5 ยักษ์ใหญ่ "ธุรกิจร้านอาหาร" ยิ้มรับครึ่งแรกปี'66 รายได้-กำไร อู้ฟู่
“ธุรกิจร้านอาหาร” ยิ้มรับครึ่งแรกปี 2566 นั่งรับประทานอาหารที่ร้าน (Dine-in) ดันรายได้-กำไร โตต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิดปรับตัวดีขึ้น-ท่องเที่ยวฟื้นตัว
วันที่ 25 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สถานการณ์โควิดภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตตามปกติ รวมถึงการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารกลับมามีรายได้-กำไรที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการนั่งทานอาหารที่ร้าน หรือ Dine-in ที่กลับมาคึกคักอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก แม้ต้นทุนเข้ามาเป็นความท้าทาย
“ประชาชาติธุรกิจ” พาสำรวจผลประกอบการธุรกิจร้านอาหารยักษ์ใหญ่ ครึ่งปีแรกปี 2566 มีรายได้-กำไร เป็นอย่างไรกันบ้าง
ไมเนอร์ ฟู้ด อู้ฟู่ รายได้ไตรมาส 2 โต 22%
เริ่มจากบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (รวมยอดขายสาขาแฟรนไชส์) เติบโตขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 7,715 ล้านบาท และรายได้รวมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 15,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อแบ่งเป็นยอดขายของร้านทุกสาขารวมกับแฟรนไชส์ ไตรมาส 2 ทำเงินเติบโต 17.5% โดยยอดขายจากร้านเดิม (Same-Store-Sales) เติบโต 8.1% ขณะที่ 6 เดือนแรก บริษัททำเงินเติบโต 18.7% และยอดขายร้านเดิมโต 6%
โดยในไตรมาส 2 ปี 2566 ไมเนอร์ฟู้ด มีธุรกิจอาหารสารพัดแบรนด์ดัง เช่น เดอะ พิซซ่า คัมปะนี, เบอร์เกอร์คิง, ซิซซ์เล่อร์, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, เดอะ คอฟฟี่ คลับฯ ซึ่งมีร้านรวมแล้ว 2,581 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 1,300 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 1,281 สาขา ครอบคลุม 22 ประเทศ ครอบคลุมทั่วทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ยุโรป ประเทศเม็กซิโก และประเทศแคนาดา
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์ฟู้ดในไทย ยังคงมุ่งเน้นในการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านนวัตกรรมใหม่ ๆ ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยการใช้แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ การร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงการขยายสาขาขนาดเล็กให้ครอบคลุมจำนวนลูกค้าได้อย่างทั่วถึง อาทิ การนำเข้าแบรนด์ ริเวอร์ไซด์กริลล์ฟิช จากประเทศจีนมายังประเทศไทยครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี 2566 และแบรนด์เบนิฮานาไปยังประเทศสิงคโปร์ในเดือนสิงหาคม ปี 2566
นอกจากนี้แต่ละแบรนด์ยังคงมีการโฆษณาสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าสมาชิกเพื่อเพิ่มความถี่ และยอดใช้จ่ายสำหรับสมาชิกปัจจุบันและเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้ามากขึ้น
ในส่วนธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน ก็ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการการจัดซื้อจัดจ้างอย่างต่อเนื่อง ลดสัดส่วนของการลดราคาสินค้าเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานและเพิ่มเสถียรภาพในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์และปรับโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษัท
ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศออสเตรเลีย ก็มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายที่ทำกำไรผ่านแคมเปญการตลาดระดับประเทศที่เน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการรับรู้ถึงแบรนด์เดอะคอฟฟี่คลับ
MK ฟื้นตัวต่อเนื่อง ครึ่งแรกปี’66 โตกว่า 8,524 ล้านบาท
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 4,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยอดขายสาขาเดิมก็ได้ปรับเพิ่มขึ้น 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้จากการขายและบริการสำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี 2566 นั้นเท่ากับ 8,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และยอดขายสาขาเดิมก็ได้ปรับเพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยในไตรมาส 2 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 459 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และครึ่งปีแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิ 784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ซึ่งสาเหตุมาจากการเติบโตจากช่องทางรับประทานที่ร้านเป็นหลัก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปรับตัวดีขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวก็มีการปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากประเทศจีนได้เปิดประเทศให้ประชาชนออกไปเที่ยวยังต่างประเทศ ได้ส่งผลให้รายได้จากการขายและบริการสามารถฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจุบันเอ็มเค สุกี้ มีทั้งหมด 452 สาขา, ร้านอาหารญี่ปุ่น ยาโยอิ 176 สาขา, ร้านแหลมเจริญ ซีฟู้ด 33 สาขา, ฮากาตะ 149 สาขา และมิยาซากิ 19 สาขา
