ท่ามกลางผู้คนที่เคลื่อนไหวไปตามกระแส มันจะต้องมีคนที่ชอบแหกกระแสบ้าง บริษัทรถยนต์ก็เช่นกัน ทุกวันนี้ถ้าพูดคำว่ารถจีน คนเกินครึ่งจะนึกถึงรถไฟฟ้า BEV เพราะแต่ละค่ายดูจะมุ่งหน้าสู่หนทางการเป็นจ้าวแห่ง BEV ยกเว้น GWM ซึ่งแม้จะมีแบรนด์ ORA ที่ขายรถ BEV แต่ในสายตาเจ้าของค่ายอย่าง Jack Wei นั้น BEV ไม่ใช่ทางออกสำหรับคนทั้งโลก เขาจึงขายทั้งรถ ICE/BEV และ PHEV ไฮบริดเสียบปลั๊กชาร์จ ในปี 2023 GWM ให้กำเนิดระบบ Hi4 ซึ่งต่อมาได้แตกแขนงออกไปอีกเป็น Hi4-Z และ Hi4-T ทำให้บางคนสงสัยว่ามีตัว T คือไฮบริดเทอร์โบหรือเปล่า หรือ Hi4 ธรรมดาแรงน้อยสุด แบบนี้ต้องขอเขียนถึงสักหน่อยก่อนจะเข้าใจผิดกัน
ถ้าคุณไปงาน Shanghai Autoshow 2025 แล้วเดินพลัดหลงไปที่บูธสักบูธในเครือ GWM แล้วคุณกระหายน้ำ เลยเดินเข้าไปขอกาแฟฟรีกินหลังบูธ เมื่อคุณจะสั่งกาแฟแล้วพบว่าบาริสต้าเป็นคุณลุงตัวผอมนัยน์ตาดุเหมือนเหยี่ยว มีผู้คนรายล้อมและดูเหมือนมีบอดี้การ์ดนอกเครื่องแบบประกบ ไม่ต้องตกใจครับ นั่นคือลุง Jack Wei ท่านประธานและเจ้าของบริษัท GWM แกลงมาเล่นกับพวกคนที่มางาน ตอนผมไปสัมภาษณ์ลุง Jack ก็มีโอกาสได้ฟังแกอธิบายหลายเรื่อง แต่เล่าแบบรวบรัดได้ว่า พวกบรรดาคน Gen X และ Babyboomer ทั้งหลายน่าจะชอบวิธีคิดแบบคนบ้ารถและเครื่องจักรกล ผู้ซึ่งในขณะที่โลกจะไปซบรถไฟฟ้าอยู่แล้ว ลุง Jack ให้ลูกน้องทำเครื่อง V8 สายพันธุ์จีนแท้ออกมา (และมีแนวโน้มว่าจะใช้จริง) แล้วยังเทงบวิจัยเครื่องยนต์ดีเซลล้วนเพิ่มอีกต่างหาก คือลุงไม่ใช่คนคราวพ่อที่เป็นสาย Tech นะครับ แกเป็นสายเครื่องกลอนุรักษ์ที่พยายามมองว่า Tech จะสามารถมาทำให้จักรกลดีขึ้นได้อย่างไร
ท่ามกลางเทคโนโลยีขับเคลื่อนมากมายหลายแบบ สิ่งที่ GWM พูดถึงบ่อยที่สุดในช่วงงานที่เซี่ยงไฮ้นี้ก็คือระบบ Hi4 ซึ่งตอนแรกพอพีอาร์พูดถึงผมยังนึกว่าคุณน้าเธอจะชวนผมไปเล่นไฮโล ต้องเอาเครนยกขี้หูออกสักตันแล้วถึงได้ยินชัดๆว่าเป็น Hi4 ว่ะเห้ย..หลังจากนั้นผมก็ต้องทำการบ้าน..อย่างค่อนข้างยากลำบากเพราะเอกสารมาจากจีนเป็นภาษาจงกั๋ว และแปลเป็นอังกฤษอย่างเร่งรีบ ก็เลยต้องค้นหาข้อมูลไปทั่วแล้วก็เจอว่า เอ้า..ระบบนี้มันเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2023 แล้วนี่หว่า ถ้าขนาดผมยังไม่รู้ และเกือบเข้าใจผิดว่า Hi4 ที่มีขีดตามตัวตัว T คือตัวที่แรงที่สุด..ผมว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบ
ระบบ Hi4/ Hi4-Z/ Hi4-T คืออะไร?
