โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ทพญ. นาฏรินทร์ นิธิฉัตรโชติรัตนา CEO แห่ง Bangkok Central Clinic IVF & Wellness ผู้เชื่อว่าการฝากไข่เป็นอีกทางเลือกให้ผู้หญิงทุกคนวางแผนชีวิตตัวเองได้

Mirror Thailand

อัพเดต 12 ธ.ค. 2567 เวลา 07.24 น. • เผยแพร่ 12 ธ.ค. 2567 เวลา 07.24 น.
ภาพไฮไลต์

'ทพญ. นาฏรินทร์ นิธิฉัตรโชติรัตนา' หรือ หมอทราย คือ ประธานกรรมการบริหารแห่ง Bangkok Central Clinic IVF & Wellness คลินิกรักษาผู้มีบุตรยากซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี IVF สำหรับผู้ที่ต้องการฝากไข่ และทำเด็กหลอดแก้ว เธอใช้แพสชันที่เริ่มจากการ ‘ยังไม่พร้อมมีลูก’ ของตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อยากมีไปตลอดกาล สร้างธุรกิจที่พื้นที่ปลอดภัยที่เหมือนบ้านหลังเล็กๆ ให้กับผู้มีมดลูกทุกคนเข้ามาฝากไข่เอาไว้ก่อน เพื่อรอวันที่พวกเธอพร้อมจะมีลูกจริงๆ เพราะความแข็งแรงของรังไข่มีอายุขัยของมัน และอาจไม่เหมือนเดิมตอนเราอายุ 35 ปีขึ้นไป

เธอยังใช้ความรักในการอยากช่วยวางแผนครอบครัวให้คนไข้ที่มีบุตรยาก ด้วยการเฟ้นหาความรู้ เทคโนโลยี และรวมทีมผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ และทีมแพทย์เฉพาะทางหลายชีวิต มาช่วยกันสร้างครอบครัวให้คนไข้ผ่านการทำเด็กหลอดแก้ว คอยเลี้ยงดูตัวอ่อนและคุณแม่ทุกคนด้วยความใส่ใจ (บางวันเปิดเพลงกล่อมตัวอ่อนให้อารมณ์ดีด้วยนะ) ตั้งแต่วันแรก ระหว่างทาง จนถึงวันที่ตั้งท้อง และให้กำเนิดลูกรักได้สำเร็จ

ตลอด 5 ปีของ Bangkok Central Clinic IVF & Wellness หมอทรายเห็นทั้งคนที่ตั้งใจจะมีลูกแต่มีลูกยาก เลยเข้ามาปรึกษาการทำเด็กหลอดแก้ว คนที่อยากมีลูกในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าจะพร้อมเมื่อไหร่ คนที่ไม่รู้ว่าจะสละโสด หรือเจอคนรักที่พร้อมจะสร้างครอบครัวด้วยกันตอนไหน กระทั่งในวัยเลข 3 ของเธอเอง เธอก็ยังไม่พร้อมมีลูก ยังไม่อยากแต่งงาน ยังอยากประสบความสำเร็จ ยังอยากเที่ยว ยังอยากสนุก และยังอยากสร้างอนาคตของตัวเองด้วยตัวเธอเอง หมอทรายจึงเลือกทางเดินใน ‘ปัจจุบัน’ ไว้รออนาคตนั้น ด้วยการฝากไข่ เพราะเธอมองว่า การมีลูกหรือสร้างครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกพร้อมที่สุด และไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เพียงเพราะถูกกดดันจากสังคมว่า ผู้หญิงในวัยนี้ ควรแต่งงานหรือควรมีลูกได้แล้ว

หมอทราย ซึ่งเป็นหนึ่งใน Finalists แคมเปญ MIRROR50 ที่เฉลิมฉลองให้กับ 50 รายชื่อบุคคลและองค์กร ที่เดินหน้าผลักดันในประเด็นที่พวกเขาต้องการเห็นความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของทั้งตัวเองและคนอื่นๆ ภายใต้คอนเซปต์ ‘POWER of NOW ตอนนี้แหละ เริ่มเลย’ เพราะการอยู่กับปัจจุบันและค่อยๆ ลงมือทำในสิ่งที่เชื่อ เป็นสิ่งที่หมอทรายยึดมั่นมาตลอด เหมือนกับที่เธอกำหนดปัจจุบันของตัวเองด้วยการฝากไข่เอาไว้ก่อน และตัดสินใจมาทำธุรกิจที่ชื่นชอบ แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเป็นทันตแพทย์ก็ตาม

Power of Now ของ หมอทราย คือ 'Love and Possibility Now' หรือการเชื่อว่า หากเราขับเคลื่อนทุกสิ่งด้วยความรัก ทุกอย่างจะเป็นไปได้ เหมือนกับธุรกิจนี้ ที่หมอทรายสร้างจุดแข็งอันโดดเด่นจนคนไข้มองที่นี่เป็นบ้าน นั่นคือการดูแลกายและดูแลใจคนไข้ตั้งแต่วันแรก ทั้งยังรักษาคนไข้แบบ tailor-made บางคนอาจเหมาะกับนวัตกรรมนั้น บางคนอาจเหมาะกับตัวยาแบบนี้ บางคนอาจต้องช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำเป็นพิเศษ ฯลฯ เพราะ CEO หญิงคนนี้ รักอาชีพนี้ของเธอ และตั้งใจจะดูแลพวกเขาอย่างสุดความสามารถเท่าที่เธอจะทำได้

Q: อะไรคือสิ่งที่ทำให้ทันตแพทย์หญิงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางสู่การเป็นผู้บริหารคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก

A: จริงๆ แรกเริ่มที่ทรายเลือกเรียนทันตแพทย์เพราะคุณแม่อยากให้เรียนทันตแพทย์ค่ะ ตอนนั้นคุณแม่กลัวว่าเรียนแพทย์แล้วมันจะเหนื่อยเกินไป เราก็เลยตั้งใจโฟกัสและทำตรงนั้นให้ได้ดีที่สุด หลังจากนั้นทรายก็ตัดสินใจไปเรียนเพิ่มเติมเฉพาะทางที่บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จนได้ certifiled มา เพื่อจะได้กลับมาเป็นทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตามเส้นทางที่เราเดินมาตลอด…แต่ไม่รู้ทำไมในใจลึกๆ เรารู้สึกว่าเรามีความตั้งใจและมีแพสชันบางอย่างที่เราอยากจะขับเคลื่อน อยากทำ และอยากให้ความรู้กับผู้หญิงในเรื่อง ‘การฝากไข่’ เพราะต้องบอกว่าด้านนี้ที่อเมริกาเขาโด่งดังมากๆ ตัวทรายในตอนนั้น ที่เริ่มคิดวางแผนตัวเองเหมือนกันแล้วว่า เรายังอยากเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในทางของเรา ยังอยากเที่ยว อยากจะทำอะไรหลายๆ อย่าง และยังไม่อยากจะแต่งงาน หรือมีลูกตอนนี้ ก็เลยมองหาข้อมูลในเรื่องของคลินิกการฝากไข่ไว้ เพื่อรอในวันที่เราพร้อมจะมีลูกจริงๆ

ทรายมองว่าผู้หญิงสมัยนี้หลายคน ขับเคลื่อนด้วยความสุขของตัวเองก่อน เราต้องรักตัวเองก่อน แล้วเราจะสามารถที่จะส่งความสุขและความรักให้กับคนอื่นได้ ตัวทรายเอง ทรายยังมีแพสชันในการเป็นหมอ อยากทำเพื่อคนอื่น อยากมีมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็ก มันล้วนเป็นเป้าหมายของชีวิตที่ทรายอยากทำก่อนที่จะมีครอบครัว เพราะถ้าหากเรามีครอบครัวแล้ว เราก็อยากดูแลลูกให้ดีที่สุด เราอยากมีเวลาให้ลูกมากที่สุด ถ้าหากตอนนี้เรายังไม่ success ในความฝันของเรา ทรายเลยอยากให้ผู้หญิงทุกคนได้เติมเต็มความสุขของตัวเอง อยากทำอะไรก็ได้ทำก่อน ทรายจึงเริ่มจริงจังและหาข้อมูลในเรื่องการฝากไข่เยอะมากๆ จนเราหลงใหลและสนใจในเรื่องของการวางแผนตัวเองมากขึ้น

