หากกล่าวถึง “พรรคเดโมแครต” หนึ่งในสองพรรคการเมืองที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา ณ ชั่วโมงนี้ ก็ต้องนับว่า เผชิญหน้ากับความตกต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับ “พรรครีพับลิกัน” คู่แข่ง
แถมมิหนำซ้ำ ก็ไม่ใช่ตกต่ำอย่างธรรมดาๆ แต่เป็นตกต่ำอย่างที่สุด ชนิดที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
เมื่อผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการจัดทำโพลล์ ประชาชนชาวอเมริกัน โดยสำนักโพลล์ ตลอดจนสำนักสถานีข่าวต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้
ไม่ว่าจะเป็น “ซีเอ็นเอ็น” สถานีโทรทัศน์สำนักข่าวชื่อดังในสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นสถานีโทรทัศน์ สำนักข่าวที่มักจะยืนอยู่ฟากข้างพรรคเดโมแครต ในหลายครั้งหลายคราที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่า คะแนนนิยมที่ออกมา ก็แทบจะทำให้ซีเอ็นเอ็นเชียร์เดโมแครตไม่ออก สำหรับ ผลการสำรวจ “ซีเอ็นเอ็นโพลล์”
โดยซีเอ็นเอ็นโพลล์ ระบุว่า คะแนนนิยมของพรรคเดโมแครตเหลืออยู่ในหมู่ชาวอเมริกัน ณ เวลานี้เพียงร้อยละ 29 เท่านั้น
ตัวเลขดังกล่าว ก็ถือว่า ต่ำที่สุดอย่างตลอดกาล หรือออล์-ไทม์ (All-time) เลยทีเดียว คือ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่ซีเอ็นเอ็น ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเกี่ยวกับพรรคการเมืองในสหรัฐฯ คือ พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ตั้งแต่ปี 1992 (พ.ศ. 2535) ที่ทางซีเอ็นเอ็น เริ่มสำรวจคะแนนนิยมของพรรคการเมืองในสหรัฐฯ
พร้อมกันนี้ ซีเอ็นเอ็นโพลล์ ยังได้สำรวจคะแนนนิยมของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองคู่ปรับอย่างตลอดกาลของพรรคเดโมแครตอีกด้วย
โดยซีเอ็นเอ็นโพลล์ ระบุว่า คะแนนนิยมของพรรครีพับลิกันที่ได้จากการสำรวจความคิดเห็นครั้งล่าสุดนี้ อยู่ที่ร้อยละ 36 มากกว่าพรรคเดโมแครตถึง 7 จุดด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นระยะห่างต่างกันพอสมควร
นอกจากนี้ เมื่อสำรวจโพลล์ไปถึงความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันที่ฝักใฝ่ในแต่ละพรรคของสองพรรคการเมืองข้างต้น ก็ปรากฏว่า พรรคเดโมแครต ประชาชนชาวอเมริกันที่ลงทะเบียนเลือกพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่แล้วที่ผ่านมา ก็ตอบแบบสอบถามว่า ยังมีความชื่นชอบพรรคเดโมแครตของพวกเขาอยู่ที่ร้อยละ 63 ซึ่งตัวเลขข้างต้นก็ยังน้อยกว่าของพรรครีพับลิกัน ที่ชาวอเมริกัน ซึ่งลงทะเบียนเลือกพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ก็ตอบว่า ยังคงนิยมชมชอบพรรครีพับลิกันของพวกเขาที่ร้อยละ 79 ทิ้งห่างมากกว่ากันถึง 16 จุด
ทางซีเอ็นเอ็นโพลล์ ยังสำรวจความคิดเห็นของพลพรรคเดโมแครตเกี่ยวกับการจัดการต่อพรรครีพับลิกันนับจากนี้ต่อไป
โดยชาวเดโมแครตกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามว่า เห็นควรที่จะพยายามหยุดยั้งการเติบโตของพรรครีพับลิกันคู่แข่ง ซึ่งชาวเดโมแครตที่มีความคิดเห็นเช่นนี้ มีจำนวนร้อยละ 57
ส่วนชาวเดโมแครตที่คิดเห็นว่า สมควรที่ทางพรรคฯ จะทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกัน มีจำนวนร้อยละ 42
