โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Emotional Blackmail –ชีวิตฉัน โดนข่มขวัญด้วยอารมณ์ของเธอ! - เพจ Beautiful Madness by Mafuang

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 19 ส.ค. 2563 เวลา 09.39 น. • เพจ Beautiful Madness by Mafuang

 

 

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าแบล็คเมล์ กันมาแล้ว

ส่วนใหญ่มักมาจากเหตุการณ์ ที่ใครคนหนึ่งรู้ความลับ รูป/วีดีโอลับ ของใครอีกคน

แล้วนำข้อมูลนั้นมาข่มขู่ ว่าถ้าไม่ทำตามสิ่งที่บอก จะแฉให้หมด เพื่อความสะใจและเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อ มักตกลงทำตามที่บอกทุกอย่างแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้เกิดความอับอายและเสียชื่อเสียง (ทั้งๆ ที่ใครกันแน่ ควรต้องเป็นคนอาย!)

 

 

แต่ก็มีหลายกรณีนะ

ที่จากคนที่ตกเป็นเหยื่อ

ก็กลับมาตอกหน้าคนข่มขู่ ทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้อย่างสวยๆ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ช่างแต่งหน้าและยูทู้ปเบอร์ชื่อดังจากเนเธอแลนด์

นิคกี้ เดอ แจคเกอร์ (Nikkie de Jager)

เจ้าของช่องยูทูบและอินสตาแกรม NikkieTutorials

          ดูโพสต์นี้บน Instagram                  

💙 or 🤎 comment below! 🥰 tutorial up on my channel 🌟 link in bio! wearing the new @ladygaga @hauslabs Stupid Love eyeshadow palette ✨

โพสต์ที่แชร์โดย NikkieTutorials (@nikkietutorials) เมื่อ พ.ค. 15, 2020 เวลา 3:17pm PDT

 

เธอโดนแบล็คเมลล์จากคนไม่หวังดี จะเอาเรื่องเธอไปขายข่าวให้สื่อต่างๆ

 

 

ว่าจริงๆ แล้วเธอเคยเป็นผู้ชายมาก่อน!

ทันใดนั้น เธอก็โพสต์ยูทูบของตัวเองซะเลยว่า สวัสดีค่ะทุกคน จริงๆ แล้วฉันเป็นหญิงข้ามเพศ!

‘รู้สึกมีพลังมาก ที่ได้พูดความจริงออกไป’ เธอกล่าว

 

 

ทีนี้ เรามาพูดถึงคำว่า Emotional Blackmailหรือแบล็คเมลล์กันทางอารมณ์บ้าง

ว่ามันหมายถึงอะไร

ด็อกเตอร์ซูซาน ฟอร์เวิร์ด (Dr. Susan Forward) นักจิตบำบัดชื่อดังเป็นคนสร้างคำนี้ขึ้นมา (รวมทั้งใช้ชื่อนี้ เป็นชื่อหนังสือของเธอด้วย)

มันคือการจัดการใครสักคน ด้วยการเอาความรู้สึกและอารมณ์ของตนเอง พยายามจะควบคุมการกระทำของคนอื่นเขา (ส่วนมากจะเป็นที่คนรักที่สนิทกัน) เพื่อโน้มน้าวให้คนๆ นั้น ทำอะไรก็ตามที่ตนเองต้องการ

 

 

ตัวอย่างคลาสสิคสุดๆ ก็คือ

 

‘ถ้าเธอเลิกกับฉัน ฉันจะฆ่าตัวตาย!!!!’

 

  • ไปข่มขู่คนที่เรารักด้วยข้อเสนอที่มัดมือชก ผลักความรับผิดชอบออกไปให้คนที่เรารัก จนเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้

 

การที่ใครสักคน จะแบล็คเมลล์คนที่ตัวเองรักนั้น

สังเกตได้ว่า ส่วนผสมของคำขู่นี้ จะเต็มไปด้วย

 

ความกดดัน

 

  • ‘ถ้าเธอไม่แต่งงานกับฉันภายในปีนี้ แปลว่าเธอไม่รักฉันจริง ไม่งั้นฉันจะเลิกกับเธอเพื่อไปหาคนอื่นที่คู่ควรกับฉันดีกว่า’

(ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เขาอาจกำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินเลี้ยงตัวอยู่ก็ได้ เพียงแค่ไม่พร้อมภายในปีนี้ก็เท่านั้น)

 

  • ‘ทำไมขอยืมเงินแค่นี้ เป็นเพื่อนกันทำให้ไม่ได้วะ จำไม่ได้เหรอ ตอนอยู่โรงเรียน ฉันเคยปกป้องแกตอนที่แกโดนบูลลี่ ทำไมไม่รักษาน้ำใจกัน เงินแค่นี้ทำไมต้องงก นี่เป็นเพื่อนกันจริงไหมเนี่ย’

(ดึงดราม่าสร้างความกดดัน โดยไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายจะเดือดร้อนขนาดไหน)

 

 

ความกลัว

 

  • ‘ถ้าเธอรักฉัน เธอจะต้องไม่ใส่ถุงยาง ไม่งั้นแปลว่าไม่รักฉันจริง’

(กลัวทั้งแฟนไม่รัก กลัวทั้งโรค กลัวท้อง กลัวไปหมดทุกอย่างแล้ว)

 

 

 

การออกคำสั่งให้รู้สึกผิด

  • ‘วันนี้วันเกิดเรา ทุกคนต้องกินเหล้าที่อยู่ตรงหน้านี้ให้หมด ไม่งั้นไม่ใช่เพื่อนกันจริง!’

(เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนของเพื่อนเรามาแล้ว โดนสั่งให้กินเหล้าในงานวันเกิดเพื่อน คืนนั้นเขาขับรถเอง ก็ต้องจำใจยอมกินเพราะกลัวเพื่อนเสียใจ สุดท้ายตัวเองเมาและรถชนเสียชีวิต…)

 

 

 

การใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น

  • ‘ฉันแอบได้ยินเพื่อนสนิทเธอคนนี้นินทาเธอให้คนอื่นฟังบ่อยๆ นะ อย่าไปเจอคนนี้บ่อยนักเลย จริงๆ เขาเป็นคนนิสัยไม่ดีอ่ะ เธอไม่ควรคบกับคนแบบนี้’

(การใส่ร้ายคนอื่น เพื่อจะกันคนอื่นออกไปจากคนรักของเรา เพื่อจะทำให้คนรักของเราอยู่กับเราคนเดียว และอยู่กับเราทุกครั้งที่เราต้องการ)

 

 

 

ความตลบตะแลงปั่นประสาท

  • เช่น พอเราจับได้ว่าแฟนตัวเองชอบไปอ่อยเพื่อนร่วมงานตลอดเวลา พอเราบอกแฟนว่าเราไม่ชอบ แฟนก็บอกว่า‘จะบ้าปะ ก็ฉันคุยงานอยู่ ทำไมต้องคิดมากอย่างนี้น่ารำคาญ คิดมากแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่อยากคบด้วยแล้วนะ’

(มาจากคำว่า แก๊ซไลท์ (Gaslight) ที่เราเคยเขียนไปในบทความนี้ (ต้องขอบคุณผู้อ่านท่านหนึ่งมากที่ช่วยแปลคำนี้ให้ว่า ปั่นประสาท แปลได้เห็นภาพกว่าที่เราเคยแปลไว้เยอะเลย)

คือการปั่นความรู้สึกอีกฝ่ายให้เขารู้สึกแย่กับตัวเขาเอง เพื่อยอมฟังและทำตามสิ่งที่ตัวเราต้องการ)

 

 

 

ความรักและความสัมพันธ์ที่ดี

มันไม่ควรมีรากฐานมาจาก ‘ความกลัว’ และ ‘ความไม่จริงใจ’

 

 

การตรวจจับอาการแบล็คเมลล์ทางอารมณ์นั้น

หนึ่งเลยคือ วิธีการสื่อสาร สำคัญมากๆ

คนรักกัน ต้องรู้จักสื่อสาร อธิบายความรู้สึกและความต้องการให้อีกฝ่ายฟังอย่างนุ่มนวล ควรต้องรับรู้และทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจเจตนาที่บริสุทธิ์ และไม่สามารถรับฟังโดยไม่คิดแย้งหรือพร้อมหาเรื่องแล้ว

เราก็ต้องรู้ Boundary หรือ ‘ขอบเขต’ ของตัวเองให้ดี

เพราะถ้าเรายอมไปเรื่อยๆ

มันก็เกิดเป็นแพทเทิร์นให้คนๆ นั้นทำกับเราแบบนี้ต่อไปได้อีก

เพราะเขาพิสูจน์ได้แล้วว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาจะเริ่มแบล็คเมลล์เรา เราจะยอมเขาทุกอย่าง

‘วิธีนี้ได้ผลกับเขา’

 

 

มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา ที่จะเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ต้องรับผิดชอบชีวิตและทุกการกระทำของใคร

ถ้าคนๆ นั้นยังไม่สามารถดูแลความรู้สึกของการกระทำตัวเองได้ดีพอ

มิหนำซ้ำ ยังโยนหน้าที่และความรับผิดชอบมาให้เราอีก

ถ้าเราเห็นว่า คนที่รักของเรา มีห้วงอารมณ์และพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง ยากที่จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้นั้น ลองชวนเขาไปปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด ผู้เชี่ยวชาญที่เตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องแบบนี้มาอยู่แล้วเป็นอย่างดี

 

 

ทุกคนมีภาระของตัวเองที่ต้องจัดการ

แค่จัดการตัวเองอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว!

ความรักที่เรามี พร้อมมอบความเป็นห่วงเป็นใยให้กันได้

แต่ถ้ามันถูกหักลบแล้วโดนโยนความรู้สึกปวดใจกลับมาใส่

 

 

ถ้ามันลดคุณค่าความเป็นเรา จนไม่รู้จะอยู่ในความสัมพันธ์นี้เพื่ออะไรแล้ว

มันก็ไม่ผิดเลย

ถ้าเราจะพร้อมเดินออกมา

 

อ้างอิง

https://www.healthline.com/health/emotional-blackmail#examples

 

https://www.huffpost.com/entry/what-is-emotional-blackmail_l_5ee7cf75c5b69e917f1d405f

 

https://www.washingtonpost.com/technology/2020/01/14/nikkieutorialstransgender/

ติดตามบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้ทุกวันอังคาร บน LINE TODAY 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0