ต้องบอกว่าในด้านการแพทย์ เราเรียนสายวิทย์มาอยู่แล้ว เรามีพื้นฐานความรู้ในเรื่องของฮอร์โมน พอเข้ามาเรียนทันตแพทย์ ก็มี basic science ที่เรียนพร้อมกันกับแพทย์ในด้านนี้ แต่ในการรักษาเฉพาะทาง แน่นอน เราต้องมีทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านการฝากไข่จริงๆ เป็นผู้ทำ พอกลับมาที่เมืองไทย ทรายก็ไปพบอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญที่มหิดล และยังได้เจอกับเพื่อนที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เลี้ยงตัวอ่อนในเด็กหลอดแก้ว มันเหมือน destiny มากๆ ที่เราได้เจอทีมงาน ทีมนักวิทยาศาสตร์ ทีมแพทย์ ทีมพยาบาล ทุกๆ คนที่เขาเลี้ยงตัวอ่อน มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ โดยที่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากหาพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนไข้ พื้นที่ที่เหมือนครอบครัว เพราะก่อนหน้านี้สถานการรักษาลักษณะนี้ในไทยค่อนข้างเข้าถึงยาก ทรายเลยอยากให้ทุกคนที่เดินเข้ามาหาเรา สบายใจและมองเราเป็นครอบครัวเดียวกันไปตลอดเส้นทางของกระบวนการการรักษา เพราะการรักษาด้านนี้ มันใช้ระยะเวลา บางคนก็อยู่กับเรา 5 ปี 10 ปี ตัวอ่อนหรือไข่ที่ฝากไว้ก็อยู่กับเรานาน จนเป็นครอบครัวของเราไปแล้ว

ส่วนทรายเองก็ใช้พื้นฐานทางการแพทย์ที่เรียนจบ 6 ปี มาบริหารด้วยความเชี่ยวชาญ แต่ขับเคลื่อนด้วยแพสชัน ดูแลภาพรวมการบริหาร ทรายบริหารงานด้วยความรัก ความตั้งใจ ความจริงใจ เอาความรู้ความสามารถในด้านบริหารของเรามาใช้เต็มที่ เพราะอย่างที่รู้กันว่าหมอทุกคนที่เรียนจบมาต้องใช้ทุน ตอนทรายไปใช้ทุน ทรายเองก็ได้ประสบการณ์การบริหารโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งมาก่อน เคยเป็นรองผู้บริหารโรงพยาบาล และมีโอกาสไปบริหารที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ ของไทย ที่ไปเปิดที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งตอนนั้นก็ชาเลนจ์มากๆ ที่เรายังเป็นหมออายุน้อยคนเดียว ที่ต้องช่วยงานบริหารในโรงพยาบาลต่างประเทศ นอกจากนี้ทรายยังเคยไปดูงานบริหารและการดูแลคนไข้ ด้าน wellness ที่โรงพยาบาลเกาหลีด้วยค่ะ

ทรายมีความสุขเวลาที่ทรายเห็นคนไข้เขาประสบความสำเร็จ และยิ้มได้ ซึ่งทรายก็อยากให้พื้นที่ตรงนี้ ที่นอกจากเราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการรักษาเรื่องเด็กหลอดแก้วและฝากไข่แล้ว เรายังอยากเป็นครอบครัวให้กับคนไข้ด้วย

