โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ส่องตลาดน่าลงทุนในครึ่งปีหลัง เพิ่มพลังพอร์ตแกร่ง พร้อมรับทุกสภาวการณ์

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 02 มิ.ย. เวลา 05.00 น. • เผยแพร่ 02 มิ.ย. เวลา 05.00 น.

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ทุกวันนี้ สถานการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ พร้อมจะพลิกผันกลับทิศไปมาได้อย่างรวดเร็วแบบที่ไม่มีใครคาดเดาล่วงหน้าได้เลยจริงๆ ครับ โดยเฉพาะวิกฤติที่เกิดจากคน ซึ่งจะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาล้วนๆ ทำให้เกิดเรื่องที่เหนือคาดได้ง่ายมากๆ

และบุคคลหนึ่งเดียวผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้โลกพุ่งเป้าในเวลานี้ ก็คือ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ซื่งไม่มีใครจะคาดเดาความคิดได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจไม่สามารถคาดเดาหรือหวังผลลัพธ์สิ่งที่ปรารถนาได้ 100% เช่นกัน อย่างเช่น กรณีการเจรจากับจีน ที่ก็ไม่รู้ว่า ผลเจรจาในอนาคตจะออกมาแบบไหน

เพราะฉะนั้นมองแนวโน้มในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจโลกคงตกอยู่ในสภาวะความไม่แน่นอนสูงยาวๆ ไปครับ

ผมเชื่อว่า ทุกคนอยากได้คำแนะนำการบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน เพื่อคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนฝ่าทุกสภาวะการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่คุณสามารถควบคุมมันได้ดีกว่าที่คุณจะไปไล่ตามกระแสโลกรายวันโดยเฉพาะกระแสทรัมป์รายวัน ซึ่งผมเคยเห็น The Wall Street Journal ระบุสถิติ “ทรัมป์” เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก จะพูดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาวันละ 1-2 ครั้ง ครับ หากใครที่ไล่ตามกระแสรายวันและนำมาใช้ตัดสินใจลงทุนตามอารมณ์ตลาดแต่ละวัน นักลงทุนก็บาดเจ็บกันระนาวได้ ผมขออัพเดทสถานการณ์หลังทรัมป์ทำสงครามการค้า 2.0 กันครับ ตลาดเริ่มผ่อนคลายรับข่าวดี trade war แต่ในระยะถัดไปยังมีระเบิดอะไรรออยู่บ้าง

เมื่อเดือนสองเดือนนี้ นักลงทุนคงจำกันไม่ลืม ต้นเดือนเมษายน บรรยากาศโลกมาคุตั้งแต่วันที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศวัน Liberation Day (2 เม.ย.) เปิดศึกการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้ากว่า 80 ประเทศทั่วโลก ฝั่งยุโรปบางประเทศตอบโต้กลับ ส่วนจีนฟาดกลับเช่นกันสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกปั่นป่วนไปหมดไม่เว้นแม้แต่ตลาดบอนด์ที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่สุดก็ผันผวนหนักนอกเหนือจากหุ้นโลก สินทรัพย์ต่างๆ ถูกเทขายถล่มทลายหนีตายขาดทุนบ้าง

บางสินทรัพย์ก็มีกำไรบ้างอย่างทองคำที่พุ่งทำ All time High หลายรอบ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน “ทรัมป์” ออกมาบอกเลื่อนการจัดเก็บไปอีก 90 วันกับประเทศต่างๆ ยกเว้นจีน พร้อมเปิดทางเจรจา โลกลดความตึงเครียดลง ตลาดหุ้นและตลาดบอนด์พลิกฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง

ข้ามมาเดือนพฤษภาคม “ทรัมป์” บอกเจรจาดีลกับสหราชอาณาจักรแล้วเป็นรายแรก และตามด้วยการพักรบกับจีนชั่วคราว โดยสหรัฐฯ และจีน บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ฝั่งสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จากระดับ 145% เหลือ 30% ส่วนจีนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 68 และจะมีระยะเวลา 90 วัน ในการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อหาข้อตกลงในระยะยาวกันต่อไป

แม้จะมีข่าวดีเรื่องการเจรจาการค้าเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าดูดีๆ ก็ยังมีข้อจำกัดในประเด็นที่สำคัญอยู่ คือ สหรัฐฯ ยังคงยืนยันอัตราขั้นต่ำ (Floor Tariff Rate) ของภาษีศุลกากรที่ระดับ 10% แม้กับพันธมิตรผู้ใกล้ชิดอย่างสหราชอาณาจักรที่เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ

จีนเองแม้จะได้รับการผ่อนปรนภาษีชั่วคราวเหลือ 30% แต่ก็ยังถือว่าสูงมาก

ฝั่งสหภาพยุโรป ล่าสุด ทรัมป์ประกาศเลื่อนการปรับขึ้นภาษียุโรปอัตรา 50% ออกไปเป็นวันที่ 9 ก.ค. จากกำหนดเดิมที่สั่งเก็บ 1 มิ.ย. หลังจากที่ได้ติดต่อสายตรงกับประธานสหภาพยุโรปเพื่อเตรียมเจรจาแล้ว

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม (26 พ.ค. ) ตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นแรง โดยเฉพาะตลาดอเมริกา นักวิเคราะห์มองว่าตลาดหุ้นอเมริกากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว สะท้อนจากดัชนีวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (VIX Index) ที่ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่บริเวณ 60 จุด สู่ระดับ 17.25 จุด สะท้อนนักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงในหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ส่วนตัวผมมองว่า ในปีนี้แม้สหรัฐฯ ไม่เจอเรื่องทรัมป์ ก็มีโอกาสที่หุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลงอยู่แล้วเพราะตลาดขึ้นมามากในช่วง 2 ปีรวมๆ 50% แล้ว หรือหากปรับตัวขึ้นก็ไม่น่าจะแรงมาก

แต่อีกสินทรัพย์ที่สะท้อนปัจจัยกดดันตลาด คือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อัตราผลตอบแทนปรับขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% ตามที่เคยประเมินไว้ คาดว่าจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อ Valuation ของสินทรัพย์เสี่ยงในระยะข้างหน้า

ท่ามกลางปัจจัยลบที่ซ้ำเติมหลังจาก “มูดี้ส์ลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ ก็ตามติดๆด้วยการลดอันดับเครดิตธนาคารยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ อย่าง JP Morgan Chase , Bank of America และ Wells Fargo เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา

สหรัฐฯ ถูกมูดี้ส์ลดเครดิตประเทศจากที่เคยอยู่ระดับสูงสุด Aaa เหลือ Aaa

เนื่องจากมีหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูดี้ส์ ระบุในบันทึกว่า การลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ สะท้อนถึงความสามารถที่ลดลงของรัฐบาลในการสนับสนุนภาระผูกพันทางการเงินของธนาคารเหล่านี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง

การลดเครดิตประเทศและธนาคารใหญ่ของสหรัฐฯ กลายเป็นปัญหาเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ และตลาดการเงิน ซึ่งสหรัฐฯ ถือเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งสำหรับเงินทุนโลก เมื่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้น นักลงทุนลดถือครองสกุลเงินดอลลาร์ ประกอบกับมีแรงเทขายพันธบัตรออกมาจากนักลงทุนจีนและญี่ปุ่น ดันบอนด์ยีลด์ผันผวนสูง และทำให้ปัจจุบัน เจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ 2 ประเทศนี้ เปลี่ยนมือเป็นอังกฤษและเยอรมันขึ้นมาแทนที่แล้ว นอกจากนี้ สหรัฐฯ ออกพันธบัตรใหม่ อายุ 20 ปี แต่ไม่มีคนซื้อ ทำให้ต้องปรับดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับสัญญาณบ่งชี้ถึงความไม่มั่นใจในนโยบายการเงินและการคลังของรัฐบาล เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ โดยเฉพาะการที่ “มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐฯ ” เป็นพายุที่หนักหนากว่าภาษีทรัมป์ ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาส่งสัญญาณอีกว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และเตรียมจะทบทวนกรอบนโยบายการเงิน

เนื่องจากความเสี่ยงเงินเฟ้อพุ่งสูงจากการ “ช็อกด้านอุปทาน” อาจเกิดได้บ่อยขึ้นในอนาคต ทั้งจากปัจจัยสงคราม ภัยธรรมชาติ และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้น การทำนโยบายแบบเดิมที่ควบคุมด้านอุปสงค์ อาจกลายเป็นปืนที่ยิงไม่ออก พร้อมระบุว่า ยุคของดอกเบี้ยใกล้ 0% คงไม่กลับมาอีกเร็วๆ นี้