ก็สะท้อนให้เห็นว่า ชาวเดโมแครต ต้องการให้พรรคฯ ที่เขาชื่นชอบ ประจันหน้ากับพรรครีพับลิกันมากกว่า
ขณะที่ ผลการสำรวจความคิดเห็นโดยสถานีโทรทัศน์ข่าวเอ็นบีซี หรือเอ็นบีซีโพลล์ ซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ เช่นกัน และดำเนินการสำรวจโพลล์ในระยะเวลาไล่เลี่ยกับซีเอ็นเอ็นโพลล์ ก็พบว่า คะแนนนิยมของพรรคเดโมแครต ก็กำลังประสบกับภาวะตกต่ำเช่นกัน
โดยเอ็นบีซีโพลล์ ระบุว่า คะแนนนิยมของพรรคเดโมแครต ถดถอยลงไปอยู่ที่ร้อยละ 27 เท่านั้น
ตัวเลขของเอ็นบีซีโพลล์ที่ปรากฏว่า ก็พบว่า ต่ำกว่าซีเอ็นเอ็นโพลล์ด้วยซ้ำ สำหรับคะแนนความชื่นชอบของชาวอเมริกันที่มีต่อพรรคเดโมแครต
นอกจากนี้ คะแนนนิยมข้างต้นของพรรคเดโมแครต ก็ยังถือว่า ตกต่ำมากที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการสำรวจเมื่อปี 1990 (พ.ศ. 2533) เป็นต้นมา จนเรียกว่า เป็นตกต่ำโดยแท้ของพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ ในตัวเลขดังกล่าว เมื่อสำรวจความคิดเห็นให้ลึกลงไป ก็ปรากฏว่า มีผู้ให้ความชื่นชอบต่อพรรคเดโมแครตเป็นอย่างมากเหลือจำนวนเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น
ภายหลังจากมีรายงานถึงคะแนนนิยมของพรรคเดโมแครตเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่า “นายโจ ไบเดน” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวัย 82 ปี ที่เพิ่งอำลาตำแหน่งไปอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น ก็ได้เสนอตัวที่จะเข้าไปช่วยฟื้นฟูคะแนนนิยมของทางพรรคฯ ที่กำลังตกต่ำ ณ เวลานี้ให้กลับคืนมา ด้วยการมีแผนที่จะหวนกลับสู่ถนนการเมืองสหรัฐฯ อีกคำรบ
พลันที่อดีตประธานาธิบดีไบเดนเสนอตัว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถกถียงภายในหมู่พลพรรคเดโมแครต ถึงแผนการกลับสู่ถนนสายการเมืองของนายไบเดน
โดยบ้างก็ว่า อดีตประธานาธิบดีไบเดน อาจจะรณรงค์ระดมทุนเข้าสู่พรรคเดโมแครตน่าจะได้ แต่ไม่ถึงขั้นที่จะต้องหวนกลับเข้าสู่เวทีการชิงชัยในทางการเมืองกันอีกแล้ว
ทั้งนี้ เพราะอดีตประธานาธิบดีไบเดน ในช่วงอยู่บนสมรภูมิการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมา อดีตผู้นำสหรัฐฯ ก็ได้รับเสียงกระซิบจากบรรดาพลพรรคเดโมแครต ให้ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดมาแล้ว หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ศึกอภิปรายโต้วาที หรือดีเบต กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แห่งพรรครีพับลิกันเมื่อครั้งกระนั้น ก่อนที่นายทรัมป์ ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ด้วยการชนะเลือกตั้งเหนือรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่รับไม้ต่อจากประธานาธิบดีไบเดน ที่ถอนตัวออกไปเพราะทนเสียงกดดันจากฝ่ายต่างๆ ไม่ไหว
นอกจากนี้ เมื่อกล่าวคะแนนนิยมของนักการเมืองภายในพรรคเดโมแครตเอง ปรากฏว่า นายไบเดน ก็ไม่ได้รับความชื่นชอบเฉกเช่นแต่ก่อน โดยมีนักการเมืองหน้าใหม่มีคะแนนนิยมดีกว่า ดังนั้น จึงเป็นการยากที่อดีตประธานาธิบดีไบเดนจะหวนกลับทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้แก่พรรคเดโมแครต แตกต่างจากนายทรัมป์อย่างสิ้นเชิง ที่ทำให้พรรครีพับลิกันหวนกลับมาผงาดทั้งในทำเนียบขาว และสภาคองเกรสได้อีกครั้ง