ถ้าพยายามพิมพ์ให้จบในสองบรรทัด มันก็คือโครงสร้างรถ Plug-In Hybrid ที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยแบ่งเป็น 3 คลาสตามจุดประสงค์การใช้งานนั่นเองครับ ถ้าคุณกำลังจะปิดบทความนี้เพราะเบื่อพวกโฆษณาป๊อปอัพ ผมก็จะบอกให้อีกว่า Hi4 คือระบบสำหรับรถใช้งานทั่วไปที่ลุยออฟโรดพอได้ Hi4-Z คือระบบที่เน้นพลัง เน้นแบตเตอรี่และลุยออฟโรดได้มากขึ้น และ Hi4-T คือระบบสำหรับรถที่สามารถลุยออฟโรดจริงจังแบบมืออาชีพได้ เอ้า จะปิดหน้าต่างไหม ถ้าไม่ปิดก็อ่านต่อนะครับ
***ระบบ Hi4 / Hi4 Performance***
Hi4 ย่อมาจาก Hybrid Intelligent 4WD โดยมีเอกลักษณ์สำคัญคือ
1-มีเครื่องยนต์สันดาปวางเป็นแนวขวาง มีมอเตอร์ขับเคลื่อนทั้งข้างหน้า และข้างหลัง (Dual-Motor)
2-แบตเตอรี่วางอยู่ใต้ท้องรถ
3-ไม่มีเพลากลาง
4-เครื่องยนต์สามารถใช้เพื่อการขับเคลื่อนรถได้และ Energy Recovery จากล้อหน้าและหลังได้
5-ออกแบบมาเพื่อความประหยัดเชื้อเพลิงโดยบาลานซ์กับสมรรถนะอัตราเร่ง
6-มุ่งเน้นประโยชน์จากระบบขับสี่เพื่อเสถียรภาพและพยายามทำราคาให้เท่ารถปลั๊กขับหน้าทั่วไป
ระบบ Hi4 นั้นจะอยู่ในรถ SUV ของทางค่ายที่เป็นรถใช้งานแบบวิ่งบนถนนดำยางมะตอยเป็นหลัก แต่มีความสามารถในการลุยออฟโรดในระดับที่ “ถ้าจำเป็นต้องไปก็พอจะไปให้คุณได้” ผมเขียนคำนี้เองนะครับ ไม่ได้ใช้ภาษาโฆษณาให้ดูหรูแบบเอกสารที่แจกสื่อ ผมอ่านแล้วกลัวพวกคุณจะนึกว่าผมอวยเวอร์ โดยในโครงสร้างระบบ จะมีเครื่องยนต์สันดาปวางอยู่ด้านหน้า ตัวเครื่องสันดาป จะมีแต่ความจุ 1.5 ลิตรเท่านั้น แต่แบ่งออกเป็นรุ่นหายใจเอง 114 แรงม้า กับรุ่นเทอร์โบ 163 แรงม้า/240นิวตันเมตร แล้วก็มีมอเตอร์ชุดหน้า 109 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ด้านหลังมีหลายระดับพลัง คือ 184, 204 กับ 300 แรงม้า
ถ้าวัดกันเป็นพลังรวม เวอร์ชั่นของ Hi4 ที่แรง “น้อย” ที่สุด จะอยู่ในรถรุ่น Xiolong Max (หรือชื่อสากลคือ B07) ก็เหนาะๆ 324 แรงม้า/ แรงบิด 595 นิวตันเมตร นี่คือน้อยที่สุดแล้วนะครับ ถ้าเป็นรถรุ่นที่แพงขึ้นมาอีกหน่อย อย่างเช่น Menglong (B26) หน้าเหลี่ยมๆ หรือ Haval Big Dog ก็จะมีพลังเพิ่มเป็น 380 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรี่นั้น เท่าที่ผมทราบ จะมีขนาด 18.74kWh กับ 27.54 kWh ซึ่งอย่างหลังนั้นเพียงพอสำหรับการขับใช้งานจริงได้มากกว่า 100 กิโลเมตรครับ
