ไม่แปลกเลยที่เราจะคาดหวังให้ทุกสิ่งสวยงามสมบูรณ์แบบ ที่แปลกก็คือเรากำลังตั้งความคาดหวังนั้นบนโลกที่ทุกสิ่งกำลังเดินทางไปสู่ความเสื่อมสลาย หากเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะรับมือกับความผิดหวังนี้ได้อย่างไร
แรนดี เพาช์ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ผู้เขียนหนังสือขายดีไปทั่วโลกอย่าง The Last Lecture เล่าให้ฟังผ่านหนังสือเล่มดังถึงเหตุการณ์หนึ่ง
ในวันที่อากาศอบอุ่นสวยงาม หลังแต่งงานได้ไม่นาน เจ-ภรรยาของเขาถอยรถไปชนรถอีกคันหนึ่งในโรงรถที่บ้าน เธอตกใจมาก และพยายามหาวิธีบอกข่าวร้ายนี้กับแรนดีด้วยวิธีที่ละมุนละม่อมที่สุด
จัดแจงปิดโรงรถให้สนิท ทำตัวอ่อนหวานกว่าปกติในเย็นวันนั้น ถามไถ่เขาเมื่อกลับถึงบ้านว่าวันนี้ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง เปิดเพลงเพราะๆ คลอเบาๆ ทำอาหารจานโปรดให้ ทำทุกอย่างเพื่อให้แรนดีรู้สึกดีและสบายใจ
ระหว่างรับประทานอาหารรสเลิศในค่ำคืนนั้น เจบอกกับเขาว่า “แรนดีคะ ฉันมีเรื่องอยากจะสารภาพกับคุณ คือฉันขับรถของเราคันหนึ่งไปชนอีกคันหนึ่งค่ะ”
แรนดีเอ่ยปากถามเจว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และให้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าสภาพรถเสียหายมากน้อยแค่ไหน เจบอกกับเขาว่าทั้งสองคันบุบพอสมควร โดยรถเปิดประทุนของแรนดีอาการหนักกว่า แต่ทั้งคู่ยังใช้งานได้อยู่ ว่าแล้วก็ชวนให้เขาไปดูสภาพรถทั้งสองคัน แต่แรนดี้กลับบอกว่า “ไม่เป็นไร เรากินอาหารให้เสร็จก่อนดีกว่า”
เจประหลาดใจมากที่แรนดีไม่โกรธ กระทั่งดูเหมือนไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
…
หลังรับประทานอาหารเรียบร้อย ทั้งคู่เดินไปดูสภาพรถที่โรงรถ แรนดียักไหล่เหมือนไม่ใช่ปัญหาอะไรนักสำหรับเขา นาทีนี้ความกังวลใจที่เจแบกไว้บนบ่ามาตลอดทั้งวันพลันมลายหายไป เธอสัญญากับเขาว่าจะรีบให้ช่างมาตีราคาค่าซ่อมรถตอนเช้าพรุ่งนี้
แรนดีบอกกับเจว่า “ไม่จำเป็นหรอก รอยบุบพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พ่อแม่เลี้ยงผมมาให้มองว่ารถมีหน้าที่แค่พาเราจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งเท่านั้น มันเป็นของใช้ ไม่ใช่เครื่องแสดงสถานะทางสังคม ไม่ต้องตกแต่งมันให้กลับมาสวยงามหรอก เราจะอยู่ร่วมกันกับรอยบุบๆ ยุบๆ นี่ละ” (จากคำพูดนี้คงเดาได้ว่าเขาไม่ได้ทำประกันชั้นหนึ่ง)
ฟังแล้วผมแอบคิดว่านี่คือวิธีตอบโต้ของแรนดีหรือเปล่า เขาต้องการสั่งสอนเจที่ขับรถชนด้วยการลงโทษให้ใช้รถบุบๆ แบบนี้ไปใช่ไหม แต่เจตนาของแรนดีนั้นลึกซึ้งและชัดเจน
เมื่อเจถามว่า “เราจะขับรถบุบๆ แบบนี้ไปไหนมาไหนเหรอคะ”
แรนดีตอบ “ที่รัก คุณคงไม่สามารถเลือกแค่บางส่วนของผมได้ คุณชื่นชอบที่ผมไม่โกรธคุณเมื่อสิ่งที่เราเป็นเจ้าของต้องเสียหาย แต่คุณต้องยอมรับอีกด้านที่ผมมีความเชื่อด้วยว่า หากข้าวของนั้นยังใช้การได้อยู่ เราก็ไม่ต้องซ่อมแซมมัน รถสองคันนี้ยังขับได้ เราก็ใช้มันไปแบบนี้แล้วกัน”
เรื่องเล่าจบลงตรงนี้ ยากจะคาดเดาว่าทั้งคู่ใช้รถสองคันนี้ในสภาพบุบๆ ไปอีกนานแค่ไหน ถึงวันหนึ่งทั้งคู่อาจตกลงปลงใจว่าจะซ่อมมันก็เป็นได้ หรืออาจใช้มันไปทั้งอย่างนั้นกระทั่งรู้สึกชินและเห็นเป็นปกติ
ฟังเรื่องของแรนดีกับเจแล้วผมอดหวนคิดถึงเรื่องราวของคู่ตัวเองไม่ได้ ไม่นานนักหลังจากถอยรถใหม่ออกจากโชว์รูม วันหนึ่งที่แฟนสาวของผมยืมรถไปใช้ เธอหักพวงมาลัยชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างจัง รถพังยับขณะที่ยังติดป้ายทะเบียนสีแดงอยู่เลย แน่นอนว่ารู้สึกเสียดายมาก ผมไม่เหมือนแรนดี และรถของเราอาจยับและยุบเกินกว่าจะจำใจใช้มันไปเรื่อยๆ ได้ เรานำมันเข้าอู่ซ่อม แต่ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่โกรธแฟนที่ทำให้รถเสียหาย
อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับและทำใจ คงมีบางคนเคยพบประสบการณ์คล้ายกันกับนิสัยบางอย่างของคนใกล้ตัวที่บันดาลให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างซ้ำๆ ขึ้นเสมอ คอมพิวเตอร์ มือถือ และอุปกรณ์หลายสิ่งที่ผ่านมือของเธอมักมีรอยบิ่นแตกเกิดขึ้นแทบทุกชิ้น ผมเตือนเธอให้เพิ่มความระมัดระวัง แต่ก็ดูเหมือนว่าการทำของหล่นให้ยุบแยกแตกสลายจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเธอไปแล้ว มันอาจจะน่าหงุดหงิดใจอยู่บ้างแหละหากเราไม่มองกลับมาที่ตัวเองว่ามีนิสัยแย่ๆ อะไรของเราบ้างที่เธอต้องยอมรับและไม่โกรธเวลาที่เราเป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าตัวเองมีนิสัยทำนองนั้นนับไม่ถ้วน รวมแล้วอาจทำให้เรื่องทำข้าวของแตกหักของเธอกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยก็เป็นได้
จึงเข้าใจคำพูดของแรนดีที่บอกว่า “คุณคงเลือกแค่บางส่วนของผมไม่ได้” ในความสัมพันธ์ย่อมมีสิ่งที่เรารู้สึกว่าเรา “โชคดี” ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องมีบางสิ่งที่เราอาจรู้สึกว่าเรา “โชคไม่ค่อยดี” คู่กันไปด้วย แต่ความสัมพันธ์ที่ยืดยาวและเราเลือกที่จะรักษาไว้มักมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า “โชคดี” มากกว่าแน่ๆ
ที่เหลือก็แค่ยอมรับ เพราะมันคุ้มค่ากับโชคดีที่เราได้มา
แรนดีบอกว่ารถบุบๆ สองคันนั้นแสดงออกถึงความเชื่อหนึ่งในชีวิตการแต่งงานของเขา นั่นคือไม่ใช่ทุกสิ่งหรอกที่ต้องซ่อมให้สวยงามเสมอไป
ผมคิดว่าบางทีความทุกข์ก็เกิดจากการพยายามซ่อมให้ทุกสิ่งกลับไปสวยงามเหมือนวันแรก ทั้งพยายามทำให้ตัวเองเป็นคนเพอร์เฟ็กต์ พยายามเรียกร้องให้คู่รักของเราเป็นคนสมบูรณ์แบบตามภาพฝันที่เราวาดไว้ หรือพยายามทำให้ความสัมพันธ์ไร้จุดด่างพร้อย สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดความทุกข์ ทั้งที่ในความสัมพันธ์นั้นไม่จำเป็นต้องสวยงามไปเสียทุกสิ่งอย่าง ที่สำคัญ เราแคร์สายตาคนอื่นที่มองมายังรถบุบๆ ที่เรานั่งไปด้วยกันคันนั้นด้วย หากละวางสิ่งนี้ได้เราอาจจะนั่งรถบุบๆ คันนั้นไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้
มันไม่ได้เพอร์เฟ็กต์เหมือนเพิ่งออกจากโชว์รูมหรอก เพราะรถที่สวยงามเนี้ยบกริ๊บนั้นมีแต่รถที่จอดโชว์ไว้แล้วไม่ได้ใช้งานเท่านั้นแหละ รถที่เราใช้สอยอาจจะบุบหรือมีรอยขูดขีดบ้าง แต่มันยังใช้การได้ ยังพาเราไปไหนมาไหนได้
เรา—หมายถึงเราทั้งสองคน
ไม่ต้องพยายามซ่อมให้สวยงามตลอดเวลา แต่มีความสุขกับการยอมรับรอยบุบที่เกิดขึ้น
สิ่งสำคัญคือเรายังมุ่งหน้าไปด้วยกันบนเส้นทางของเราสองคน
ความเห็น 13
Pongsak⚜️
เวลาเท่านั้นครับที่บอกได้ว่าจะช้าหรือเร็ว
21 ส.ค. 2561 เวลา 17.37 น.
เป็นหนังสือที่ดีมากเลยครับผม.บอกถึงเรื่องราว
ของการใช้ชีวิตร่วมกันใด้อย่างลงตัวครับ.รถเป็น
เพียงวัฒถุ.ย่อมมีวันผุพัง..แต่ถ้าเราทำให้คนที่จะ
เดินเคียงคู่ไปกับเราไปตลอดชีวิตต้องมาเสียใจ
หรือไม่มั่นใจในตัวเรา.เพราะความไม่มีเหตุผล
ชีวิตคู่ที่จะเดินต่อไปก็ไม่สมบูญแบบครับผม.
ขอติดตามนะครับ.
19 ส.ค. 2561 เวลา 01.55 น.
Sunee
เยี่ยมค่ะ
11 ส.ค. 2561 เวลา 06.53 น.
ไม่ใช่แฟนทำแทนได้ไหม
พูดไม่ออก รุ้สึกจุกที่อก น้ำใสๆก้ค่อยๆรินออกจากตา...(ฉันกำลังยิ้มอยุ่นะ😊)
09 ส.ค. 2561 เวลา 07.56 น.
เป็นนักเขียนที่มีมุมมองดีๆ น่าชื่นชมอีกคน เป็นกำลังใจให้นะคะ
04 ส.ค. 2561 เวลา 14.43 น.
ดูทั้งหมด