ถึงเวลา ‘หุ้นยั่งยืน’ รับกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ ‘TESG’
The Bangkok Insight
อัพเดต 24 พ.ย. 2566 เวลา 02.07 น. • เผยแพร่ 24 พ.ย. 2566 เวลา 01.59 น. • The Bangkok Insightในปี 2566 นี้ คนไทยกำลังจะได้ลงทุนประหยัดภาษี กับกองทุนลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่ที่ชื่อว่า "กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน" หรือ "Thailand ESG Fund: TESG" ซึ่งให้สิทธิพิเศษกับผู้ลงทุนสามารถนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 100,000 บาท โดยไม่ต้องนำไปนับรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณประเภทอื่น ๆ
สำหรับระยะเวลาการลงทุนกองทุน TESG กำหนดว่า ต้องถือครองอย่างน้อย 8 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ ไม่บังคับว่าต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี โดยจะให้นักลงทุนสิทธิ์ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2575 เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาวในตลาดทุนไทย
นโยบายการลงทุนของ TESG จะสามารถลงทุนได้เฉพาะหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทย ที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนตามหลัก ESG โดยมีหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้
1. เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET ว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือด้านความยั่งยืน (ESG)
2. เป็นหุ้นที่มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แผนการจัดการ และการตั้งเป้าหมาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของประเทศไทย ที่ผ่านการทวนสอบการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์โดยผู้ทวนสอบ
3. เป็นตราสารหนี้ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การเสนอขายตราสารหนี้ ที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืน และโทเคนดิจิทัล เพื่อการระดมทุนที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืนที่มีมาตรฐาน ในทำนองเดียวกันกับตราสารหนี้ดังกล่าว
ทั้งนี้ กองทุน TESG จะต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของกองทุนรวมตามหลักเกณฑ์กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) เพื่อที่ผู้ลงทุนจะได้รับข้อมูลที่เพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุน
จะเห็นว่ามาตรการภาษีนี้จะช่วยให้การลงทุนระยะยาวในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น ทำให้เสถียรภาพของตลาดทุนไทยดีขึ้น และส่งเสริมให้ผู้มีเงินได้มีทางเลือกในการออมและการลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งยังจะทำให้การลงทุนในกิจการที่คำนึงถึง ESG เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การเสนอขาย TESG ส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นไทยยั่งยืนในดัชนี SETESG ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ของบริษัท ที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งมีขนาด และสภาพคล่องสูง โดยที่นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมีเงินไหลเข้าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราว 20,000-70,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงที่มีกองทุนประหยัดภาษี LTF
จึงแนะนำเน้นกลยุทธ์การลงทุนหุ้นดัชนี SETESG ในบริษัทที่น่าสนใจ ได้แก่EA, BGRIM, GPSC, SCGP, PTTGC, HMPRO, GULF, CPALL, CRC, SCC, MINT และSIRI
ขณะที่ บล.กสิกรไทยคาดว่าหุ้นที่ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2566 จะเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่กองทุน TESG ให้ความสนใจ ซึ่งตามการประกาศปี 2566 มีหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกรวม 193 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13 ล้านล้านบาท หรือ 72% ของทั้งตลาด
สำหรับหุ้นที่โดดเด่นได้รับความสนใจจากกองทุน TESG เช่น AMATA, CPAXT, CPALL และTOPพร้อมแนะนำให้ซื้อสะสมจุดดัชนี SET ประมาณ 1,400 จุด แล้วสะสมให้ครบก่อนที่กองทุน TESG จะปิดการขายช่วงแรก (IPO) เพราะกองทุนจะต้องลงทุนตามนโยบายกองทุนหลังปิด IPO
สุดท้ายนี้ การมาของ TESG ชวนให้เรานึกถึงกองทุน LTF ในอดีต ซึ่งเคยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเฟื่องฟูในช่วงหนึ่ง คราวนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า TESG จะมีเสน่ห์เพียงพอที่จะช่วยผลักดันตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว
อ่านข่าวเพิ่มเติม