การทำงานของระบบ สามารถทำได้ทั้งในแบบ ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนแค่ล้อหน้า ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อ ส่วนตัวเครื่องยนต์ก็สามารถทำงานได้ทั้งในโหมดปั่นไฟ และใช้ต่อเพื่อขับเคลื่อนล้อโดยตรง โดยระบบ Hi4 รุ่นเบสิกนี้ จะมีชุดเกียร์ทดพลังเครื่องยนต์ 2 จังหวะ สำหรับ Low และ High Speed ซึ่งไม่ใช่ชุดคลัตช์นะครับ เป็นเฟืองขบกันจริงๆ เรียกว่าเกียร์จริงๆเลยได้ แต่ส่วนของมอเตอร์ถ้าเป็นด้านหน้าก็จะไปต่อเข้ากับชุดส่งกำลังหลัก ส่วนด้านหลังนั้นมอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนแต่เพียงอย่างเดียว อย่างที่บอก..ระบบนี้ไม่มีเพลากลางครับ
เพื่อความประหยัดไฟ ระบบ Hi4 สามารถตัดการทำงานของมอเตอร์หลังออกได้ เช่นเวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงคงที่ยามวิ่งทางไกล เครื่องยนต์จะถูกใช้ต่อพลังขับเคลื่อนไปล้อโดยตรง ในเวลาแบบนี้ตัวรถก็เท่ากับว่าเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ถ้าคุณแย๊บคันเร่งลงไปสักที ภายในไม่เกินครึ่งวิระบบขับสี่ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การจะขับสองหรือสี่ คุณสั่งมันไม่ได้ครับ ECU จะคิดให้เสร็จสรรพ แต่ถ้าขับ Eco mode แล้วใช้คันเร่งคงที่มันจะตัดเป็นขับหน้า และจะตัดการทำงานของมอเตอร์ไปใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนแทนถ้าถึงจุดที่มันมองว่า ความเร็วเดินทางเท่านี้ ถ้าใช้ไฟฟ้าวิ่งจะประหยัดสู้เครื่องยนต์ไม่ได้
นอกจากนี้ ระบบ Hi4 ยังมีเวอร์ชั่น Performance ซึ่งจะนำไปใส่ในรถ SUV ทางเรียบขนาดใหญ่อย่าง Wey 07 (Lanshan) และรถ MPV ยักษ์ยาวทะลุ 5 เมตรอย่าง Wey 80 (Gaoshan) ซึ่งพวกนี้ตัวเครื่องสันดาปจะเป็นเทอร์โบทั้งหมด และมอเตอร์หลังจะแรงกว่าปกติ ระบบเกียร์ทดจะเพิ่มจากสองเป็นสี่เกียร์ ขนาดแบตเตอรี่ก็จะโตขึ้นเป็น 44.26kWh หรือ 51.55kWh แล้วแต่รุ่นรถ ซึ่งถ้าเอาตัวเลขอย่างของรถ MPV Wey 80 รุ่นมาตรฐานมาเทียบ ก็จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 175 กิโลเมตร แต่จุดที่เด่นจริงจะไปอยู่ที่เรื่องพลัง เพราะอย่าง Wey 80 ก็จะมีพลังรวมมากถึง 458 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร และอย่างใน Wey 07 จะเพิ่มไปเป็น 517 แรงม้า 930 นิวตันเมตรเลยทีเดียว ระบบการชาร์จ ไม่ได้บอกมาว่า DC Charge เท่าไหร่แต่บอกเพียงว่าเติม 30-80% ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง
***ระบบ Hi4-Z***
Hi4-Z ย่อมาจาก Hybrid Intelligent 4WD Zenith เอกลักษณ์รวมของระบบคือ