Q: การขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารตั้งแต่อายุยังไม่เยอะ มีความท้าทายอะไรที่เจอบ้าง

A: คลินิกเด็กหลอดแก้วเป็นคลินิกการรักษาที่เฉพาะทางมากๆ ทั้งเรื่องของนวัตกรรม เทคโนโลยี และแพทย์ที่ให้การรักษา ต้องเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญมากๆ และมีประสบการณ์สูง จำเป็นต้องมีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มีห้องแล็บไว้เลี้ยงตัวอ่อนเอง การทำคลินิคเด็กหลอดแก้วจึงเป็นอะไรที่ยากและชาเลนจ์มากๆ

แต่อย่างที่บอกว่าทรายโชคดีที่ได้เจอทีมแพทย์ พยาบาล และนักวิทยาศาสตร์ที่มีแพสชันแบบเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน คือทำที่นี้ให้เป็นบ้านให้คนไข้ของเรา และความเชี่ยวชาญในห้องแล็บ รวมถึงความรู้การรักษา ก็เป็นสิ่งที่ทีมเราต้องขวนขวายตลอดเวลา และต้องเข้าอบรบ โดยเฉพาะเราที่เป็นผู้บริหารที่ค่อนข้างเริ่มต้นเร็ว อายุไม่เยอะ เราอาจจะประสบความสำเร็จเร็ว บางครั้งเราต้องใช้หลักการ ทำงานให้ professional แต่ว่าเรายังต้องมี empathy เรียนรู้การทำงานกับทีมงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ซึ่งทุกคนให้เกียรติซึ่งกันและกัน และทรายเองก็ได้รับความไว้ใจจากพี่ๆ ในทีมที่มีความเก่งกันมากๆ ทำให้ทีมของเราอยู่อย่างแข็งแกร่งมา 5 ปีแล้วค่ะ

Q: ความเชี่ยวชาญและการมอบความรัก ความเอาใจใส่ ที่คลินิกของเรามีให้กับลูกค้า โดดเด่นหรือมีจุดแข็งในด้านใดบ้าง

A: ทรายวางที่นี่ให้เป็นเหมือนบ้าน ถ้าคนไข้เข้ามา จะรู้สึกว่าทุกคนที่นี่เป็นมิตร ทุกคนจะอยู่กับเราจนกระทั่ง 5 ปี 10 ปี ดังนั้นคนไข้ของเรา ต้องได้รับการดูแลเหมือนครอบครัว ทีมงานที่อยู่กับเราต้องตั้งใจที่จะรักเด็ก รักการสร้างครอบครัว เพราะถ้าเรามีความสุขเราจะอยู่ตรงนี้กันไปได้นานที่สุด

ที่คลินิกของเรา จะดูแลคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่คอยสแตนด์บาย เพื่อคอยเช็กว่าคนไข้เป็นอะไรหรือเปล่า เพราะในการฝากไข่หรือการทำเด็กหลอดแก้ว เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนการทำฟันหรือทำหน้า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เราต้องคอยเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดการรักษา เพราะคนไข้บางคนที่ต้องเดินทางมาจากต่างประเทศ เพื่อมาพักที่เมืองไทยเกือบ 14 วัน เราอยากให้ลูกค้าที่มาหาเรา มองเราคือครอบครัวของเขา เขาจะต้องไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

