นักปฎิวัติ (โจเซฟ สตาลิน), นักจิตวิเคราะห์ (ซิกมันด์ ฟรอยด์), บรรณาธิการหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้า (เลออน ทรอตสกี), เด็กหนุ่มผู้รักศิลปะ (อดอล์ฟ ฮิตเลอร์), สถาปนิก (อดอล์ฟ โลส), พนักงานของโรงงานผลิตรถยนต์ (ยอซีป บรอซ หรือต่อมาคือ ติโต นักปฎิวัติชาวยูโกสลาเวีย) และนักคิดนักเขียนชื่อดังอีกมากมาย ต่างเคยตบเท้าเข้าชิมกาแฟจากร้านนี้ ที่มุมใดมุมหนึ่งของร้าน บทสนทนาเปลี่ยนประวัติศาสตร์และความคิดที่จะนำพาโลกยุคใหม่ไปในแนวทางที่ไม่มีใครคิดฝันกำลังถูกถกเถียงกันบนเก้าอี้สักตัว และถ้าคุณมองให้ดี Central Café ร้านกาแฟที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1876 ยังคงยืนหยัดท้ากาลเวลา และเปิดประตูต้อนรับผู้สนใจกาแฟและประวัติศาสตร์ ในบรรยากาศที่พาเราย้อนกลับไปในอดีต เมื่อครั้งออสเตรียยังปกครองโดยระบบกษัตริย์ และเวียนนายังเป็นที่ประทับของจักรพรรดิฟรานซ์ โยเซฟที่ 1 กับจักรพรรดินีคนงามนามว่าซีซี่ (จักรพรรดินีเอลิซาเบธ)
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ในขณะที่ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ยังคลั่งไคล้การดื่มชา เวียนนาเป็นเมื่องใหญ่เมืองแรก ที่เปิดรับวัฒนธรรมกาแฟซึ่งเริ่มแพร่เข้ามาผ่านการค้าขายและการสงครามระหว่างออสเตรีย-ฮังการีกับอาณาจักรออตโตมัน เวียนนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากถึง 2 ล้านคน จาก 15 เชื้อชาติ จนได้รับการขนานนามว่า cultural soup หม้อใหญ่ในยุโรป การจัดสภากาแฟเพื่อการแลกเปลี่ยนความเห็นทางการเมืองได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ชุมชนนักคิดของเวียนนาแม้ไม่ได้ขนาดใหญ่แต่ใกล้ชิดและรู้จักกันเป็นอย่างดี ที่นี่ ปัญหาจากยุโรปตะวันตกและตะวันออก ถูกนำออกกางบนโต๊ะเพื่อถกเถียง เราสามารถพบกลุ่มคนน่าสนใจจากทุกชาติ ทุกภาษา และหากต้องการพบกลุ่มคนที่ความคิดเห็นก้าวหน้า Central Café คือร้านกาแฟที่ควรค่าแก่การไปสักครั้ง
Central Café ในอดีตถูกใช้เป็นที่นัดพบของสมาคมปรัชญาและวิทยาศาสตร์ (Vienna Circle) ที่ชั้นล่างของร้าน บรรดานักหมากรุกมือฉมังมักนัดหมายเพื่อจิบกาแฟระหว่างดวลหมากเกมกระดานจนร้านได้รับชื่อที่สองว่า “โรงเรียนสอนหมากรุก” (Chess school - Die Schachhochschule) ที่ตั้งของ Central Café อยู่บนถนนเส้นหลักของกรุงเวียนนาในอดีต ถนน Herrengasse เป็นเส้นทางที่อยู่ใกล้กับพระราชวังโฮฟบวร์คซึ่งเป็นอดีตพระราชวังหลวงใจกลางกรุงเวียนนา คำว่า Herrengasse มาจากคำว่า Herren ในภาษาเยอรมัน หมายถึงผู้สูงศักดิ์ ชื่อนี้สะท้อนความจริงในอดีตเพราะถนนเส้นนี้มักเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของขุนนางและเชื้อพระวงศ์ ตัวอาคารที่ตั้งของร้านเอง ก็ถูกออกแบบมาให้ดูหรูหราสมฐานะ โดยใช้แนวคิดการผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเวียนนา เข้ากับสถาปัตยากรรมจากเมืองฟลอเรนซ์ในประเทศอิตาลี กลายเป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและให้กลิ่นอายของยุคคลาสสิกไปพร้อมๆ กัน
