โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

หรือเพราะชีวิตไม่มีหวัง? เทรนด์คนรุ่นใหม่ ขอใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่ต้องการ ‘สำเร็จ’ หรือ ‘ร่ำรวย’

TODAY

อัพเดต 09 ม.ค. 2566 เวลา 10.19 น. • เผยแพร่ 09 ม.ค. 2566 เวลา 11.30 น. • workpointTODAY

‘วัยรุ่น’ กับการวิ่งตามความฝันและความสำเร็จมักจะอยู่คู่กันเสมอในภาพจำของใครหลายคน แต่อย่างไรก็ตาม ‘ความฝัน’ และ ‘เส้นชัยที่วัดความสำเร็จ’ ของวัยรุ่นส่วนมากกลับถูกขีดเขียนขึ้นโดยคนอื่น ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง รวมไปถึงค่านิยมของสังคมที่เติบโตมา

แล้วจะแปลกมั้ย? ถ้าวัยรุ่นปัจจุบันไม่คิดที่จะตั้งหมุดหมายชีวิตไปที่ ‘เส้นชัย’ หรือความคาดหวังที่ไม่ใช่ของตนเอง? แถมยังเกิดเทรนด์การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ที่ความสำเร็จและความร่ำรวยเริ่มถูกมองข้าม ค่านิยมของการทุ่มเททำงานหนักเริ่มหมดไป ใครที่หา Work-Life Balance ได้และมีความสุขกับชีวิตถึงจะเป็นคนเก่ง

เหตุผลเบื้องหลังเทรนด์เหล่านี้คืออะไร? วันนี้ TODAY Bizview จะพาคุณมาวิเคราะห์และลองมองโลกผ่านสายตาของวัยรุ่นสมัยใหม่ไปด้วยกัน

[ ความกดดันแรก : เก้าอี้ดนตรีแห่งความสำเร็จ ]

อายุเท่าไหร่ต้องมีอะไรบ้าง? บ้าน รถ แต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ต้องรีบรวยก่อนใคร! เป็นเจ้าของกิจการ เป็นนายตัวเอง เราจะเป็นอิสระทางการเงินได้เมื่อไหร่? คุณเคยมีคำถามเหล่านี้อยู่ในหัวหรือไม่?

ไหนจะคำพูดติดปากในสังคม เช่น “เก็บเงินล้านแรก” “อายุน้อยร้อยล้าน” “CEO Mindset” ในขณะเดียวกันกับที่มีหนังสือพัฒนาตัวเองตีพิมพ์กันออกมาไม่หยุดหย่อน และอาชีพ “ไลฟ์โค้ช” ก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จนทำให้เราหลงคิดไปว่า ‘ความสำเร็จเป็นเรื่องปกติ’ แต่คนที่ไม่สำเร็จต่างหากที่เป็นคนไม่ปกติ

ที่กล่าวมาข้างต้นคือบางส่วนในบริบทสังคมที่สะท้อนออกมาจากค่านิยมของชาวเอเชียที่ทำให้เราเผลอเอาคุณค่าของความเป็นคน ไปผูกติดอยู่กับความสำเร็จโดยไม่รู้ตัว

จนทำให้ทั้งวัยรุ่น และแม้แต่วัยอื่นๆ เองก็เริ่มหลงลืมความจริงที่ว่า “เก้าอี้ของคนสำเร็จไม่ได้มีพอสำหรับทุกคน” และโอกาสในความสำเร็จที่เริ่มจากศูนย์ ในยุคข้าวยากหมากแพงก็ริบหรี่เหลือเกิน

การเลือกเส้นทางผิดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความล้มเหลวทั้งชีวิต และถูกตราหน้าว่าหมดคุณค่าในสังคมไปได้ จึงไม่แปลกที่มีคนจำนวนมากเลือกเดินทางสายกลาง ไม่ต้องโดดเด่น แต่ก็ใช้ชีวิตไปได้แถมยังมีความสุขอีกด้วย

[ ความกดดันที่สอง : ขยัน อดทน ตั้งใจเรียน ไม่ได้การันตีผลลัพธ์ ]

เมื่อการลงมือทำจากศูนย์เป็นไปได้ยาก ใบปริญญาจึงกลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การเลื่อนสถานะทางสังคมได้

ความกดดันจากรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายจึงถาโถมเข้ามาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งการต้องแบกความสถานะ ‘ฮีโร่ของบ้าน’ ในการพลิกชีวิตที่ติดลบของคนทั้งครอบครัวให้กลับมาบวกได้ จึงเป็นน้ำหนักที่เกินกว่าคนหนึ่งคนจะรับไหว

ต้องผ่านการช่วงชิงเกียรตินิยม และความเป็นที่หนึ่งแทบตาย แต่เมื่อกำลังจะเข้าสู่วัยทำงานก็กลับค้นพบว่า เกรด 4 มันไม่ได้การันตีความสำเร็จใดๆ เลย

ตลาดแรงงานปัจจุบันมีการแข่งขันสูง มีตำแหน่งที่เปิดรับลดลงเกือบ 50% แถมยังต้องการสกิลที่สูงขึ้น โดยคนที่ไม่เคยมีงานทำมาก่อนเลยเมื่อปลายปี 64 กว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เรียนจบระดับอุดมศึกษาทั้งสิ้น

แล้วถึงจะหางานทำได้ ก็ไม่ได้ตรงกับทักษะที่เรียนมา อย่างกรณีอาชีพไรเดอร์ก็มีสัดส่วนของคนจบปริญญาตรีอยู่ราว 20% สะท้อนถึงระยะเวลา 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาที่เสียไปอย่างสูญเปล่า รวมไปถึงความสำเร็จที่ได้มาในวัยเรียนก็หมดความหมายทันทีเมื่อมาเจอกับชีวิตวัยทำงาน

[ ความกดดันที่สาม : ค่าครองชีพสูง รายได้ไม่สูงตาม ]

หนึ่งชีวิตในปัจจุบันที่ไม่ได้มีมรดกหนุนหลังไว้ ต้องมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราวๆ 21,000-23,000 บาทต่อเดือน หนำซ้ำผลกระทบจากเงินเฟ้อเอย ราคาพลังงานขึ้นสูงเอย เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ขั้นต่ำของค่าข้าวและค่าเดินทางต้องปรับตัวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รายได้ของคนกลุ่มนี้กลับไม่โตตาม

“ไม่เลือกงานไม่ยากจน” วลีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว ถึงประหยัดให้ตายก็ไม่มีเงินเหลืออยู่ดี

ถ้าอยากให้รายได้โตตาม ก็ต้องย้ายเข้าไปทำงานในย่านที่ความเจริญกระจุกตัว ยิ่งถ้ามีข้อจำกัดด้านเวลา ก็ยิ่งทำให้โอกาสในการต่อรองกับนายจ้างก็ลดน้อยลงไปอีก รีบคว้าไว้ก็โดนกดค่าจ้าง แต่ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะได้งานอีกเมื่อไหร่

ช่วงแรกของงานใหม่ เงินเดือนใหม่ เหมือนชีวิตจะสดใส แต่ถ้าเอาสุขภาพจิตและเวลาชีวิต 3-4 ชั่วโมงต่อวันบนรถสาธารณะมาแลกไม่ไหว ก็ต้องซื้อรถหรือเช่าห้องพักอยู่ใกล้ที่ทำงาน

ส่วนต่างของรายได้กับร่ายจ่ายก็ถูกบีบให้บางเหมือนเดิม ยิ่งเป็นงานในประเภทอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ เช่นไรเดอร์ ที่ดูเหมือนจะรายได้ดี แต่สุดท้ายเราก็กลับกลายเป็นสินค้าหนึ่ง เนื่องจากธุรกิจสมัยใหม่เน้นที่การลดต้นทุนในทุกด้าน สวัสดิการและความเสี่ยงในชีวิตก็ถูกผลักมาให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล

ในปัจจุบันโดยเฉลี่ยแล้ว ประชาชนกว่าครึ่งไม่ว่าจะวัยไหนหาเงินได้แค่ 70-80% ของรายจ่ายเท่านั้น ไม่ว่าจะมองทางไหน ชีวิตก็ดูติดลบตัวแดงอยู่ตลอดเวลา ค่าจ้างต่ำ สวัสดิการต่ำ อำนาจต่อรองต่ำ คุณภาพชีวิตถูกจัดลำดับชั้นตามเงินในกระเป๋า ใครทำงานหาเงินได้เยอะถึงจะสามารถซื้อสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้

[ แค่ ‘ไม่ตาย’ ก็ถือเป็นรางวัลแล้ว ]

มีเพียง 15% ของคนที่เกิดในครอบครัวระดับล่างของสังคมไทยที่สามารถเลื่อนขั้นสถานะทางสังคมของตนเองได้ คนที่เหลือก็ได้แต่ถูกสั่งให้วิ่งตามความฝันที่สวยงามแต่ว่างเปล่า จนเริ่มหมดแรงแล้วหันมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราจะเครียดกับงานขนาดนี้ไปเพื่ออะไร?” หรือ “คนอื่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ทำไมเรายังอยู่แค่นี้?”

ยิ่งคำถามเหล่านี้ไม่ได้รับคำตอบที่ดีพอ สุดท้ายพวกเขาก็จะรู้สึกหลงทาง ท้อแท้ และไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เหลือเป้าหมายในชีวิตการทำงานไว้เพียงแค่ “ไม่ตาย” ก็เป็นรางวัลแล้ว

ซึ่งถ้าสิ่งที่กล่าวมาคือสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ คุณไม่ได้กำลังโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

กลุ่มวัยรุ่นในประเทศจีนเองก็มีเทรนด์ ‘ป่านล่าน’ (摆烂) หรือที่แปลว่า ‘ปล่อยให้เน่าไป’ ซึ่งเป็นความตลกร้ายต่อสถานการณ์คล้ายๆ ในบ้านเราที่กล่าวมา

เทรนด์นี้เชื่อว่า ‘ชีวิตไม่ได้มีคุณค่าหรือความหมายอะไร’ ให้ชีวิตไปเรื่อยๆ ให้โชคชะตามันพาไป ไม่ทะเยอทะยาน ไม่แคร์เรื่องความไม่สำเร็จ เมื่อเจอสถานการณ์เลวร้ายก็แค่ยอมรับมัน ไม่ต้องพยายามไปเปลี่ยนแปลงอะไร อย่างมากก็แค่โพสต์รูปลงโซเชียลมีเดียและติด #เหนื่อย และ #ช่างมันเถอะ เท่านั้น

ส่วนที่ญี่ปุ่นเองก็มี ‘Satori Generation’ ซึ่งเป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่ “ไม่อยากรวย” เพราะมีนิสัยไม่ชอบความกดดันและไม่อยากรับมือกับความผิดหวัง คนกลุ่มนี้จึงเน้นใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ มากกว่าจะตั้งเป้าหมายในอนาคต

ที่น่าสนใจคือคนกลุ่มนี้ไม่ได้มีความต้องการในการซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงเลย ถ้าต้องซื้อรถยนต์หรือบ้านก็ยอมรับได้กับการซื้อในราคาขั้นต่ำเพื่อใช้ในการอยู่รอดเท่านั้น

[ แค่ค่านิยมใหม่ชั่วคราว หรือปัญหาระยะยาวของชาติ ]

อย่างที่เราก็พอคุ้นกันอยู่บ้างว่าชาติตะวันตกมีค่านิยมต่อความสำเร็จที่ตรงกันข้ามกับชาติเอเชีย เอเชียเน้นความพยายาม ขยัน อดทน ความเก่ง ไม่ล้มเหลว

แต่ชาติตะวันตกเน้นที่ความฝัน แรงบันดาลใจ หรือนี่อาจจะเป็นค่านิยมของชาวเอเชียที่กำลังวิวัฒนาการไปจากเดิมก็ได้

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเทรนด์เหล่านี้จะเป็นแค่กระแสชั่วคราวหรือไม่ ในส่วนของภาครัฐก็ควรต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจไว้ด้วย

รวมถึงเราทุกคนในสังคมก็ควรปรับความเข้าใจเพื่อจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างลงตัวเช่นกัน

แล้วคุณล่ะ มองทางออกของเรื่องนี้ไว้อย่างไร?

อ้างอิง:

https://prachatai.com/journal/2022/08/100231

https://decode.plus/20220401/

https://thestandard.co/bachelor-degree-job-finding-crisis/

https://www.nationtv.tv/original/378837833

https://waymagazine.org/what-is-the-difference-between-the-old-generation-and-this-generation/

https://voicetv.co.th/read/BJ8qHeIVf

https://thegrowthmaster.com/growth-mindset/rhythm-of-life

https://sumrej.com/why-young-people-dont-buy-car-or-house/

https://brandinside.asia/why-new-gen-no-better-life-than-parents/

https://th.hrnote.asia/recruit/211217-working-experience-gen-z/

https://adecco.co.th/th/knowledge-center/detail/global-workforce-of-the-future-1

https://www.unlockmen.com/quarter-life-crisis/

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...