CRG กำไรไตรมาส 2 หดตัวลง จากต้นทุนค่าไฟ-วัตถุดิบเพิ่มขึ้น
บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารในเครือเซ็นทรัล อาทิ มิสเตอร์ โดนัท, อานตี้ แอนส์, เปปเปอร์ ลันช์ ฯลฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้รวม 3,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 135 ล้านบาท หดตัวลง 2% ด้านยอดขายสาขาเดิมยังคงเติบโต 5% หลัก ๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการนั่งทานในร้าน และซื้อกลับบ้าน
ในขณะที่รายได้จากดีลิเวอรี่ มีสัดส่วนที่ลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทุกแบรนด์สามารถจัดจำหน่ายผ่านช่องทางดีลิเวอรี่ได้
ส่วนรายได้ 6 เดือนแรก เติบโตขึ้น 13% มีรายได้ 6,253 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในช่วง 6 เดือนปี และมีกำไรสุทธิ 226 ล้านบาท หดตัวลง 7% ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลทำให้กำไรลดลง เนื่องจากแรงกดดันทางด้านต้นทุนราคาวัตถุดิบและค่าไฟฟ้าที่มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับแผนการดำเนินงานจากนี้ “ซีอาร์จี” คาดว่าจะมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นสุทธิรวมแบรนด์ร่วมทุนประมาณ 110-130 สาขา (รวมสาขา shop-in-shop อาริกาโตะในมิสเตอร์โดนัท) เทียบกับปี 2565 เติบโตประมาณ 10-12% ซึ่งจะเน้นการขยายสาขาในช่วงครึ่งปีหลัง โดยแบรนด์ที่เน้นการขยายสาขาเพิ่ม ได้แก่ เคเอฟซี, อานตี้แอนส์, สลัดแฟคทอรี, ส้มตำนัว และชินคันเซ็น ซูชิ
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 2/2566 บริษัทมีจำนวนสาขาท้้งสิ้น 1,590 สาขา เพิ่มขึ้น 78 สาขา เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาส 2/2565 โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มสาขาของอาริกาโตะอีก 36, เคเอฟซี 19, อานตี้แอนส์ 12 และมิสเตอร์โดนัท 10
S&P ครึ่งแรกปี’66 กำไรสูงสุดในรอบ 7 ปี
ด้านฝั่งบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SNP เจ้าของร้านอาหารและเบเกอรี่ภายใต้แบรนด์ “เอส แอนด์ พี” รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้รวม 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ส่วนรายได้ 6 เดือนแรก เติบโตขึ้น 12% มีรายได้ 2,892 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกำไรครึ่งปีแรกยังทุบสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อแบ่งยอดขาย การรับประทานที่ร้านไตรมาส 2 เติบโต 55.6% และครึ่งปีโตถึง 59% โดยเฉพาะจากร้านในศูนย์การค้า และ โรงพยาบาล ที่มาจากชุดเซตเมนู 50 ปี ในรายการเรียกน้ำย่อย ที่เพิ่มยอดการสั่งซื้อต่อใบเสร็จ
ส่วนการซื้อกลับบ้านไตรมาส 2 เติบโต 6.3% และครึ่งปีโตถึง 7% ในขณะที่ด้านดีลิเวอรี่ค่อนข้างแผ่วและสัดส่วนการทำเงินลดลง
สำหรับแผนการดำเนินงานหลังจากนี้ไป “เอส แอนด์ พี” ยังคงมุ่งมั่นในการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจัดการต้นทุนโรงงานผ่านระบบ LEAN production อย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าอัดแคมเปญตลอดครึ่งปีหลัง อาทิ Friday Fair ตลาดนัดวันศุกร์, Moon cake ขนมไหว้พระจันทร์ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ เอส แอนด์ พี มีสาขารวมทั้งหมด 465 สาขา แบ่งเป็นประเทศไทย 453 สาขา และต่างประเทศ 12 สาขา
เซ็น กรุ๊ป ปรับกลยุทธ์-กระตุ้นยอดไตรมาส 2 กวาดรายได้ 967 ล้าน
บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 มีรายได้รวม 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102 ล้านบาท หรือ 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 1,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 323 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%
โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ประชาชนออกมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น รวมทั้งการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ของกลุ่มบริษัท การออกกิจกรรมทางการตลาด และปรับกลยุทธ์การขายอาหารของร้านในเครือ ทำให้มีจำนวนลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารที่ร้านมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 327 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง 157 สาขา สาขาแฟรนไชส์ในประเทศ 161 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ต่างประเทศ 9 สาขา