ธปท. เผย ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ กำลังเผชิญความท้าทาย คาดกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่มาก แต่ห่วงกระทบแรงงาน 1 ล้านคน ย้ำดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% เป็นจุดยืนที่เป็นกลาง พร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายหากมีความจำเป็น
6 ม.ค.2568 นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญความท้าทายไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์โลก เนื่องจากกเป็นปัจจัยเฉพาะของธุรกิจนี้ในปัจจุบัน โดยจะเห็นได้จากทั้งในยุโรปเอง เช่น ในเยอรมันก็มีการปิดโรงงานของบริษัทยานยนต์ชื่อดัง และในระยะต่อไปยังมีความท้าทายค่อนข้างเยอะ
“ผลกระทบจากปัญหาในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อเศรษฐกิจไทยมองว่ามี 2 แง่ ในแง่ของมูลค่าหรือผลต่อสัดส่วนจีดีพีอาจจะไม่ได้เยอะมากในภาพรวม แต่ว่าในแง่ของแรงงานมีผลกระทบค่อนข้างสูง หรือ ประมาณล้านกว่าคน ซึ่งอาจจะมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอย ที่อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตา เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมนี้”
ทั้งนี้ ตัวเลขสินเชื่อเช่าซื้อคาดการณ์ว่า ตัวเลขจริงในปี 2567 จะออกมาติดลบ หลังจากไตรมาสที่ 3/2567 หดตัว -7.7% โดยในปี 2568 สถานการณ์อาจจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ก็อาจจะขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นแค่ไหน ซึ่งมีสัญญาณบางอย่างเริ่มทรงตัว ทั้งราคารถมือสองและยอดขายรถที่เริ่มดีขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงินธปท. กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับขอบล่าง ซึ่งปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.1% ด้านภาวะการเงินโดยรวมสามารถทำหน้าที่สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยแม้ว่าจะเห็นสินเชื่อชะลอลงเป็นผลจากความต้องการสินเชื่อลดลง ส่วนหนึ่งจากธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพึ่งพาสินเชื่อน้อยลง ความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในระดับสูง และการชำระคืนนี้ที่กู้ยืมไปในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยธุรกิจที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เช่น โรงแรมและร้านอาหาร และการขนส่ง สินเชื่อใหม่ชะลอลงตามความต้องการกู้ที่ลดลง ด้านธุรกิจที่เผชิญการแข่งขันสูง เช่น เอสเอ็มอี ในภาคการค้า ธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สินเชื่อใหม่ลดลง จากความเสี่ยงด้านเครดิต และธุรกิจที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ภาคยานยนต์ โดยสินเชื่อใหม่หดตัว ตามความต้องการกู้ที่ลดลง จากความแน่นอนของทิศทางอุตสาหกรรม
ด้านหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน โดยไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 89% จากการขยายตัวของหนี้ที่น้อยกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยการก่อหนี้ใหม่ลดลงส่วนหนึ่งจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ทั้งนี้ ภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น นโยบายการเงินต้องสามารถพร้อมรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ที่อาจเกืกดขึ้นช้าหรือเร็ว ที่อาจมีผลมากหรือน้อยได้ โดยการคงดอกเบี้ยนโยบาย เห็นว่าดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงศักยภาพ เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน ในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น
“จุดยืนของนโยบายการเงินที่ระดับ 2.25% ถือเป็นจุดยืนที่เป็นกลาง สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวในปลายปีนี้และต้นปีหน้า และจุดยืนยังสอดคล้องกับระบบการเงิน สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ทยอยลดลงค่อยเป็นค่อยไป แต่ในบริบทที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนนโยบายการเงินจะต้องพร้อมรองรับเหตุการณ์ต่างๆ หรือนโยบายแบบ Robust Policy และสอดคล้องกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะสั้นและระยะยาว (Policy Stance)”