1-พละกำลังสูงกว่า ทั้งจากเครื่องยนต์และมอเตอร์
2-แบตเตอรี่ขนาดใหญ่จุไฟมากขึ้น มีระบบเสริมความแข็งแรงแบตเตอรี่ให้แต่ตัวแบตเตอรี่ยังอยู่ใต้ท้องรถ
3-ไม่มีเพลากลาง
4-มีระยะวิ่ง EV Range ที่ไกล
5-ตัวเครื่องยนต์สันดาปเป็นแบบวางตามยาว
ในปัจจุบันนั้น รถที่ใช้ขุมพลัง PHEV แบบ Hi4-Z ของทางค่ายคือ Tank 500 Hi4-Z เท่าที่ทราบยังไม่มีรุ่นอื่น ตัวเครื่องยนต์สันดาป จะมีทั้งแบบ 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ 252 แรงม้า/380 นิวตันเมตร กับเครื่อง V6 3.0 ลิตรเทอร์โบ 354 แรงม้า/560 นิวตันเมตร บวกกับมอเตอร์หน้า 292 แรงม้า/400 นิวตันเมตร และมอเตอร์หลัง 326 แรงม้า/415 นิวตันเมตร ถ้าเป็นอย่างใน Tank 500 Hi4-Z รุ่น 2.0T นั้น เมื่อทุกระบบทำงานรวมกันจะปลดปล่อยพละกำลังบ้าบอระดับ 863 แรงม้า กับแรงบิด 1,195 นิวตันเมตร แต่ถ้าเป็น Hi4-Z พิกัดความจุ 3.0 ลิตรที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ตัวนั้นยิ่งบ้าดีเดือดกว่าเพราะมีพลังระดับ 972 แรงม้า/1,375 นิวตันเมตร
ทางวิศวกร GWM ค่อนข้างเน้นเรื่องสมรรถนะมาก ตอนที่ทดสอบ พวกเขาตั้งกฎเอาไว้ว่า ต้องเอารถมาตอกคันเร่งเต็มออกตัว 20 รอบอย่างต่อเนื่องแล้วเรี่ยวแรงรถต้องไม่หาย เวลาที่จับมาแต่ละรอบต้องลดลงไม่เกิน 0.5 วิ (ถ้าเป็น 0-100)
…และถ้านั่นยังไม่พอ จะบอกว่าเครื่อง V8 ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตรนั้น ผมถามวิศวกร GWM มาแล้วว่าสามารถนำมาวางใส่รถ Hi4-Z ได้หรือไม่ คำตอบคือ “ทำได้เลยถ้าผู้ใหญ่สั่ง” แล้วคุณว่ามีหรือที่จะไม่ทำออกมาให้สยองขวัญเล่น ในยุคที่ EV 700-800 แรงม้า รถ PHEV ของลุง Jack สามารถมีแรงม้าทะลุพันตัวได้ไม่ใช่เรื่องยาก
แบตเตอรี่ของระบบ Hi4-Z จะใช้แบตเตอรี่ NMC ขนาดความจุ 59.05 kWh และรองรับการชาร์จเร็วได้ถึง 163kWh โดยที่ตัวรถนั้นรองรับระบบไฟ 900V นะครับและใช้กับแท่นชาร์จที่รองรับ 800V ได้ คุณช่วยผมลองนึกหน่อยว่ามีรถ PHEV รุ่นไหนในโลกที่จะชาร์จเร็วยิ่งกว่ารถ EV หลายรุ่นแบบนี้อีกหรือไม่
ระบบส่งกำลัง จะมีชุดเกียร์เฟือง 3 สปีด โดยเครื่องยนต์ประกบต่อด้วยมอเตอร์ แล้วค่อยตบด้วยชุดเกียร์อีกที สาเหตุที่ใช้แค่ 3 เกียร์เพราะระบบมีพลังมหาศาลมากจนถ้าหากใช้เกียร์ 9 จังหวะรถมันก็ไม่ได้ไวขึ้น และไม่ได้ใช้เกียร์พวกคลัตช์คู่เพราะตัวรถต้องเน้นความสามารถในการใช้งานแบบออฟโรด และต้องคิดเผื่อเรื่องความคงทนเอาไว้ด้วย