ปัจจุบัน Central Café ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 10 ร้านกาแฟที่สวยที่สุดในโลกและเป็นจุดแวะพักของบรรดานักท่องเทียวจากหลากหลายที่มา นอกจากกาแฟแบบคลาสสิกที่เสิร์ฟในร้านมาร่วม 150 ปี ปัจจุบันร้าน Central Café ยังมีเมนูอาหารและเมนูของหวานที่น่าประทับใจภายใต้คอนเสปต์ “Classic Viennese” ที่พาเราย้อนเวลากลับไปรู้จักเวียนนาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
เมนูอาหารที่เสิร์ฟกันในร้านได้ชื่อว่าคงสูตรอาหารแบบดั้งเดิมเหมือนในอดีต เมนูดังของที่นี่ยกตัวอย่างเช่น ชนิทเซิล (Schnitzel) หมายถึงเนื้อนำมาทุบเป็นแผ่นบางก่อนนำไปชุบแป้ง ไข่ เกล็ดขนมปัง แล้วนำไปทอด เมนูนี้ถือเป็นเมนูยอดฮิตในกลุ่มอาหารเยอรมันและนิยมทำจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัว กูลาชซุป (goulash soup) หรือซุปเนื้อคลาสสิกแบบฮังการีที่ใช้วิธีพิถีพิถันเคี่ยวอย่างยาวนานจนได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มและหอม Central Café ยังมีเมนูเด่นที่น่าสนใจคือ Tafelspitz (เนื้อตุ๋นเวียนนา) หรือเนื้อสเต๊กที่ผ่านการตุ๋นจนนุ่ม - เมนูโปรดของจักรพรรดิฟรานซ์ โยเซฟที่ 1
กาแฟของร้านซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ มีกิมมิกที่น่าสนใจคือการเสิร์ฟพร้อมกับแก้วใส่น้ำเปล่า โดยมีช้อนวางคว่ำอยู่ที่ปากแก้ว การวางช้อนไว้แบบนี้หมายความว่าน้ำในแก้วนั้นเพิ่งถูกรินใส่แก้วใหม่ๆ ถือเป็นมารยาทที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮับส์บูร์ก การเสิร์ฟน้ำพร้อมกาแฟ ยังหมายถึงมารยาทในการล้างปากก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้รสชาติที่สมบูรณ์มากที่สุด
สำหรับคนชอบของหวาน แพนเค้กออสเตรียสูตรลูกเกด (Kaiserschmarrn) ก็เป็นอีกหนึ่งรายการที่ไม่ควรพลาด สูตรของทางร้านสามารถสืบย้อนกลับไปตั้งแต่ในสมัยของจักรพรรดิฟรานซ์ โยเซฟที่ 1 ทางร้านยังเสิร์ฟครัวซองต์แบบเวียนนา ซึ่งเป็นต้นแบบครัวซองต์ของฝรั่งเศส (ครัวซองต์ถูกแนะนำในฝรั่งเศสในสมัยของพระนางมารี อ็องตัวเน็ต ราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากออสเตรีย) อีกหนึ่งเมนูที่ควรค่าแก่การแนะนำคือ Café Central Torte หรือ apple strudel สูตรคลาสสิกของเวียนนา ทำจากแป้งแพนเค้กเนื้อบางยัดไส้ด้วยผลไม้และแยมแอปริคอท
นอกจากอาหาร มีการกล่าวขวัญกันว่าแม้แต่รูปแบบการบริการของร้านนี้ ก็ยังคงรูปแบบเป็นทางการเหมือนในอดีต ซึ่งอาจไม่ถูกใจใครที่ชอบการจิบกาแฟในบรรยากาศเป็นกันเองและเรียบง่าย อย่างไรก็ดีหากมีโอกาสได้ไปเยือนเวียนนาในสักวัน การใช้เวลาสักหนึ่งชั่วโมงเพื่อลองย้อนเวลากลับไปสัมผัสบรรยากาศในอดีตก็เป็นอีกมุมหนึ่งของเวียนนาที่ไม่น่าพลาด
.
ติดตามบทความของเพจพื้นที่ให้เล่า ได้บน LINE TODAY ทุกวันเสาร์
.
อ้างอิง