รัฐบาลใจดี! ใช้ภาษีช่วย “ค่าน้ำมัน” วินมอเตอร์ไซค์ แล้วคนอาชีพอื่นล่ะ ?

รัฐบาลใจดี! ใช้ภาษีช่วย “ค่าน้ำมัน” วินมอเตอร์ไซค์ แล้วคนอาชีพอื่นล่ะ ?

“…น้องเคยมาเท่าไหร่…”

เชื่อว่าใครหลายๆคนที่เคยใช้บริการมอเตอร์ไซค์วิน คงเคยได้รับคำถามแบบนี้ในการใช้บริการต่างที่ต่างถิ่ง ซึ่งทำให้วินสามารถ “ฟัน” ค่าบริการจากความไม่รู้ไปนักต่อนัก จนเกิดคำเปรียบเทียบ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นข้อเท็จจริงในบางพื้นที่ว่า “มอเตอร์ไซค์วินมีรายได้กว่าพนักงานออฟฟิศ” บางแห่งเสียอีก 

และล่าสุดนั้นได้มีการออกมาประกาศว่า รัฐบาลนั้นได้มีนโยบายอุดหนุนค่าน้ำมันให้มอเตอร์ไซค์วินที่ลงทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกและเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) โดยนำเงินกองทุนน้ำมัน (มีรายได้จากภาษีสรรพสามิตที่กรมสรรพสามิตเรียกเก็บจากผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ และมาจากภาษีศุลกากรที่กรมศุลกากรเรียกเก็บจากผู้นำเข้าน้ำมัน) มาชดเชย 2 บาทต่อลิตร อีก 1 บาทต่อลิตร ได้ขอให้ผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 มาร่วมลงทุน เช่นปั๊ม น้ำมันของ ปตท.ที่มีอยู่กว่า 1,400 แห่งทั่วประเทศ

แต่การหารือล่าสุดระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย โดยธนาคารกสิกรไทย ร่วมดำเนินการบัตรบลู การ์ดกับ ปตท. และธนาคารกรุงไทยในฐานะหน่วยงานที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือรถจักรยานยนต์รับจ้างโดยขณะนี้ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าปตท.จะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนน้ำมันทั้งหมด3 บาทต่อลิตร 

ซึ่ง ดร. ศิริ  จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตั้งเป้าไว้ว่า มอเตอร์ไซค์วินใช้น้ำมันเฉลี่ยวันละ 5 ลิตร นั่นหมายความว่าจะมีการอุดหนุน วันละ 15 บาท ต่อคน เป็นเงิน 450 บาทต่อเดือน โดยมีผู้เข้าข่ายที่มาลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนเบื้องต้น 40,000 คน นั่นหมายความว่าเราต้องใช้งบประมาณอุดหนุน(อย่างต่ำ) เดือนละ18 ล้านบาท!   

แล้วเอาเงินจากไหนมาใช้อุดหนุน ?

จากข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัทปตท. จำกัด(มหาชน) พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงเป็นกระทรวงการคลัง ที่ 51.11 % และยังมีกองทุนวายุภักษ์ทั้ง 2 กอง ซึ่งเป็นกองทุนของภาครัฐที่ทั้งหน่วยงานรัฐและประชาชนคนไทยทั่วไปสามารถลงทุนในกองทุนนี้ได้ กองทุนละ 6.08 % รวมเป็น  12.16 % นอกจากนี้ยังมีกองทุนประกันสังคมที่เป็นของคนไทยทุกคนอีก 1.37 % จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้วผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็คือภาครัฐคิดเป็น 64.64 % แล้วเงินของภาครัฐจะมากทางใดได้อีกเล่า…ภาษีของประชาชนอีกหรือไม่ ?

แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นนั่นหมายความว่าภาครัฐได้ผลักภาระในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอุดหนุนในครั้งนี้จาก มือผู้ค้าน้ำมัน เข้าสู่ความรับผิดชอบความประชาชนโดยตรง จากแผนเดิมที่ต้องใช้เงินของประชาชนไม่ถึง 1 ใน 3 ที่ต้องจ่ายกลายเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของภาระครั้งนี้อยู่ที่ประชาชนใช่หรือไม่?

ควรอุดหนุนกันจริงหรือ?

เมื่อพิจารณาต้นทุนที่ต้องจ่ายสำหรับค่าการขับมอเตอร์ไซค์วิน พบว่ามีต้นทุนที่ต้องจ่าย 2 ประเภท คือ ต้นทุนแบบจ่ายแล้วจบ และต้นทุนรายเดือน

สำหรับต้นทุนแบบจ่ายแล้วจบนั้น คือ ค่าธรรมเนียมขอใบอนุญาตรถจักรยานยนต์สาธารณะ570 บาท โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะ คือ ค่าคำขอใบอนุญาต ฉบับละ 5 บาท / ค่าใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3 ปี ฉบับละ 150 บาท / ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขับรถแบบใหม่ระบบคอมพิวเตอร์ (แถบแม่เหล็ก) 100 บาท และ ค่าใช้จ่ายในการขอเปลี่ยนป้ายเป็นป้ายรถจักรยานยนต์สาธารณะ ( ป้ายเหลือง) จะมี ค่าคำขอ 5 บาท / ค่าตรวจสภาพรถ 10 บาท / ค่าแผ่นป้ายทะเบียนรถ 100 บาท / ค่าใบคู่มือ ใบจดทะเบียนรถ 100 บาท / ค่าภาษี 100 บาท) และค่าเสื้อวินซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่การให้บริการ โดย ถ้าเป็นการให้บริการในซอย เริ่มต้นที่ 30,000 บาท ส่วนถ้าเป็นการให้บริการปากซอย ราคาเริ่มต้นที่ 80,000 บาท แต่ถ้าเป็นการให้บริการในพื้นที่เศรษฐกิจ เช่น สุขุมวิท ทองหล่อ สีลม จะเริ่มต้นที่ 150,000 บาท สูงสุดที่ 500,000 บาท

ดูเป็นต้นทุนการได้มาซึ่งเสื้อวินที่แสนแพง แต่ประเด็นค่าเสื้อวินนี้ สามารถตัดออกออกไป จะพบว่า ค่าเสื้อวินสามารถปรับเป็นราคาค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายรายเดือนนั้นก็มีประมาณ2,700 บาท (คิดเป็นค่าเสื้อวิน เช่าขั้นต่ำที่ 1,000 บาท / ค่าเช่าพื้นที่วิน เดือนละ 500 บาท / ค่าบำรุงท้องที่ให้เทศกิจ จากการจอดรถบนทางเท้า เดือนละ 1,000 บาท  / ค่าหมวกกันน็อก ขั้นต่ำ 200 บาท)

โดยมอเตอร์ไซค์วินนั้นมีรายได้เฉลี่ยวันละ1,000 บาทโดยที่ยังไม่นับรวมค่าน้ำมันนั่นหมายความจะมีรายได้อย่างต่ำต่อเดือนเดือนละ30,000 บาท นั่นเอง แล้วยังจำเป็นจะต้องมีการอุดหนุนค่าน้ำมันอีกหรือไม่ ?

ขนส่งอื่นล่ะได้รับการอุดหนุนหรือไม่? ใครเป็นคนจ่าย ?

ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นมาตรการอุดหนุนขนส่งสาธารณะและก๊าซหุงต้มที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงเพิ่มเติมไว้ว่า “สำหรับการช่วยเหลือกลุ่มTaxi และรถตู้โดยสารสาธารณะรัฐจะยังช่วยอุดหนุนราคาก๊าซเอ็นจีวีในราคาที่ต่ำกว่าตลาด 3 บาทต่อกิโลกรัมไปอีกระยะหนึ่งส่วนก๊าซหุงต้มสำหรับร้านค้าหาบเร่แผงลอยรายย่อยก็จะได้รับการช่วยอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มให้ยังอยู่ในราคา 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมโดยขยายเวลาออกไปถึงกลางปีหน้าด้วย” 

แค่เริ่มต้นก็ส่อแววมีปัญหา

การเปิดให้ลงทะเบียนมอเตอร์ไซค์วินที่จะได้รับเงินอุดหนุนในครั้งนี้ ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังพบว่า มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างมาลงทะเบียนทั้งสิ้น 190,000 คน แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 100,000 คน และต่างจังหวัด 90,000 คน ทั้งนี้จากการตรวจสอบ พบว่าในนี้เป็นผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีรายได้น้อยเพียง 40,000 คน เวลานี้กำลังตรวจสอบว่าทั้ง 40,000 คน อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจำนวนเท่าใด ส่อแววว่าจะเกิดช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ ? คงต้องเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไป 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่แน่ๆ คำถามง่ายๆ ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องตอบให้ได้ คงเป็นคำถามเดียวกับ ดร. วิชสิณีวิบุลผลประเสริฐนักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute - TDRI) ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า 

"…วินมอเตอร์ไซค์ไม่แน่ใจว่าเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจริงหรือไม่เนื่องจากค่าบริการค่อนข้างสูงหากเทียบกับบริการขนส่งสาธารณะอื่นๆ…"

**********************

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.tcijthai.com/news/2018/15/current/8399

https://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=PTT&language=th&country=TH

https://www.thairath.co.th/content/1291617

https://www.thaipost.net/main/detail/20750