แต่ในเวลาที่ขับใช้งาน ระบบ Hi4-Z สามารถตัดการทำงานเหลือขับหน้าได้เหมือนระบบ Hi4 ปกติ และถ้าหากเข้าโหมดที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนโดยตรง ก็จะเป็นล้อคู่หน้านั่นล่ะครับที่ขับเคลื่อน หลักการวิธีคิด เหมือนกับของ Hi4 ต่างกันแค่หน้าตาของชุดเกียร์ มอเตอร์และเครื่องสันดาปเท่านั้น
ส่วนเรื่องการลุยแบบออฟโรด GWM เขาคงไม่เขียนในเอกสารแบบนี้ แต่ผมถือวิสาสะพูดเองว่า ลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยทราย จัดได้ มันลุยได้ดีกว่าพวก Hi4 แน่นอน แต่ถ้าเล่นกับโขดหิน หรือลุยป่าหินแข็ง ไม่น่าเวิร์กครับ ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่จะมีกันกระแทก 8 ชั้น แต่ถ้าเอารถหนักสามตันกว่าไปกระแทกบนหิน งานจะงอกเอา
***ระบบ Hi4-T***
Hi4-T ย่อมาจาก Hybrid Intelligent 4WD Tank เอกลักษณ์รวมของระบบคือ
1-ลดจำนวนมอเตอร์ขับเคลื่อน เหลือตัวเดียว
2-มีเพลากลาง และใช้เกียร์ 9HAT มีมอเตอร์ขับเคลื่อนสอดระหว่างเกียร์กับเครื่อง
3-ขับเคลื่อนสี่ล้อ “ตลอดเวลา”
4-ใช้กับรถที่เป็น Body ครอบเฟรม (แบบรถกระบะ หรือ SUV มีเฟรมเหมือนกระบะแบบ Tank 300, 500)
5-ย้ายแบตเตอรี่จากใต้ท้องรถไปไว้ระหว่างล้อคู่หลังและติดในตำแหน่งสูง
6-ระบบถูกสร้างมาเพื่อใช้กับรถที่เน้นการลุยออฟโรดอย่างจริงจังสุดๆ
ในระบบ Hi4-T นี้ หลักการทำงานหลายอย่างจะต่างจาก Hi4 และ Hi4-Z โดยสิ้นเชิง เพราะส่งกำลังไปข้างหน้าผ่านชุด Transfer เฟืองกับสายพานเหล็กขนาดใหญ่และหนา ส่วนด้านหลังก็รับกำลังจากเพลากลาง และยังมี Diff-lock หน้า, กลาง และท้ายแบบรถออฟโรดตัวจริง นับว่ามีดีกรีความเป็นรถลุยสันดาปสมัยเก่ามากที่สุด แต่มันยังสามารถวิ่งด้วย EV Mode ได้ราว 100 กิโลเมตร ที่ไปได้ไม่ไกลเท่าระบบ Hi4 รุ่นอื่น เพราะการที่แบตเตอรี่ต้องมาอยู่ท้ายรถระหว่างล้อคู่หลังด้านบน หากทำแบตเตอรี่ขนาดโตมาก ก็จะกินพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระ ความจุแบตเตอรี่จึงลดลงมาเหลือ 37.1 kWh แลกกับการที่ลุยออฟโรดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่จะไปครูดหิน ส่วนช่วงล่างหลัง ก็จะเป็นคนละแบบกับรถ Hi4 หรือ Hi4-Z .ในสองระบบนั้นจะใช้ช่วงล่างหลังอิสระ แต่ใน Hi4-T จะเปลี่ยนมาใช้คานแข็งแทน
ส่วนพละกำลังขับเคลื่อนนั้น ได้มาจากเครื่องยนต์สันดาป 2.0 ลิตร 252 แรงม้า/380 นิวตันเมตร หรือเครื่อง V6 3.0 ลิตรเทอร์โบ 354 แรงม้า/560 นิวตันเมตร บวกกับมอเตอร์แบบติดตั้งระหว่างเครื่องกับเกียร์ที่มีพลัง 163 แรงม้า/400 นิวตันเมตร ก็แล้วแต่จะเลือกว่าไปอยู่กับรถรุ่นไหน หากไปอยู่กับ Tank 300 Hi4-T หรือ Tank 500 Hi4-T ที่ใช้เครื่อง 2.0 ลิตร ก็จะมีพละกำลังรวม 408 แรงม้า/750 นิวตันเมตร แต่ถ้าไปอยู่กับออฟโรดตัวท้อปของค่ายอย่าง Tank 700 Hi4-T ก็จะมีพละกำลังมากถึง 523 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร
รถ Hi4-T นี้ เวลาปรับไปโหมด MUD สำหรับลุยโคลน รถจะทำงานในโหมด Parallel Hybrid คือเครื่องและมอเตอร์ส่งกำลังไปที่ล้อพร้อมกันตลอดเวลา เพื่อให้สามารถกะคันเร่งได้ง่าย มีพละกำลังเมื่อต้องการใต้เนินชันที่เป็นโคลน และมีความร้อนจากการทำงานของเครื่องสันดาปต่ำลงเพราะมอเตอร์เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ และสิ่งที่ Hi4 รุ่นอื่นไม่มีคือระบบ Tank Turn ล็อคล้อหลังวงในโค้งเพื่อให้ตีวงกลับรถแคบๆบนพื้นผิวทางวิ่งที่ลื่นได้
นับว่าเป็นระบบที่ทำมาเพื่อการลุยอย่างแท้จริง และมีความคล้ายรถเก๋งสันดาปปกติมากที่สุดในบรรดา Hi4 System ทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคืออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันและไฟฟ้า เพราะการที่ไม่ว่าจะใช้เครื่องขับตรง หรือใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนท้ายสุดก็ต้องไปผ่านชุด Transfer case ซึ่งส่งกำลังไปหน้าและหลังตลอดเวลานั่นเองครับเพียงแต่ว่า ด้วยกลไกของ Center Diff Lock ในการขับบนทางแย่ๆบางครั้ง บวกกับ Diff Lock หน้าหลังด้วย ทำให้ต่อให้มีล้อเดียวที่มี Grip แล้วล้ออื่นลื่นหมด รถก็ยังเคลื่อนที่ไปได้
และแน่นอนว่า Hi4-T นี้ สามารถใช้งานกับเครื่อง V8 ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตรที่ GWM เพิ่งโชว์หน้าตาเครื่องในงานที่เซี่ยงไฮ้ ก็ลองคิดดูว่ามันจะแรงต่อได้ขนาดไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าไปวัดกับระบบที่เน้นพลังขับเคลื่อนอย่าง Hi4-Z ก็สู้เรื่องสมรรถนะทางตรงไม่ได้อยู่ดีครับ
Pan Paitoonpong
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เจาะระบบ PHEV ของ GWM 3 แบบ Hi4/ Hi4-Z/ Hi4-T คืออะไร ทำงานอย่างไร
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- ประกอบไทยหัวใจดีเซล MERCEDES-BENZ CLS220d AMG PREMIUM
- นำเข้าจากเยอรมัน ทดสอบชายกลางพลังไฟฟ้า BMW i5 M60 XDrive
- ทำไมต้อง Toyota ?
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath