โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เจาะลึกยุทธศาสตร์ "One Belt One Road"เส้นทางการค้าจีน ไทยได้หรือเสียประโยชน์ ?

TERRABKK

อัพเดต 15 ก.ย 2560 เวลา 03.36 น. • เผยแพร่ 12 ก.ย 2560 เวลา 08.24 น. • TERRABKK
เจาะลึกยุทธศาสตร์ "One Belt One Road"เส้นทางการค้าจีน ไทยได้หรือเสียประโยชน์ ?

          "One Belt One Road" หรือ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของจีน ที่ถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาประเทศ 5 ปี ฉบับปัจจุบัน โดยเชื่อมโยงทั้งทางบกและทะเลกับ 60 ประเทศ มีพลเมืองกว่า 4,000 ล้านคน โดยประเทศไทยก็ถือเป็น1ใน60ประเทศที่โครงการนี้พาดผ่าน นักวิชาการหลายคนกังวลว่าโครงการนี้จะทำให้จีนกอบโกยเม็ดเงินเข้าประเทศแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่ประเทศไทยนักธุรกิจเห็นว่าหากโครงการนี้สำเร็จจะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์โดยตรง และหนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง…!!!

CG: เจาะลึกยุทธศาสตร์ "One Belt One Road"เส้นทางการค้าจีน ไทยได้หรือเสียประโยชน์ ? 

        ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (One Belt, One Road-OBOR) หรือโครงการสายไหมศตวรรษที่ 21 ถือเป็นอภิมหาโครงการระดับโลกของจีน ที่จะเชื่อมโยงจีนไปทั่วโลก ตั้งแต่เอเชียถึงยุโรป ทั้งทางบกและทะเล ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประกาศโครงการนี้ขึ้นมา เมื่อเกือบ 4 ปีที่แล้ว ทำให้ทั่วโลกจับตามองว่าจีนกำลังพยายามแผ่อิทธิพลทั่วโลกครั้งใหญ่ เพราะโครงการนี้ต้องใช้เงินมหาศาล และทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้และความเสี่ยงว่า

       โครงการนี้อาจก่อให้เกิดวิกฤตการเงินระดับโลกอีกรอบ หลังจากธนาคาร ไชน่าคอนสตรักชั่น ซึ่งเป็นธนาคารรัฐขนาดใหญ่อันดับ 2 ของจีน เริ่มระดมทุน อย่างน้อย 1 แสนล้านหยวน (ประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศเพื่อนำไปสนับสนุนโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง 

        ที่ผ่านมา คนทั่วโลกไม่ค่อยสนใจโครงการ One Belt, One Road (OBOR) หรือเส้นทางสายไหมศตวรรษ 21 ที่ริเริ่มโดยจีน เพราะโครงการเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน แต่หลังการประชุมสุดยอด OBOR เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้คนทั่วโลกหันมาสนใจกับโครงการนี้ เพราะอยากจะรู้ว่า จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้นำที่ส่งเสริมการค้าโลกโดยชักจูงผู้นำประเทศต่างๆ มาเข้าร่วมประชุมได้มากน้อยเพียงไร ในยามที่สหรัฐอเมริกาในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ หันไปยึดนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”

นอกจากนี้โครงการ OBOR ได้ดำเนินไปแล้ว 3 ปีกว่า หลังประกาศเปิดโครงการครั้งแรก การประชุมระดับสุดยอดของผู้นำประเทศจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะรวมถึงการประเมินความสำเร็จและผลกระทบของโครงการต่อประเทศที่เกี่ยวข้อง เพราะ OBOR เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องใช้เงินลงทุนราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ เชื่อมโยง 60 ประเทศ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกาตะวันออกและเหนือ ส่งผลต่อ 65% ของประชากรโลก มีผลกระทบต่อ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก และ 1 ใน 4 ของการค้าโลก 

        โดยโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ประกอบด้วยเฉลียงทางบก 6 เส้นทาง และเส้นทางทะเล 1 เส้นทาง เส้นทางเฉลียงทางบกประกอบด้วย (1) เส้นทางยูเรเซีย (Eurasia) จากตะวันตกจีนถึงตะวันตกรัสเซีย (2) เส้นทางจีน-มองโกเลีย-รัสเซียตะวันออก (3) เส้นทางตะวันตกจีน-เอเชียกลาง-ตุรกี (4) เส้นทางจีน-แหลมอินโดจีน-สิงคโปร์ (5) เส้นทาง จีน-ปากีสถาน (6) เส้นทางจีน-พม่า-บังกลาเทศ-อินเดีย 

ส่วนเส้นทางทะเล เริ่มจากเมืองชายฝั่งของจีน ผ่านสิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

        รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ปัจจุบันจีนมีโครงการเชื่อมเส้นทางรถไฟจากเมืองคุนหมิง โดยมีปลายทางคือประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้ผ่านประเทศไทยและมีโครงการที่จะเข้ามาลงทุนในจังหวัดเชียงรายที่จะใช้เป็นจุดเชื่อมต่อ โดยรถไฟสายหนึ่งจะมาสู่แหลมฉบับและในอนาคตจะก่อสร้างจนถึงประเทศสิงคโปร์ และรถไฟความเร็วสูงยังจะเชื่อมกับระเบียงเศรษฐกิจของประเทศจีน คือ แนวมะละแหม่ง ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยจะเชื่อมต่อผ่านเส้นทางถนนกับเมืองทวาย ซึ่งไทยได้มีแผนรองรับเขตเศรษฐกิจที่สี่แยกอินโดจีน จ.พิษณุโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการขนส่งและโลจิสติกส์

        สำหรับความความสำเร็จของโครงการ OBOR ที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการเฉลียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน มูลค่า 62 พันล้านดอลลาร์ ที่ประกอบด้วยการสร้างถนน เส้นทางรถไฟ และโรงไฟฟ้า โครงการท่าเรือศรีลังกา 1.1 พันล้านดอลลาร์ โครงการรถไฟความเร็วสูงในอินโดนีเซีย และการสร้างนิคมอุตสาหกรรมในเขมร เป็นต้น

สำหรับเป้าหมายของเส้นทางสายไหมศตวรรษ 21 คือจีนต้องการแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจใหม่ๆ 

เพราะปัจจุบัน เศรษฐกิจจีนเติบโตลดลงต่ำกว่า 8% และการเติบโตที่ต่ำลงอีกเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ 

        ดังนั้นโครงการ OBORจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมแก้ปัญหากำลังการผลิตภายในประเทศล้น โดยเฉพาะเหล็ก ภาคก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง เพื่อดูดซับกำลังการผลิตส่วนเกิน

        ขณะเดียวกันเส้นทางสายไหมจะช่วยสนับสนุนความต้องการด้านพลังงานของจีน เช่น โครงการท่อก๊าซในเอเชียกลาง โครงการท่าเรือน้ำลึกในเอเชียใต้ และจีนต้องการอาศัยการพัฒนาเศรษฐกิจ มาสร้างเสถียรภาพในเอเชียกลาง ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความแปรปรวนทางการเมือง

        นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานสภาธุรกิจไทยจีน  เห็นว่า การดำเนินโครงการ OBOR รวมทั้งการจัดตั้งธนาคารการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) และกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) แสดงให้เห็นว่า จีนพร้อมก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจระดับโลกและภูมิภาคอย่างสันติ

        ซึ่งโครงการ OBOR ที่ผ่านจากลาวเข้ามายังจังหวัดหนองคาย ผ่านไปยังอ่าวไทยซึ่งจุดหมายอยู่ที่แหลมฉบังนั้น จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ทางตรง ทั้งด้านการบริโภคอาหาร  พลังงานน้ำมัน/ ที่พัก และบริการอะไหล่เครื่องจักรต่างๆ เพื่อซ่อมบำรุง 

ขณะที่ด้านการขนส่งเชื่อว่าการขยายตัวจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง และส่งผลให้ระบบบริษัทขนส่งในประเทศไทยจะขยายตัวรองรับความต้องการจากจีนมากขึ้น

        ดังนั้นไทยผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับตัวพร้อมศึกษารสนิยมของชาวจีนต่อสินค้าไทย เพื่อนำสินค้ากลุ่มนั้นไปนำเสนอขายพร้อมพัฒนาวัตถุดิบให้เป็นสินค้าใหม่ๆตรงตามความต้องการลูกค้าชาวจีนต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลจะต้องเร่งพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งการขยายถนน ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน และโรงไฟฟ้า เพื่อรองรับเส้นทางลงทุนของจีนด้วย ซึ่งหากโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ ก็จะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโตได้ราว5%ต่อปี ต่อเนื่องในอนาคต

        ส่วนข้อที่ควรระวัง นายวิกรมเห็นว่า ประเทศไทยจะต้องระวังเรื่องสิ่งแวดล้อม ของเสียต่างๆที่จะมากับอุตสาหกรรม รวมถึงการนำเข้าสินค้าบางประเภทจากจีน เช่นเหล็ก เครื่องจักร ซึ่งอาจทำให้บริษัทของไทยได้รับผลกระทบ