ทั่วโลกกำลังเฝ้ารอดูกรอบนโยบายการเงินใหม่ของเฟด และสถานการณ์สงครามการค้าในระยะข้างหน้าครับ ซึ่ง Lombard Odier ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจโลก อาจเกิด 2 กรณี

กรณีแรก เศรษฐกิจได้รับผลกระทบแบบจำกัด ซึ่งกรณีนี้มีโอกาสเกิดขึ้น 70% (Base Case) โดยมองว่า ในที่สุดสหรัฐฯ จะประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 30% และจากประเทศอื่นๆ อีก 10% ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในวงจำกัด เศรษฐกิจอาจเกิดการชะลอตัวแต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคาดว่า GDP สหรัฐฯ ปีนี้จะเติบโต 1.2% และเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 4.25%-4.50% ลงมาอยู่ที่ 3.75% ภายในปีนี้

กรณีที่สอง เศรษฐกิจเกิดภาวะถดถอยรุนแรง หรือเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาและมีเงินเฟ้อสูงพร้อมกัน ที่เรียกว่า Stagflation ซึ่งกรณีนี้มีโอกาสเกิดขึ้น 30% (Risk Case) คือการที่สหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีเต็มรูปแบบตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา แบบไม่มีการผ่อนปรนใดๆ จะส่งผลกระทบ GDP สหรัฐฯ เติบโตได้เพียง 0.5% และเงินเฟ้อยังคงอยู่ระดับสูง ทำให้เฟดอาจต้องลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องเหลือเพียง 2.0% ในปีนี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจในภาวะ Stagflation

ส่วนนักเศรษฐศาสตร์บ้างก็ทยอยปรับลดโอกาสเกิดภาวะถดถอย (Recession) ของสหรัฐฯ ในปีนี้ลง แม้ว่าตัวเลข GDP ไตรมาสแรกจะหดตัว -0.3% โดย JP Morgan ปรับลดความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยจากระดับ 60% สู่ระดับต่ำกว่า 50% ส่วน Goldman Sachs ปรับลดความน่าจะเป็นของภาวะถดถอยจากระดับ 45% สู่ระดับ 35%

ขณะที่ไตรมาสที่ 1/2025 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 ค่อนข้างสดใสเป็นส่วนใหญ่หรือราว 78% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) โดยรวมอยู่ที่ 13.6%

“Ray Dalio” นักลงทุนชื่อดังของโลก ผู้ก่อตั้ง Bridgewater ออกมาเตือนนักลงทุน อย่าหลงดีใจกับข่าวดีในระยะสั้น แต่ให้ระวัง “ยุคแห่งหนี้สิน” และความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะมากำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

สถานการณ์ต่างๆ ในระยะข้างหน้าไม่ว่าจะสงครามการค้า ทิศทางนโยบายการเงินใหม่ หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือคู่ขัดแย้งหลัก “จีนกับสหรัฐฯ” จะไปต่อสวยๆ win-win ด้วยกันหรือจะไม่ลงรอยกันอีก เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดการณ์ได้ครับ และแน่นอนว่า การลงทุนในโลกอยู่คู่กับความผันผวนเสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่มีใครควบคุมได้ครับ

ผมมักแนะนำลูกค้าเสมอว่า ให้ทำสิ่งที่ควบคุมได้ดีกว่า นั่นคือ การจัดพอร์ตลงทุน

เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งสามารถลงทุนได้ในระยะยาว และไม่ต้องกังวลต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ ที่ยากจะคาดเดา

ที่สำคัญ ช่วงเวลาที่ตลาดเจอวิกฤติใดๆ “คนที่ลงทุนเป็น” จะชอบรอเข้าลงทุนช่วง “วิกฤติ” เพราะเขาสามารถเป็น “ผู้เลือก” ซื้อของ (หุ้น) ถูกได้ การเลือกหาธุรกิจที่เป็นผู้ชนะ แต่เจออารมณ์นักลงทุนตกใจขายหุ้นดีออกมาจนราคาร่วงเยอะ

