda ของประเทศ ในคราวเลือกตั้ง 2566 ชัดว่าเราไม่ต้องการทหาร ปฏิเสธการรัฐประหาร แต่ครั้งนี้ชนชั้นนำ ใช้เกมความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาทำให้อ่อนแอ จากเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เอาทหารแล้ว มาวันนี้เชียร์ทหาร ทำให้มุมมองที่มีต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต มีหลายโหมดที่เป็นไปได้ ไม่กระจุกรวมอยู่ที่พรรคใดพรรคหนึ่งอดังนั้น จึงคิดว่ายากที่พรรคไหนจะมาแลนด์สไลด์ตอนนี้

40 กว่าวัน Agenda ที่ตอบโจทย์ประเทศจะมาไหม ใครเป็นคนถือธง

เราก็เดาแทนพรรคไม่ได้ ถ้าจะมีคนถือธงตามกรอบที่ว่ามา คงไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง พอกันทีที่จะหาผู้นำฮีโร่ ขี่ม้าขาว เราต้องผนึกกำลังกัน

เพราะสิ่งที่ชนชั้นนำ กลุ่มที่ต้องการดองประเทศประสบความสำเร็จที่สุดคือทำให้กลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแตกแยกกันเอง และอ่อนแอลง พลังที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจนแตกละเอียด ถ้าย้อนไปเหลืองแดง แบ่ง 2 ขั้ว แต่ตอนนี้แตกละเอียด ใครจะหยิบแก้วใบนี้มาประสานกัน อย่าไปพึ่งพรรคใดพรรคหนึ่ง จริง ๆ แล้ว ต้องมาช่วยกัน พรรคต้องช่วยกัน และคนต้องช่วยกัน

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สิริพรรณ : ล็อกชนชั้นนำในเกมเลือกตั้ง เพื่อไทย-ภูมิใจไทย-กล้าธรรม จับมือตั้งรัฐบาล

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...