สิ่งที่พวกเราทำกันมาตลอดคือเราจะให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา คอยอยู่เคียงข้างเขา ให้ความสำคัญกับการรักษาแบบเริ่มใช้ยาน้อยๆ และยาที่มีคุณภาพ กับการวางแผนที่ครบลูป เรามีเทคโนโลยีล่าสุดของการทำเด็กหลอดแก้วและฝากไข่ เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เราให้การรักษาแบบ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) แต่ต้องบอกว่า ในแต่ละเคส เราจะเลือกว่า เคสนี้ควรรักษาแบบไหนจึงจะเหมาะสม ไม่ใช่ว่าต้องใช้เทคโนโลยีทุกเคสแล้วจึงเหมาะสม แต่มันต้อง tailor-made เป็น case by case แม้กระทั่งยา จะไม่มีทางเป็นสูตรตายตัว เราต้องดูตามผลเลือด ดูตามการรักษาที่เคยผ่านมาของคนไข้ ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มต้น ที่คนไข้ให้ประวัติกับเรามา เราจะถามละเอียดมาก ตรวจฮอร์โมน ตรวจเลือด อัลตราซาวด์อย่างละเอียด และไม่ใช่ดูครั้งเดียว แต่ต้องดูกันบ่อยมาก เพื่อวางแผนการรักษาให้แม่นยำ ตรงไปตรงมาที่สุด และปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสมกับคนไข้

การเลี้ยงตัวอ่อน ต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะและความรู้ที่ไม่ใช่แค่นวัตกรรมอย่างเดียวจะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ว่าต้องเลี้ยงด้วยใจจริงๆ บางทีมีตัวอ่อนที่ไม่ได้แข็งแรงมาก เราก็ต้องพยายามเลี้ยงให้เขาแข็งแรงที่สุด ต้องวางแผนที่จะเลือกนวัตกรรมในการเลี้ยง บางครั้งอาจจะใช้เครื่อง Automate ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ บางเคสก็อาจไม่เหมาะสมกับแบบนี้

อย่างเคสผู้หญิงคนนึง เขารักษาที่อื่นมาแล้ว 6 ครั้ง และมารับการรักษากับเราเป็นครั้งที่ 7 จิตใจเขาบอบช้ำมาเยอะ คนไข้อกหักเพราะยังไม่ตั้งครรภ์สักที เราก็อกหักไปด้วย ดังนั้น นอกจากเราที่ต้องให้การรักษาแล้ว ยังต้องดูแลจิตใจคนไข้ ไม่ให้เครียด เพราะลูกจะมาเมื่อคุณแม่พร้อม และถ้าคนไข้เครียดจะมีฮอร์โมนความเครียดออกมา

เคสนี้คุณหมอปรับยาถี่มาก มีสูตรยาใหม่ๆ ที่หมอคิดขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ นักวิทยาศาสตร์ต้องคุยกับตัวอ่อนด้วย เปิดเพลงให้ฟัง ลูกโตเร็วๆ น้า แข็งแรงๆ เราเชื่อว่า ถ้าหากเราส่งพลังงานดีๆ นี้ไป คนไข้จะรับรู้แน่นอน ว่าเราทำเต็มที่ ซึ่งคนไข้คนนี้ก็ประสบความสำเร็จ ตั้งครรภ์แล้วค่ะ

คุณแม่หลายคนมีความเครียด เนื่องจากว่า ต้องการความใส่ใจและความเข้าใจ เพราะเขาคาดหวังสูงไม่พอ บางครั้งการที่เฟลจากครั้งก่อนๆ มันส่งผลต่อสภาพจิตใจ การมาหาเรา เราจึงต้องรักษาจิตใจให้เขาก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้คนไข้รับรู้ ว่าเราให้เวลากับเขา และเข้าใจเขาจริงๆ

Q: ในยุคปัจจุบัน คิดว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ผู้หญิงหันมาสนใจเรื่องการฝากไข่

A: หลังจากที่ทรายฝากไข่ แม้กระทั่งเพื่อนๆ ของเราที่ฝากไข่เหมือนกัน ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า รู้สึกว่า ชีวิตเป็นของเรา มันโล่ง บางคนมีคู่แล้ว ก็ไม่มีความกดดันอะไรเลย กลายเป็นเขาขับเคลื่อนชีวิตคู่ด้วยความสุข ไม่ต้องรีบแต่งงาน มีลูก หรือเป็นไปตามเกณฑ์ของสังคมที่บอกว่าอายุ 30 แล้ว 35 แล้ว ต้องแต่งงานมีลูก มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป

อย่างคุณแม่ทราย เขาเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อมาเลี้ยงเรา ซึ่งคุณแม่ก็เพิ่งจะกลับมาเรียนต่อปริญญาเอก ในด้านบริหาร ตอนที่ทรายโตแล้ว ทรายก็ยิ่งมองว่า ทรายอยากให้ผู้หญิงทุกคนได้เติมเต็ม มีความสุข อยากทำอะไรก็ได้ทำ ตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ

ผู้หญิงยุคนี้มองอนาคตตัวเองเป็นหลักมากขึ้น อยากสร้างอนาคตของตัวเองด้วยตัวเอง อยากประสบความสำเร็จในทางของตัวเอง มีพลังงานค่อนข้างสูง ซึ่งทราย appreciate ตรงนั้นมาก การที่เขาอยากมีลูกช้าลง เพราะยังอยากโฟกัสที่ตัวเอง การฝากไข่ หรือการฝากตัวอ่อนเอาไว้ ให้เรามีบุตรในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงกลายเป็นทางออกให้ผู้หญิงหลายคนในตอนนี้ เพราะถ้าเราอายุมากขึ้น เราจะไม่มีไข่แล้วนะคะ ซื้อประกันชีวิต สูงวัยแล้วยังซื้อได้ แต่อาจจะจ่ายเบี้ยแพงหน่อย แต่ถ้าเราอยากมีลูกตอนอายุเยอะๆ มันไม่ทันแล้ว เราจึงควรวางแผนชีวิตตัวเองไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

พออายุเกิน 35 ปี ไข่ของเราจะเริ่มหมดลงเรื่อยๆ และเสื่อมตามธรรมชาติ ในอดีตจะเห็นว่ามีเด็กที่เกิดโรคทางพันธุกรรมขึ้น ซึ่งเกิดจากคุณแม่ที่มีลูกตอนอายุมากกว่า 35 ปี ตรงนี้เป็นสิ่งที่เด็กหลอดแก้วช่วยได้ในปัจจุบันถ้าเราฝากไข่ไว้ก่อนอายุ 35 ปี หรือกระทั่ง คนที่อายุเกิน 35 ปี การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนดูก่อน ก็เป็นสิ่งที่แนะนำให้ทำ เพราะเราจะสามารถเซ็คความปกติ และความสมบูรณ์ของตัวอ่อนได้เลยค่ะ

Q: คุณเคยมีความกลัวหรือประสบปัญหาเรื่องการมีบุตรยากด้วยตัวเองหรือไม่ แล้วจากประสบการณ์ของตัวเองทำให้เข้าใจคนไข้มากขึ้นอย่างไร

A: ทรายเป็นคนมีบุตรยากอยู่แล้ว เพราะว่า ตัวทรายเอง ตรวจเลือด ตรวจฮอร์โมนในเลือดและในรังไข่ พบว่ามีค่าค่อนข้างต่ำ สาเหตุเพราะเราทำงานเยอะ เรามีความเครียด ฮอร์โมนนี้ทำให้เซลล์ในร่างกายของเราค่อนข้างเสื่อมเร็ว และปัจจุบันนี้ ทรายว่าผู้หญิงหลายคนก็มีความเครียด ไม่ใช่แค่เฉพาะงาน แต่แค่รถติด ทะเลาะกับแฟน กินข้าวไม่ตรงเวลา ก็มีความเครียดได้แล้ว ล่าสุด คนไข้ของทราย อายุต่ำกว่า 30 ปี แต่รังไข่เสื่อมไปแล้วก็มีค่ะ ทรายเลยอยากให้มาเช็กกันให้เร็วขึ้น พอเรารู้ว่าเราเริ่มเข้าสู่ภาวะมีบุตรยากแล้ว เราจะได้วางแผนอนาคตของเราต่อได้

หรือย่างบางเคสมดลูกก็ดี ตัวอ่อนก็สวย ดีทุกอย่าง แต่รอบนั้นไม่ประสบความสำเร็จในการมีลูก เพราะความเครียด คุณแม่ไม่ยอมพักผ่อน รอบถัดไป เราเลยต้องให้คุณแม่ผ่อนคลายให้มากขึ้น

ส่วนผู้ชายที่มีบุตรยาก ก็อาจมีเรื่องของความเครียด การกินเหล้า สูบบุหรี่ เข้ามาเกี่ยวข้อง ในอดีตผู้ชายเชื่อว่าตัวเองแข็งแรงและสามารถมีสเปิร์ม มีลูกได้ตลอดชีวิต แต่ความไม่แข็งแรงของสุขภาพก็จะทำให้คุณภาพของสเปิร์มไม่ปกติได้

Q: รู้สึกอย่างไรที่พบว่าหลายคู่รักจับมือกันมาทำการรักษาที่คลินิกของเรา รวมถึงสาวโสดที่หันมาฝากไข่กันมากขึ้นแล้ว

A: เราดีใจที่ได้เห็นว่าคู่รักหลายคู่เข้ามาวางแผนครอบครัวที่คลินิกของเรา บางคู่วางแผนจะมีลูกตอนอายุ 40 ปี แต่ขอฝากไข่ไว้ก่อนก็มี เราอยากให้คนไข้ที่เป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงาน เริ่มวางแผนกันเลย เริ่มตั้งแต่การมาตรวจเลือด มาเช็กกันว่าเข้าสู่ภาวะมีบุตรยากหรือเปล่า

ทรายคิดว่าการฝากไข่มันสำคัญมากสำหรับสาวโสด เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเจอเจ้าชายในฝันของเราในอนาคตเมื่อไหร่ การมีคุณภาพไข่ที่ดีเก็บไว้ มันจะทำให้เราเลือกคนรักอย่างใจเย็น เลือกคนที่เหมาะสมทั้งทัศนคติ ทั้งในเรื่องของการเป็นคู่ชีวิต แบบไม่ต้องรีบ เพราะอะไรที่เรารีบมากไป มักจะพลาดง่าย ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา ซึ่งการฝากไข่ทำให้เกิดสเปซตรงนี้ขึ้นมา เป็นการคอนโทรลในสิ่งที่เราทำได้เลยตั้งแต่ตอนนี้

ปัจจุบันมีกระทู้เกิดขึ้นมากมายว่า ไม่อยากมีลูก เพราะไม่อยากให้เขามาเจอสังคมตอนนี้ที่โหดร้าย ทั้งการเมือง และสังคมโลก แต่ทรายมองอีกมุมนึงว่า เราคือคนที่สร้างสังคมนั้น ให้เหมาะสมกับเด็กที่จะเกิดมาได้ เราคือส่วนหนึ่งที่จะทำให้สังคมเป็นไปในทิศทางที่ดี ทรายเชื่อว่าทุกคนมีพลังที่จะขับเคลื่อนสังคม สามารถสร้างสังคมของเราที่ขับเคลื่อนด้วยความสุข ความรัก ความคิดบวก สร้างสังคมให้พร้อมที่จะมีอีกชีวิตนึงเกิดมาได้ เพราะสเปซที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว ถ้าสเปซในครอบครัวแข็งแรง เด็กจะเติบโตมาได้อย่างดีแน่นอน

ทรายมองว่ายังมีพื้นที่ดีๆ อยู่อีกหลายหนแห่ง อย่าง Mirror เอง ก็เป็นพื้นที่ที่ดีมากในการขับเคลื่อนสังคม ซึ่งมันก็แปลว่าสังคมเราไม่ได้แย่ไปเสียหมด ทรายยังมีความหวังอยู่ค่ะ

Q: กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยที่กำลังประกาศใช้ในปีหน้า จะเป็นก้าวแรกในการเปิดกว้างเพื่อรองรับคนไข้ผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไรได้บ้าง

A: สำหรับคู่รัก LGBTQ+ ที่ต้องการฝากไข่หรือทำเด็กหลอดแก้ว ต้องบอกว่า มีมานานแล้วในต่างประเทศ ทรายมองว่าการที่เราสมรสเท่าเทียม มันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างครอบครัวที่ดีจากการมีกฎหมายมาช่วยคุ้มครอง ซึ่งในอนาคตทรายเชื่อว่าก็จะมีกฏหมายที่เหมาะสมที่เอื้อให้เกิดการดูแลเด็กๆ ที่เกิดจากการฝากไข่หรือการทำเด็กหลอดแก้ว ที่ทำให้เขามีสิทธิ์ มีความเท่าเทียม และสามารถได้รับความรัก การเลี้ยงดูที่ดีได้ค่ะ

Q: มีความเข้าใจใดที่คุณอยากสื่อสารให้กับคนในสังคมได้รับรู้เกี่ยวกับการฝากไข่และทำเด็กหลอดแก้วบ้าง

A: ปัจจุบันนี้มีหลายคนที่ยังไม่อยากมีลูกตอนนี้ ก็เลยคิดว่าเราไม่ต้องวางแผนครอบครัวก็ได้ แต่จริงๆ การวางแผนไว้เร็วเท่าไหร่ เราจะประสบความสำเร็จในการมีลูกในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าในอนาคตเราจะอยากมีลูกมั้ย ดังนั้น การเข้ามาวางแผนสุขภาพของตัวเองไว้ก่อน คือการวางแผนให้เราเดินไปในอนาคตด้วยสุขภาพที่แข็งแรง และพร้อมจะมีลูกในวันที่เราเกิดอยากมีขึ้นมาได้จริงๆ

หรืออย่างการทำเด็กหลอดแก้ว บางคนก็มีความเชื่อบางอย่าง เข้าใจว่าการทำเด็กหลอดแก้วเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามศีลธรรม เพราะเขาถูกเลี้ยงในห้องแล็บ แต่หมออยากให้มองว่านี่เป็นการรักษาที่ช่วยคนไข้ที่เขามีลูกยากได้จริงๆ หรือช่วยคนที่เขายังไม่พร้อมมีลูก ณ วันนี้ได้ ทั้งยังลดโอกาสที่จะทำให้เด็กเกิดมามีความผิดปกติทางโครโมโซมได้สูงด้วย ถ้าเราสามารถตรวจเช็กได้ก่อน หมอว่ามันเป็นทางออกให้หลายครอบครัวได้ค่ะ

Q: ความสำเร็จของธุรกิจนี้ คุณวัดมันจากอะไรบ้าง

A: ทางการแพทย์จะวัดจากอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ว่า สูงขนาดไหน อัตราการเลี้ยงตัวอ่อน สูงขนาดไหน ซึ่งทางคลินิกของเราสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่อีกอย่างที่วัดไม่ได้ คือความสุขของคนไข้ที่ทีมงานทุกคนได้รับ เป็นพลังงานที่ส่งกันไปมา คนไข้มีความสุขส่งมาให้เรา เราก็ส่งความสุขไปให้คนไข้ ต่างคนต่างส่งให้กันและเป็นพื้นที่แห่งความเป็นไปได้จริงๆ

Q: มีอะไรอยากฝากถึงผู้หญิงด้วยกันในวันนี้บ้าง

A: ทรายมองว่าพลังของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ เป็นสิ่งที่เราให้ความรักกันได้ อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ว่าเราจะโสด หรือจะมาฝากไข่ หรือจะยังไม่เจอใครในอนาคต เราสามารถเดินไปข้างหน้า ด้วยตัวเราเองได้อย่างมีความสุขค่ะ

Q: Power of Now ที่คุณเชื่อคืออะไร

A: ตั้งแต่ทรายเริ่มต้นธุรกิจนี้มา ทรายรักและหลงใหลในธุรกิจนี้เรื่อยๆ เพราะมันเริ่มจาก ‘Love and Possibility Now’ นี่แหละค่ะ ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยความรัก แล้วมันจะเกิดความเป็นไปได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...