ซึ่งบางคนที่ลงทุนไม่เป็น มักจะเครียดเวลาเห็นหุ้นตกหนักๆ และสุดท้าย อดทนไม่ไหวขายออกมาตอนราคาถูก เพราะไหลตามอารมณ์ตลาด ตามกระแสข่าวรายวันและแย่สุดๆ คือ คุณไม่ทำการบ้านก่อนขายว่า สินทรัพย์ที่ถือยู่นั้น ยังดีมีคุณภาพอยู่หรือไม่ ยิ่งช่วงทรัมป์ทำสงครามการค้าต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา น่าจะมีคนขายขาดทุนกันไม่น้อย แต่พอทรัมป์ประกาศเลื่อน 90 วันหุ้นขึ้น ก็มานั่งเจ็บใจกันใช่ไหมครับ ผมกำลังจะบอกว่า ตลาดจะกวาดคนที่อดทนน้อยออกไปครับ ยิ่งถ้าคุณไม่ทำการบ้านหาความรู้ข้อมูลก่อนขายก็มีแต่จะขาดทุนครับ

ผมมีคาถาแจกให้สำหรับคนที่อยากลงทุนแล้วอยากรวย อยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่เหมือนนักลงทุนชื่อดังของโลก “Peter Lynch” เคยกล่าวไว้ว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้น คือเวลาที่เราหาเหตุผลที่ดีที่สุดได้ เวลาที่ขายหุ้นคือ เวลาที่เหตุผลนั้นหมดไปแล้ว”

คุณปู่ Warren Buffett เป็นนักลงทุนไอดอลทั่วโลก แนะนำตลอดว่า “Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful.” หรือ

จงกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และโลภในยามที่ทุกคนกลัว นี่คือปรัชญาการลงทุนที่ คุณปู่ยึดถืออย่างเหนียวแน่นมาตลอดหลายทศวรรษและช่วยให้เขากลายเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก!

คาถานี้จำง่ายๆ ก็คือ… “อย่าตามฝูงชนแบบไม่ลืมหูลืมตา” เป็นภาพที่เห็นชัดๆเวลาใครๆ โลภอย่าพุ่งเข้าไปตามโดยไม่คิด เพราะราคาอาจจะแพงเกินจริงแล้ว แต่ถ้าตลาดเริ่มกลัว ขายหุ้นกันราวกับโลกจะแตก

นั่นแหละ! คือ ช่วงเวลาที่ของดีอาจหลุดมาในราคาถูกให้เราได้ช้อน ซึ่งมักจะเกิดในช่วงวิกฤติหรือมีข่าวร้ายพัดมา เพราะฉะนั้น ท่องจำหรือเขียนโน๊ตติดหน้าบันทึกพอร์ตลงทุนของคุณไว้เลยครับ เพื่อจะได้คอยช่วยดึงสติกลับมา

คนที่จะลงทุนด้วยตัวเอง จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้รอบด้านและดูผลตอบแทนที่ดี ภายใต้ความเสี่ยงที่รับไหวแบบถามตัวเองว่า ถ้าขาดทุนเท่านี้ คุณนอนหลับสบายใจมั้ย หากคำตอบว่า เครียด ก็แปลว่า รับเสี่ยงไม่ไหวครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากจะลงทุนตามเหล่าเซียนหุ้นคนเก่งทั้งหลาย คุณต้องศึกษาหาความรู้เชิงลึกในแต่ละประเภทสินทรัพย์ที่จะลงทุน วัฏจักรขาขึ้นขาลงเป็นอย่างไร การดูสถิติย้อนหลัง เช่นหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกๆ ปีอยู่แล้ว หากจะไปลงทุนหุ้นรายประเทศ

ผมยกตัวอย่าง ตลาดอเมริกา 50 ปีย้อนหลัง ดัชนีจะปรับลงระดับ 50% ได้ มีเพียง 2-3 ปี หากจะปรับลง 30% ก็มีไม่ถึง 10 ปี กรณีจะลงมา 20% ก็มีมากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะลงทุนซ้ำ เมื่อเห็นโอกาสหุ้นตกลงมา 30% ก็จะเป็นโอกาสเข้าซื้อ ซึ่งจะมีวิธีการซื้อแบบแบ่งไม้ซื้อ หากดัชนี S&P500 ตกลงมา 30% ก็เข้าไม้แรก และถ้าตกลงมาอีก 40% ก็เข้าไม้ที่สอง หรือถ้าตก 50% ก็ใส่ไม้ที่สามเต็มๆ เพราะมันจะไม่ตกไปมากกว่านั้นมากนักแล้ว ดูได้จากวิกฤติซัพไพร์มที่ถือเป็นวิกฤติเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ตลาดตกลงมา 50% หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ปรับขึ้น

ส่วนล่าสุด วิกฤติทรัมป์ ที่อาจจะเกิดเปลี่ยนโครงสร้างจัดระเบียบโลกใหม่ นับตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงช่วงตลาดร่วงหนัก (วันที่ 8 เม.ย.) ตกลงมารวม 10-20% และหากใครที่อดทนถือหุ้นมาช่วงโควิดจนถึงตอนนี้ คุณก็ยังมีกำไรในพอร์ตอยู่ครับ ยกเว้นคนที่เพิ่งลงทุนปีที่แล้วจะขาดทุนพอสมควร

เอาล่ะครับ วิกฤติทรัมป์รอบนี้ อาจจะทำให้ใครหลายคนไม่อยากลงทุนหุ้นอเมริกา และมองหาตลาดเกิดใหม่ประเทศไหนที่มีของดีราคาถูก ผมมีข้อมูลดีๆ จาก Jitta Wealth ทำ Market Prediction ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกคัดกรองออกมาให้ว่า ปัจจุบันประเทศไหนมีหุ้นที่ราคาถูกและน่าลงทุนที่สุด

หุ้นจีน เป็นตลาดที่มีหุ้นถูกเยอะมากๆครับ Market Prediction ของหุ้นจีน บอกว่า หุ้นจีนที่ดีที่สุด 50 ตัวแรก ตอนนี้มีหุ้นมากถึง 48 ตัวมีราคาถูก และอีกสองตัวมีราคาแพง ซึ่งเท่ากับมีจำนวนหุ้นถูกสูงถึง 24 เท่า ผมแนะนำลงทุนเป็นพอร์ตรองมาตลอดเมื่อต้นปีนี้แล้ว

ตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นตลาดที่ต่างชาติเลือกลงทุนมากกว่า พบว่า มีหุ้นถูก 46 ตัว หุ้นแพง 4 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ประมาณ 11.5 เท่า

ส่วนตลาดเวียดนาม มีหุ้นถูก 36 ตัว หุ้นแพง 14 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 2.57 เท่า

ขอแถมอีกตลาดใหญ่ของโลก ตลาดญี่ปุ่น มีหุ้นถูก 39 ตัว หุ้นแพง 11 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 3.55 เท่า

ส่วนใครที่อยากรู้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างไร ตอนนี้มีหุ้นถูก 24 ตัว หุ้นแพง 26 ตัว คิดเป็นจำนวนหุ้นถูกและแพง อยู่ที่ 0.92 เท่า ซึ่งปีนี้ถ้าใครลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ก็จะขาดทุนเพราะมีความผันผวนสูง จริงๆแล้วความถูกแพงของหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ในโซนถูกเลย จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นตกมากกว่าขึ้นแน่นอน ซึ่ง 3-4 ตลาดนี้ ผมมองว่ายังเป็นโอกาสลงทุนในยามวิกฤติได้ครับ

อีกข้อมูลที่น่าสนใจประกอบการตัดสินใจครับ ถ้าดูผลตอบแทนระยะยาวของดัชนีตลาดหุ้นย้อนหลัง 10 ปี ของตลาดหุ้นจีน A-Share (CSI300 TR) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI TR) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX TRI) ตลาดหุ้นไทย (SET TRI) ตลาดหุ้นอเมริกา (S&P500 TRI) และตลาดหุ้นเวียดนาม (VNI TR) พบว่า ทั้ง 6 ตลาดนี้ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่เป็นบวกหมด

โดยมีตลาดหุ้นฮ่องกงให้ผลตอบแทนต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.13% ต่อปี ส่วนผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 13.10% คือดัชนี S&P 500 ของตลาดอเมริกา แต่ถ้ามองอีกมุม หากลงทุนกระจายตลาดหุ้นทั้ง 6 ประเทศนี้ โดยให้น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยเท่าๆ กัน ก็จะพบว่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 7% ต่อปี

เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกลงทุนแค่ตลาดหุ้นหนึ่งใดโดยเฉพาะ ก็มีโอกาสที่บางปีอาจจะเลือกได้ตลาดที่ให้ผลตอบแทน 2-3% ก็ได้ หรือเกิดจังหวะแย่ที่เลือกผิดทุกปี เพราะเลือกในประเทศที่ได้ผลตอบแทนแทบต่ำสุดทุกปี คุณก็อาจได้ผลตอบแทนติดลบก็ได้ และถ้าเลือกถูกประเทศ ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนไปถึง 13% แต่ก็มีเคสที่ไม่ได้เลือกตลาดเดียวทุกปี คือ เลือกตลาดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในแต่ละปี ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเกิน 13% ก็ได้ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้น 100% เสียทีเดียวครับ

การจะเป็นนักลงทุนเต็มตัว คุณจะต้องเตรียมตัวและเตรียมใจให้ strong ครับ เพราะจะต้องเรียนรู้สถานการณ์ที่บางช่วงบางจังหวะไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ และถือเป็นเรื่องปกติของการเกิดวัฏจักรขาขึ้นขาลง ซึ่งหุ้นจัดเป็นตัวแทนของธุรกิจและสะท้อนภาพเศรษฐกิจ ดังนั้นการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การขาดทุนถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดในช่วง 2-3 ปีแรก คุณต้องเรียนรู้และพัฒนาไปกับสถานการณ์ และทำการบ้านหาความรู้โอกาสลงทุนและความเสี่ยง “ช้าแต่ชัวร์” แต่ก็อย่าช้าเกินครับ จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องขยันครับ

ตอนนี้เรามาดูหลักการจัดพอร์ตอย่างไรไม่ให้เงินลงทุนติดดอยครับ

แน่นอนว่า พอร์ตลงทุนที่ดีจะประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวางแผนและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งหลักการจัดพอร์ตที่คนนิยมใช้กันคือ การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ซึ่งเป็นหลักการลงทุนตามทฤษฎี MPT แบ่งเงินลงทุนเป็น 2 พอร์ต

พอร์ตหลัก (Core Port) ถือเป็นกระดูกสันหลังของเงินลงทุน ที่จะคอยสร้างผลตอบแทนที่ดีเข้ามาเรื่อยๆ สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่รับไหว ผมเรียกว่า สายโฟกัส เน้นจัดสรรเงินลงทุนกระจายในแต่ละสินทรัพย์และแต่ละประเทศในสัดส่วนที่ดี คือเท่าๆกัน ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีตลาด หุ้นรายประเทศ พันธบัตร จะช่วยพยุงพอร์ต อย่างในเวลาที่บางประเทศเกิดวิกฤตหรือบางสินทรัพย์เกิดวิกฤติขึ้น ก็จะยังมีสินทรัพย์อื่นหรือประเทศอื่นที่ยังดีอยู่ หรือสินทรัพย์ทางเลือก

เช่น REIT คอยสร้างผลตอบแทนระยะยาว อย่างน้อยๆเกิดวิกฤติใดๆ พอร์ตหลักก็จะไม่เจ็บหนักหรือเจ็บแต่น้อยกว่าตลาดโดยรวม ผมยกตัวอย่าง พอร์ต Global ETF ของ Jitta Wealth ที่กระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นทั่วโลก และตราสารหนี้คุณภาพดีมากมายผ่าน ETF ซึ่งลูกค้าผมสามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 8% เป็นต้น

พอร์ตรอง (Satellite Port) เป็นสายมุ่งเน้นจะคอยหาเป้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือทำกำไรได้หวือหวา บนความเสี่ยงที่มากขึ้นได้ หรือยอมเข้าลงทุนในช่วงขาขึ้น เช่น ทองคำพุ่งแรงและคาดยังไปต่อ ก็จะจัดสรรเงินเข้าลงทุน หรือหุ้นรายประเทศอย่างตลาดเกิดใหม่ จีน เวียดนาม หรืออาจจะเป็นตัวหุ้นเช่น ธีมหุ้นกลุ่มยานยนต์ไร้คนขับที่กำลังมาแรง ตัวหุ้น เช่น BYD หรือสินทรัพย์ทางเลือกต่างๆ เป็นต้น หรือถ้าเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ ก็จะเน้นบิทคอยท์ เป็นต้น