        ดร.พิษณุ เหรียญมหาศาล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และที่ปรึกษาสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์  บอกว่า OBOR  จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ และสานสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีนได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีไทยควรใช้เกมรุกเปิดตลาดต้อนรับนักลงทุนจีนมากขึ้น เพื่อทดแทนนักลงทุนญี่ปุ่นที่ช่วงนี้เป็นขาลง ทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เช่น รัฐบาลอาจทำการวิเคราะห์เปิดระเบียงเศรษฐกิจเส้นใหม่ เพิ่มขึ้นจาก EEC ต่อ ยอดเชื่อมเส้นทางไปยังอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อดึงดูดนักลงทุนชาวจีนให้ครอบคลุมไปยังอินเดีย แอฟริกา และยุโรป

 

         นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ระบุว่า OBOR จะไม่มีผลกระทบต่อการส่งสินค้าทางเรือ อีกทั้งยังส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยอีกด้วย เพราะOBOR จะเป็นเส้นทางจากเอเชียกลาง ไปถึงโลกตะวันออก ซึ่งเชื่อว่านอกจากจะไม่มีผลกระทบแล้วยังเป็นการช่วยเปิดตลาดให้กับผู้ประกอบการไทยได้ส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มแอฟริกาได้เพิ่มมากขึ้น 

โดยปัจจุบันการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังประเทศในกลุ่มยุโรปยังสามารถส่งออกทางเรือได้ตามปกติ โดยใช้เวลาประมาณ 21 ถึง 30 วัน และการส่งออกของจีนโดยทางรถไฟจากเฉิงตูไปยุโรป จะใช้เวลาประมาณ 18 วัน 

          นายไกรสินธุ์ วงศ์สุรไกร เลขาธิการสภาธุรกิจไทย-จีน  มองว่า โครงการ OBOR จะไม่สามารถทำให้จีนเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆเพียงผู้เดียวได้ ยกเว้นประเทศนั้นๆจะยอมให้จีนกอบโกย  เช่น บางประเทศในแอฟริกา ทั้งเคนย่าและ เอธิโอเปีย ซึ่งมีความจำเป็น ต้องการการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รวดเร็ว 

       ขณะที่ประเทศไทยจำเป็นต้องดูความเหมาะสม ว่าจะได้ประโยชน์ด้านใดบ้างหากเกิดการร่วมทุนกับประเทศจีน รวมถึงช่องทางการเจรจาที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดข้อตกลงที่ชัดเจน

ซึ่งประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ด้านการเชื่อมโยงโดยตรงภายในกลุ่ม CLMVT เสริมการค้าลงทุนในภูมิภาคขยายตัวเติบโตได้ดียิ่งขึ้น รวมถึง การใช้ประโยชน์เส้นทางทะเล ซึ่งจะช่วยลดปัญหากรณีพิพาทระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆด้วย 

       อ.วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวัฒนธรรมจีน บอกว่า ประชากรจีนที่มีจำนวนมาก ถือเป็นอาวุธอีกหนึ่งชนิดของประเทศจีนนอกเหนือการเป็นประเทศมหาอำนาจ  จึงทำให้บางประเทศ อย่างเช่น ประเทศลาว ยังมีการปิดกั้นไม่ให้ชาวจีนเข้าไปลงทุน เนื่องจากป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวของประชากร และการลงทุนในประเทศมากจนเกินไป 

       ขณะที่การทำธุรกิจในไทย มองว่า คนไทยไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมาก เนื่องจากคนไทยไม่กลัวชาวจีนจะเป็นคู่เเข่ง เพราะคนจีนส่วนใหญ่จะลงหลักปักฐานที่ไทย และมีความรัก ในประเทศไทยอยู่แล้ว 

       สำหรับโครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษ 21 สะท้อนให้เห็นว่า จีนกำลังพยายามยกระดับและเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ โดยใช้บทบาทด้านการพัฒนาเศรษฐกิจโลก และเงินทุนของจีนเป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศต่างๆ ใช้สินค้าที่ผลิตจากจีน เช่น รถไฟความเร็วสูง อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า และอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ ตามเส้นทาง OBOR  ซึ่งหลังจากนี้จะต้องติดตามกันต่อว่าในกลุ่ม60ประเทศที่เส้นทางOBOR พาดผ่าน จะพร้อมดูดซับกำลังการผลิตอุตสาหกรรมที่ล้นเกินของจีนได้มากน้อยแค่ไหน และเส้นทาง"One Belt One Road" จะช่วยให้การค้าโลกเชื่อมโยงอย่างไร้พรมแดนได้อย่างไรบ้าง เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไปในอนาคต 

 

 

                                                                                                สกู๊ปพิเศษ BY TERRABKK

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...