“ถ้าเรายอมรับด้วยความเต็มใจว่าชีวิตนั้นไม่ง่าย
วันนั้นเราจะเริ่มมีความสุขได้ง่าย
เพราะวันที่เจอปัญหาจะเป็นวันธรรมดาๆวันหนึ่ง”
ในชีวิตจริงไม่มีงานไหนไม่มีปัญหา ไม่มีความสัมพันธ์ใดไม่มีปัญหา ไม่มีครอบครัวไหนไม่มีปัญหา
ไม่มีสังคมไหนไม่มีปัญหา ไม่มีชีวิตไหนไม่มีปัญหา ดังนั้นปัญหาอาจเป็นความธรรมดาอย่างหนึ่งที่เราทุกคนต้องเจอ
แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบปัญหา รวมถึงตัวหมอเองด้วย
เพราะเรามักเลือกดำเนินชีวิตตามแรงปรารถนาปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ ปรารถนาที่จะร่ำรวย ปรารถนาที่จะมีความสุข แต่เราก็มักเผลอลืมว่าระหว่างทางก่อนที่เราจะเดินไปถึงจุดมุ่งหมายของความปรารถนาเราต้องเจออะไรบ้าง
มาถึงตรงนี้ก็พอสรุปได้ว่า ปัญหาคือความธรรมดาที่เราต้องเจอในระหว่างทางของการมีชีวิต
และปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหา แต่การไม่รู้ว่าจะรับมือกับปัญหาอย่างไรต่างหากคือปัญหา เพราะการไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร
ทำให้รู้สึกสูญเสียการควบคุม การรู้สึกควบคุมไม่ได้ก็ทำให้เรากังวลจนอาจทำให้จิตใจค่อยๆห่อเหี่ยวจากความรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ ( ไม่มีใครอยากตกอยู่ในสภาวะที่ทรมานจิตใจเช่นนี้)
หมอเองก็เคยตกอยู่ในสภาวะนี้เช่นกัน จนถึงปัจจุบันก็ยังมีอยู่บ้างแต่เบาบางลงไปมากเพราะเริ่มเป็นเพื่อนสนิทกับปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอานิสงค์ของการที่ต้องทำงานช่วยเหลือให้คนที่จิตใจเหี่ยวเฉาให้กลับมาเบิกบาน จึงต้องมีวิธีการฟื้นฟูจิตใจตัวเองและคนอื่นอย่างทันท่วงที
หมอได้ข้อสรุป 5 R เทคนิคฟื้นฟูจิตใจตัวเองเวลาอ่อนล้าและเริ่มต้นในการแก้ปัญหาในชีวิต
Review : ทบทวนสภาวะจิตใจตัวเอง สภาพปัญหา และสิ่งแวดล้อมรอบข้างตามความเป็นจริง
ข้อนี้เราต้องเริ่มต้นที่ความซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่ใช่ไม่ไหวบอกไว แล้วลองถามตัวเองสั้นๆว่า
“เครียดมั้ย?”
เครียดแค่ไหน?
เครียดกับเรื่องอะไรบ้าง?(ลองเขียนข้อที่ทำให้เครียดออกมามากที่สุด) แล้วเลือกโฟกัสปัญหาที่เรารู้สึกว่ามีผลต่อจิตใจเรามากที่สุด
ปัญหานี้อะไรที่เราแก้ได้? อะไรที่เราแก้ไม่ได้?
แล้วใส่ใจกับปัญหาที่เราแก้ได้เท่านั้น
ยกตัวเองเช่น จากสถานการณ์โควิดทำให้เราต้องถูกลดเงินเดือน และกังวลว่าจะตกงานหรือไม่
เพราะถ้าเราตกงานขาดรายได้จะกระทบในหลายด้านของชีวิต เราเครียดเพราะรู้สึกไม่มั่นคง
ดังนั้นสิ่งที่เราแก้ได้คือ วางแผนและระมัดระวังเรื่องการเงินมากขึ้น ตั้งใจทำงานให้มากขึ้นเพื่อให้องค์กรยังขับเคลื่อนได้ ส่วนสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เช่น ห้ามบริษัทปิดตัวไม่ได้ ปลดล็อกเศรษฐกิจไม่ได้ เราทำได้แค่รับรู้แล้วปล่อยมันไป
Release : การระบายสภาวะตึงเครียดอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
เมื่อเรารับรู้สภาวะของจิตใจของตัวเองชัดเจนขึ้นจากการได้ทบทวน ต่อมาควรระบายความตึงเครียดนั้นออกมา
เพื่อไม่ให้เกิดการย้ำคิดย้ำทำกับปัญหา การระบายนั้นทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การเขียน การพูด
การร้องเพลง เป็นต้น หลักสำคัญคือต้องระบายให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
Relaxation : การมีเทคนิคผ่อนคลายง่ายๆที่ทำเองได้ทันที
การที่สมองและร่างกายอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย จะทำให้จิตใจกลับมาปกติได้ง่ายขึ้น เริ่มเกิดสติปัญญาในการแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น การผ่อนคลายที่เราทำได้ง่ายและทำได้ทันทีคือ การวางจากความคิดแล้วหันมาใส่ใจที่ลมหายใจของตัวเอง หลักคือหายใจเข้าสั้น หายใจออกยาว เพื่อให้ระบบประสาทอัตโนมัติในส่วนของการผ่อนคลายทำงาน
Reset : จัดวางเป้าหมายใหม่และเติมกำลังใจให้ตัวเอง
เมื่อร่างกายและจิตใจเริ่มผ่อนคลาย เราจะมองเห็นข้อดีของตัวเองได้ง่ายขึ้น มองโลกและตัวเองในแง่ดีได้มากขึ้น ชื่นชมตัวเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งการรู้จักชื่นชมตัวเองและให้กำลังใจตัวเองเหมือนที่เราชื่นชมและให้กำลังใจเพื่อนคนหนึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ก่อนที่เราจะเริ่มต้นตั้งเป้าหมายชีวิตใหม่ที่ง่ายและเป็นไปได้มากขึ้น
Restart : เริ่มต้นลงมือทำสิ่งที่จะทำให้ชีวิตีดีขึ้นด้วยแรงจูงใจที่เหมาะสม
เราต้องตระหนักว่า เราไม่อาจฟื้นฟูจิตใจตัวเองหรือมีความสุขได้จากการคิดเท่านั้น
เมื่อเรารู้ว่าความคิดไหนเป็นประโยชน์ ความคิดไหนไม่เป็นประโยชน์
ลองลงมือทำบางสิ่งบางอย่างแล้วทบทวนกับตัวเองอย่างสม่ำเสมอเสมอว่า
สิ่งที่เราทำมีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตของเราอย่างไร
ปัญหาจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ถ้าเรารู้ว่าจะรับมือกับปัญหาอย่างไร และปัญหาจะกลายเป็นเพื่อนที่แสนดีของเราได้เมื่อเราได้การเรียนรู้จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทักษะการฟื้นฟูจิตใจตัวเอง( Healing Skill) จึงเป็นทักษะสำคัญในปัจจุบันสำหรับคนที่อยากจะประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างยั่งยืน เพราะปัญหาคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเราทุกคน
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก หมอเอิ้น พิยะดา ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY