พอถึงช่วงสิ้นปี หนึ่งในกิจกรรมที่ผู้คนมักทำกัน คือ การมองย้อนทบทวนและสรุปชีวิตตัวเองตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของความรู้สึกปัจเจก ไม่ว่าจะ สุข ทุกข์ เหงา เศร้า ไปจนถึงเรื่องของความสำเร็จ ความผิดพลาด ความล้มเหลว จากการงานและความสัมพันธ์ เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับปีถัดไปที่จะมาถึง ด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
เราตบบ่าให้กำลังใจตัวเอง (บางคนต้องตบแรงๆ เลย) ว่า ‘เฮ้ย แกทำดีที่สุดแล้ว’ เพื่อปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำจากสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาให้พานพบตลอดทั้งปี
คำว่าสิ่งต่างๆ ที่พบเจอนั้นย่อมหมายถึง ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ หากเป็นสิ่งที่เราเลือกเผชิญเองก็อาจพอยอมรับและทำความเข้าใจได้ แต่บางครั้ง สำหรับบางคนดันมีปัจจัยภายนอกที่ ‘ละเอียดอ่อน’ ยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือเรื่องของครอบครัว ที่เข้ามาเพิ่มความเครียดและความกดดันจากความคาดหวังการเติบโตแต่ละปีของพวกเขาเข้าไปอีก
ครอบครัวนับเป็นสิ่งละเอียดอ่อน แต่ละคนเติบโตและเผชิญกับบรรยากาศของครอบครัวที่ต่างกัน หลายคนอาจมีครอบครัวที่เข้าใจและไม่ได้โยนความคาดหวังให้กับลูก ในขณะที่อีกหลายคนอาจมีครอบครัวที่เป็นเสมือนผู้กุมชีวิต ทั้งที่เราไม่ได้ต้องการเติบโตไปในทิศทางที่พวกเขา ‘วาง’ ไว้ให้เลย
การทบทวนชีวิตส่วนตัวในช่วงสิ้นปีอาจทำให้เราพอมองเห็นวิธีการจัดการกับปัญหาที่ดีขึ้นได้ แต่กับเรื่องของครอบครัว บางครั้งก็ยากจะจัดการ แล้วเราจะมีวิธีสร้างสมดุลระหว่างความคาดหวังของครอบครัวกับความปรารถนาของเราเองอย่างไรดี?
จำไว้ว่าจริงๆ เราก็ดีพอแล้ว
ไม่ว่าใครจะพูดหรือคาดหวังอะไรจากเรา เราก็ดีในแบบที่เราเป็นอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องของการศึกษาหรืออาชีพจะมีความสำคัญ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดว่าเราเป็นใคร หรือบ่งบอกว่าตัวตนเราเป็นอย่างไร แต่บุคลิกภาพ ความสนใจ และจุดแข็ง ของเราต่างหาก ที่จะหล่อหลอมความเป็นตัวเรา จำไว้ว่า การรับรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง คือประตูบานแรกที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับตัวเรา
ลองพยายามเข้าใจมุมมองของครอบครัว
ถึงแม้ว่าจะมีความคาดหวังหรือความกดดันจากครอบครัว แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะพวกเขารักเรา โดยทั่วไปแล้ว ครอบครัวก็ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกของตนเอง และอาจคิดว่า การ ‘กำหนด’ หรือวางทิศทางสำหรับเรา หมายถึงการช่วยเหลือเราให้มีความสุขหรือประสบความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นได้ว่า ‘ไอเดีย’ ของครอบครัวที่มองนั้นแตกต่างกับเราเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ก็อาจเป็นเพียงความคาดหวังของพวกเขาฝ่ายเดียวก็ได้ ขึ้นอยู่กับบุคลิกและทัศนคติของแต่ละครอบครัว หากเราคิดว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งไว้สูงเกินไป การลองพูดคุยเปิดใจว่าเรารู้สึกอย่างไร ก็อาจช่วยได้
ลองหาเวลาพูดคุยทำความเข้าใจ
การเปิดใจพูดคุยเป็นทางเลือกที่ทั้งยากและง่ายในเวลาเดียวกัน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เติบโตมาในบรรยากาศที่ทำให้กล้าเปิดใจกับครอบครัว แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สร้างความเข้าใจและลดความกดดันมาได้นักต่อนักแล้ว ลองหาเวลาพูดคุยกับครอบครัวเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ในช่วงเวลาที่ ‘ผ่อนคลาย’ ดู เคล็ดลับก็คือ ขอบคุณที่พวกเขาห่วงอนาคตของเรา และอธิบายว่าเราอาจไม่สามารถบรรลุความคาดหวังเหล่านั้นได้ เพราะเราก็มีความต้องการและเส้นทางของตนเอง แต่ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าต้องการทำอะไร การพูดคุยก็จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเราไว้วางใจ และอาจโล่งใจที่รู้ว่าเราก็กำลังคิดถึงอนาคตของตัวเองอยู่เหมือนกันนะ
หมั่นคอยดูแลรักษาดวงใจและความหวังของตนเอง
อย่างที่กล่าวไปว่า การรับรู้ถึงคุณค่าและความคาดหวังของตนเอง คือประตูบานแรกที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจเราได้ นั่นหมายถึง สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องเริ่มจากตัวเราเองเท่านั้น ดังนั้น จงดูแลตัวเองทั้งการกิน การออกกำลังกาย รักษาสภาพจิตใจด้วยการพบปะสังคมบ้าง และอย่าลืมทำสิ่งที่เราชอบด้วย นอกจากนี้ เราต้องมั่นใจว่าความคาดหวังของเราเกี่ยวกับตนเองนั้นคือ ‘ของจริง’ เพราะการตั้งเป้าหมายจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าจะทำมันได้ และเป้าหมายนั้นทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง แน่นอนว่า เมื่อมั่นใจแล้ว ก็ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้ครอบครัวเห็นว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เราต้องการจริงๆ โดยไม่ได้ลอยไปลอยมา
แน่นอนว่ามันคงไม่ง่ายที่จะรักษาสมดุลระหว่างความต้องการของครอบครัวกับของเราเอง แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองเปิดใจเผชิญหน้ากับมัน ดีกว่าปล่อยให้ความคาดหวังและความกดดันจากความต้องการของครอบครัวที่แตกต่างจากเราค่อยๆ กัดกินความฝันและความปรารถนาไปทีละนิด โดยที่ไม่ลุกขึ้น ‘สู้’ และทำความเข้าใจกับพวกเขาเพื่อสิ่งเหล่านั้นเลย
ไม่เช่นนั้น เมื่อสิ้นปีมาถึง เราอาจพบว่าเป้าหมายที่เราอยากคว้าไว้ มันอันตรธานไปเสียแล้ว
ความเห็น 0