พอร์ตสายมุ่งเน้นจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงขึ้น บนความเสี่ยงที่มากขึ้นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น พอร์ตรองนี้จะมีความเสี่ยงสูงอาจถึงขั้นขาดทุนหรือเงินลงทุนหายวับก็ได้ครับ แต่หากเกิดกรณีแย่สุดจริงๆ คุณก็ยังมีพอร์ตหลักรองรับไม่ให้การลงทุนโดยรวมเกิดผันผวนมากเกินไแ ซึ่งปกติจะแนะนำให้จัดสัดส่วนพอร์ตหลัก 80% และพอร์ตรอง 20% ซึ่งที่มาของสัดสวนนี้ คือ หากพอร์ตรองหายวับ แต่คุณมีพอร์ตหลักสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 8% คุณก็ใช้เวลา 3 ปี ได้ผลตอบแทนจากพอร์ตหลักรวมราวๆ 24% ก็จะสามารถกู้คืนเงินที่หายไปของพอร์ตรองกลับมาครับ แต่ถ้าใส่น้ำหนักพอร์ตรองมากไป โอกาสกู้คืนเงินกลับมาจะยากขึ้นนานเกินไป จะได้ไม่คุ้มเสี่ยงครับ

การจัดพอร์ต Core & Satellite ช่วยให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นทั้งแนวรุกและแนวรับในสถานการณ์ตลาดโลกผันผวน เพราะตลาดหุ้นประเทศต่างๆ บางปีก็ขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางปีลงในทิศทางเดียวกัน จะมีบางปีเหมือนกันที่แต่ละตลาดจะขึ้นและลงสวนทางกันเอง ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมเวลานั้นๆ เพราะฉะนั้น การจะคาดการณ์ว่า ปีไหนตลาดไหนจะขึ้นหรือจะลง คงไม่ง่ายแน่ๆ บางครั้งถ้าเราอาจทายถูกก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าเวลาทายผิดขึ้นมา ก็อาจจะขาดทุนหนักได้เช่นกัน

อีกสิ่งที่นักลงทุนทำได้ในสภาวะตลาดขึ้นลงไม่แน่นอน คือ ลงทุนแบบ DCA (ถัวเฉลี่ย) เพราะไม่ต้องจังหวะลงทุน หากมีเงินเพิ่มทุนก็สามารถ DCA ตามสัดส่วนของพอร์ตทั้งสอง สมมติว่าอยากเพิ่มทุนเดือนละ 10,000 บาท ก็ให้เพิ่มทุนตามสัดส่วน คือ ในพอร์ตหลักที่ 8,000 บาท และพอร์ตรอง 2,000 บาท

นอกจากการจากพอร์ตแบบ Core & Satellite และ DCA แล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนเลือกสินทรัพย์ด้วยนะครับ

อ่านมาถึงตรงนี้ ในเมื่อความผันผวน วิกฤติหรือข่าวร้ายต่างๆ เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราสามารถวางกลยุทธ์และบริหารจัดการพอร์ตเพื่อรับมือทุกสภาวะการณ์ได้ ซึ่งความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวมักมาจากวินัย การวางแผน และการตัดสินใจที่ดี

ไม่มีนักลงทุนคนใดที่ไม่เคยขาดทุน ความแตกต่างอยู่ที่ว่าใครสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับกลยุทธ์เพื่อกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมได้ การฟื้นพอร์ตต้องอาศัยความเข้าใจ วินัย และการวางแผนอย่างรอบคอบ เมื่อคุณปรับพื้นฐานเหล่านี้ได้ การลงทุนครั้งต่อไปจะไม่ใช่การหวังโชค แต่คือการสร้างโอกาสอย่างมีระบบ

ท้ายสุดนี้ ผมขอฝากหลักการลงทุนที่คุณปู่มักบอกนักลงทุนทุกคนว่า

“ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะร่วงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ และเล็กน้อย หรือยาวนานและเจ็บปวด คำแนะนำถึงนักลงทุนก็ยังคงเหมือนเดิม คือยึดมั่นในแผนระยะยาวของคุณและลงทุนต่อไป”

หากคุณวางแผนลงทุนระยะยาว ก็ทำให้เหมือนกับปู่ Buffett ที่ไม่ได้ซื้อขายถี่ๆ แต่เลือกดีลที่มั่นใจจริงๆ แล้วถือยาวเป็นสิบๆ ปี นั่นแหละคือพลังของการลงทุนแบบระยะยาวที่แท้จริง และคุณจะนอนหลับอย่างสบายใจกับดอกผลของพอร์ตที่เพิ่มขึ้นครับ

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ส่องตลาดน่าลงทุนในครึ่งปีหลัง เพิ่มพลังพอร์ตแกร่ง พร้อมรับทุกสภาวการณ์

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...