โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

แบน "สินค้าเกษตร" สหรัฐ อาวุธจีนสวนหมัด Trade War

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 10 ส.ค. 2562 เวลา 14.50 น. • เผยแพร่ 10 ส.ค. 2562 เวลา 14.45 น.

สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกากลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง หลังจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ก.ย. 2019 หลังการเจรจา 2 ฝ่ายเมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่เซี่ยงไฮ้ไม่คืบหน้า

ส่งผลให้จีนประกาศยุติการนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐ รวมถึงพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมสำหรับสินค้าเกษตรของสหรัฐตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลสำคัญว่า การกระทำของสหรัฐละเมิดข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน กับประธานาธิบดีทรัมป์ในการพบปะกันในเวที “จี 20” ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

“สินค้าเกษตรของสหรัฐ” กลายเป็นอาวุธหลักของจีนในสงครามการค้า เพราะจีนเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ รองจากเม็กซิโก แคนาดาและญี่ปุ่น ตามรายงานของ “ซีเอ็นบีซี” โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐสูงถึง 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 โดยเฉพาะ“ถั่วเหลือง” ราว 60% ถูกส่งออกไปยังจีน ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ ของสหรัฐ

“แพท เวสต์ฮอฟฟ์” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายอาหารและการเกษตรแห่งมหาวิทยาลัยมิสซูรี ระบุว่า การปะทุขึ้นอีกครั้งของสงครามการค้า ทำให้ราคาถั่วเหลืองปรับตัวลดลงไปแล้ว 9% โดยการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐไปยังจีนในช่วงเดือน ก.ย. 2018-พ.ค. 2019 อยู่ที่เพียง 7 ล้านตัน ลดลงมากถึง 70% จาก เดือน ก.ย. 2017-พ.ค. 2018 ซึ่งมีการส่งออก 22.7 ล้านตัน

เวสต์ฮอฟฟ์ยังระบุว่า ราคาถั่วเหลืองที่ตกต่ำลงเนื่องจากสงครามการค้ายังจะส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ เพราะเมื่อความต้องการถั่วเหลืองลดน้อยลง เกษตรกรก็จะหันไปปลูกพืชชนิดอื่นมากขึ้น เช่น ข้าวโพด ซึ่งจะทำให้ปริมาณข้าวโพดล้นตลาดและราคาตกลงไปด้วย

พื้นที่สหรัฐที่จะได้รับผลกระทบหนัก คือ รัฐที่อยู่ตอนกลางของประเทศ อย่างมิชิแกน โอไฮโอ วิสคอนซิน ไอโอวา และเพนซิลเวเนีย ซึ่งทำการเกษตรเป็นหลัก โดย “แพตตี้ จัดจ์” อดีตรองผู้ว่าการรัฐและผู้ดูแลด้านการเกษตรรัฐไอโอวา ระบุว่า การสูญเสียคู่ค้าอย่างจีนเป็น“สถานการณ์ที่เป็นอันตราย” และนอกจากความสัมพันธ์กับจีนที่ย่ำแย่แล้ว ขณะเดียวกันสหรัฐยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกับ“เม็กซิโกและแคนาดา” ให้นำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นได้ และการขึ้นภาษีของทรัมป์ยังสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกการเงิน จากการที่เงินหยวนอ่อนค่า

นอกจากนี้เกษตรกรของสหรัฐยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาน้ำท่วมในปีนี้ รวมถึง“ไข้หวัดหมูแอฟริกัน” ที่ทำให้ความต้องการถั่วเหลืองและพืชสำหรับเลี้ยงหมูลดลงอย่างมาก แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือเกษตร 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือน พ.ค. แต่เงินช่วยเหลือส่วนใหญ่ลงไปไม่ถึงเกษตรกรรายย่อย และนี่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และสถานการณ์ความไม่แน่นอนของตลาดย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการชำระหนี้ ซึ่งซ้ำเติมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐชี้ว่า รายได้สุทธิของภาคเกษตรสหรัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 45% จาก 123.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 ลงมาอยู่ที่ 63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018

ปัญหาการเกษตรของสหรัฐนอกจากจะกระทบด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบทางการเมืองด้วย “จอห์น รุตเลดจ์” (John Rutledge) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ “ซาฟาเนด” (Safanad) บริษัทลงทุนรายใหญ่ระดับโลกระบุว่าไม่แปลกที่จีนจะเลือกใช้สินค้าเกษตรเป็นอาวุธในสงครามการค้า เพราะนอกจากจะกระทบผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แล้วยังกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของประธานาธิบดีทรัมป์

“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการตอบโต้” รุตเลดจ์กล่าว พร้อมคาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์คงไม่ยอมให้สงครามการค้าจบลงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 เพราะสงครามการค้าอีกด้านก็เป็นประโยชน์ทางการเมืองต่อทรัมป์ด้วย

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตข้อความว่า จีนจะไม่สามารถทำร้ายเกษตรกรของสหรัฐได้ เนื่องจาก “ประธานาธิบดียืนอยู่ข้างพวกเขา” เป็นการส่งสัญญาณว่า ทรัมป์ยังคงไม่ทอดทิ้งภาคการเกษตร และจะมีมาตรการช่วยเหลือตามมาอีกในไม่ช้า ก่อนหน้าที่คะแนนนิยมของทรัมป์จะลดลงตามความคาดหวังของจีน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...