การปวดบริเวณขาหนีบเป็นเรื่องที่พบได้ไปในผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ถ้าหากรู้สึกปวดร่วมกับมีไข้ บริเวณขาหนีบบวมแดง หรือมีเลือดออกมาพร้อมปัสสาวะ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
อาการปวดขาหนีบคือ ความรู้สึกไม่สบายในบริเวณดังกล่าว มักเกิดจากการออกกำลังกาย เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน การเล่นกีฬาต่างๆ ที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบตึง หรือฉีกขาด อาการนี้เป็นหนึ่งในอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุดในหมู่นักกีฬา
สาเหตุของอาการปวดขาหนีบ
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดขาหนีบคือ กล้ามเนื้อ เอ็นยึดกล้ามเนื้อ หรือเอ็นยึดกระดูกในบริเวณขาหนีบเกิดการตึง หรือฉีกขาดขึ้น การบาดเจ็บประเภทนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในนักกีฬา รวมทั้งผู้ออกกำลังกาย
อีกสาเหตุของอาการปวดขาหนีบคือ โรคไส้เลื่อน (Inguinal hernia) ที่เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อภายในของช่องท้องดันตัวทะลุผ่านจุดบางที่สุดในกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบออกมาด้านนอก ภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดก้อนเนื้อนูนบริเวณขาหนีบและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดตามมา
นอกจาก 2 ภาวะดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดขาหนีบได้ เช่น
- โรคลำไส้อักเสบ
- โรคอัณฑะอักเสบ
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ซีสต์รังไข่
- เส้นประสาทกดทับ
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- โรคข้อสะโพกเสื่อม (Osteoarthritis of hip)
- นิ่วในไต
- กระดูกบริเวณขาหนีบหัก
การวินิจฉัยอาการปวดขาหนีบ
อาการปวดขาหนีบส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เว้นแต่อาการปวดอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน ร่วมกับอาการบวมที่บริเวณอัณฑะ มีไข้สูง หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ
แพทย์จะประเมินสถานการณ์เบื้องต้นด้วยการซักประวัติและกิจกรรมที่ทำล่าสุด และอาจให้มีการตรวจเพิ่มเติมต่อไปนี้ เพื่อหาสาเหตุการปวดขาหนีบได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
- การตรวจโรคไส้เลื่อน แพทย์จะสอดนิ้วหนึ่งนิ้วลงในถุงอัณฑะและขอให้ผู้เข้ารับการตรวจไอแรงๆ การไอจะเพิ่มความดันของช่องท้องและผลักลำไส้เข้าสู่ช่องเปิดไส้เลื่อนดังกล่าว
- การถ่ายรังสีเอ็กซ์เรย์และการทำอัลตร้าซาวด์ เพื่อวินิจฉัยว่า มีกระดูกร้าว ก้อนเนื้อในอัณฑะ หรือถุงน้ำรังไข่ที่ทำให้เกิดอาการปวดขาหนีบหรือไม่
- การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC) การตรวจเลือดชนิดนี้สามารถบ่งบอกได้ว่า มีการติดเชื้อหรือไม่
การรักษาอาการปวดขาหนีบ
วิธีการรักษาอาการปวดขาหนีบนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น หากเกิดจากต่อมน้ำเหลืองโตก็ต้องหาสาเหตุของต่อมน้ำเหลืองโตและให้การรักษาภาวะต่อมน้ำเหลืองโต
หากอาการปวดขาหนีบเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อฉีก ผู้ป่วยสามารถกลับไปดูแลตัวเองที่บ้านได้ ด้วยการพักผ่อนและงดออกกำลังกายเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติ
หากรู้สึกปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟนร่วมกับการประคบเย็นครั้งละ 20 นาทีได้
แต่ถ้าสาเหตุของการปวดขาหนีบเกิดจากภาวะไส้เลื่อน กระดูกหัก หรือกระดูกร้าว อาจต้องรักษาซ่อมแซมกระดูกส่วนนั้นด้วยการผ่าตัด และเข้ารับการทำกายภาพบำบัด เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การป้องกันอาการปวดขาหนีบ
การป้องกันอาการปวดขาหนีบในผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หรือนักกีฬาที่ดีที่สุดคือ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและวอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย รวมทั้งการคลูดาวน์ซึ่งเป็นเคลื่อนไหวร่างกายเบาๆ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หลังการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายค่อยๆ เย็นลงช้าๆ เพื่อลดอาการบาดเจ็บนั่นเอง
ส่วนการป้องกันการเกิดภาวะไส้เลื่อน คือการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานผักและผลไม้ เพื่อป้องกันอาการท้องผูกที่ต้องเบ่งอุจจาระอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะไส้เลื่อนได้
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิงและผู้ชายทุกวัย จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
👨⚕️⚕️👩⚕️⚕️ ค้นหาโรค อาการ ยา โรงพยาบาล คลินิก และอ่านบทความสุขภาพ เขียนโดยคุณหมอหรือผ่านการรีวิวจากคุณหมอแล้ว ที่ www.honestdocs.co และ www.honestdocs.id
💪❤️ ไม่พลาดข้อมูลดีๆ ที่จะทำให้คุณแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ คลิกที่นี่เพื่อแอดไลน์ @hdcoth หรือแสกน QR Code ด้านล่างนี้ และยังติดตามเราได้ที่ Facebook และ Twitter วันนี้
📱📰 โหลดแอป HonestDocs สำหรับ iPhone หรือ Android ได้แล้ววันนี้! จะอ่านบทความ จะเก็บบทความไว้อ่านทีหลัง หรือจะแชร์บทความให้คนที่เราเป็นห่วง ก็ง่ายกว่าเดิมเยอะ
เปรียบเทียบดีลสุขภาพ ทำฟัน และความงาม จาก รพ. และคลินิกกว่า 100 แห่ง พร้อมจองคิวผ่าน HonestDocs คุณหมอมือถือได้เลยวันนี้ ถูกกว่าไปเอง
ขอบคุณที่วางใจ ทุกเรื่องสุขภาพอุ่นใจ ให้ HonestDocs (ออเนสด็อกส์) คุณหมอมือถือ ดูแลคุณ ❤️