โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ญี่ปุ่นเปิดปราสาทแห่งแรก เป็นโรงแรมให้นักท่องเที่ยวนอนพัก

Khaosod

อัพเดต 17 ส.ค. 2563 เวลา 04.39 น. • เผยแพร่ 15 ส.ค. 2563 เวลา 15.36 น.

ญี่ปุ่นเปิดปราสาทแห่งแรก เป็นโรงแรมให้นักท่องเที่ยวนอนพัก

ญี่ปุ่นเปิดปราสาทแห่งแรก - ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า โรงแรมแห่งใหม่ในญี่ปุ่น ย้อนบรรยากาศให้นักท่องเที่ยวกลับไปในยุคกลางด้วยการพักในปราสาทของจริง

ปราสาทโอะซุ จังหวัดเอะฮิเมะ เกาะชิโกกุ เป็นปราสาทแห่งแรกและแห่งเดียวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืนและดื่มด่ำสิ่งแวดล้อมสมัยก่อน ย้อนกลับไปตั้งแต่ปีพ.ศ. 2160 หรือ 403 ปีก่อน และยังเป็นปราสาทไม้เพียงไม่กี่หลังที่ยังหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเปิดปราสาทแห่งแรก

การแปลงปราสาทให้กลายเป็นโรงแรมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูเมืองเล็กๆ ในชนบทให้มีชีวิตชีวามากขึ้น โดยตั้งชื่อโรงแรมว่า ลิตเติล เกียวโต แห่งอิโยะ (อิโยะ ชื่อเดิมของจังหวัดเอะฮิเมะ)

เมืองโอะซุมีชื่อเสียงด้านทิวทัศนธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะแม่น้ำฮิจิและโบราณสถานที่สวยงามและสง่างามอย่างปราสาทโอะซุ สูง 4 ชั้น

อดีตของเมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางการเมืองในยุคเอโดะ (พ.ศ.2146-2411) และรุ่งเรืองในยุคเมจิ (พ.ศ.2411-2455) และไทโช (พ.ศ.2455-2469) เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตและการค้าขี้ผึ้งและผ้าไหม
แต่โอะซุก็มีชะตากรรมเหมือนกับเมืองอื่นๆ ในชนบทของญี่ปุ่น ที่เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลาในช่วงหลายสิบปีมานี้

 

ตั้งแต่ 70 ปีก่อน จำนวนประชากรในเมืองนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยมีถึง 79,000 คนในปี 2498 แต่ปีนี้ เหลือเพียง 42,000 คน
ด้านดิเอโก โคซา เฟอร์นันเดซ ผู้อำนวยการแผนกวิจัยสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมแห่งการจัดการกิตะ สำนักวางแผนเมืองและการท่องเที่ยว กล่าวว่าผู้คนพากันปิดบ้านและร้านรวง ส่วนคนหนุ่มสาวมุ่งหน้าเข้าเมืองไปแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า

เมื่อขาดแคลนคนหนุ่มสาว ก็ไม่มีเด็กเกิดใหม่ กลายเป็นปัญหางูกินหาง ขณะที่เจ้าของที่ดินทุบบ้านเก่าทิ้งเพราะไม่มีค่าทางเศรษฐกิจหรือทำเป็นลานจอดรถ

องค์กรกิตะจึงเข้ามาแก้ไขปัญหาด้วยการอนุรักษ์บ้านเก่าที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว

เฟอร์นันเดซเป็นชาวสเปน และมาศึกษาที่กรุงเกียวโต 1 ปี หลังจากจบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมเมื่อ 20 ปีก่อน และกลับมาญี่ปุ่นอีกครั้งขณะทำดุษฎีบัณฑิตด้านน้ำ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2555 ซึ่งเมืองโอะซุเป็นหัวใจในการทำวิจัยและทำให้มีเครือข่ายคนท้องถิ่นเพิ่มทีละน้อย

ญี่ปุ่นเปิดปราสาทแห่งแรก

พักในปราสาท

ปราสาทโอะซุหลังเดิมถูกรื้อทิ้งในปี 2431และอีกร้อยปีต่อมา ทางการท้องถิ่นให้สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อรำลึกถึงปราสาทหลังเก่าโดยใช้ไม้แทนคอนกรีต แม้ว่าการก่อสร้างด้วยไม้แพงกว่าหลายเท่าและกฎหมายรัฐธรรมนูญหลังสงครามบัญญัติไว้ว่าไม่ให้สร้างโครงสร้างไม้สูงเกิน 13 เมตร แต่ปราสาทโอะซุสูง 19 เมตร

https://www.youtube.com/watch?v=-A3QRPCMvw0

 

หลังจากการเจรจากระทรวงต่างๆ นานหลายปีกับ ในที่สุดเมืองโอะซุก็ได้เริ่มสร้างปราสาทไม้และแล้วเสร็จในปี 2547 ปราสาทโอะซุเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวในเดือน ก.ค. และปิดประตูส่งนักท่องเที่ยวคนสุดท้ายกลับเมื่อเวลา 17.00 น.

ปีแรก จะมีนักท่องเที่ยวเพียง 30 คนเท่านั้นที่โชคดีได้รับอนุญาตให้พักในปราสาทได้ โดยแต่ละวัน จำกัดแขกเข้าพักเพียง 6 คน สนนราคาคืนละ 1 ล้านเยนหรือเกือบ 300.000 บาท ต่อผู้เข้าพัก 2 คน หากมีผู้พักเพิ่มจะคิดคนละ 100,000 เยนหรือประมาณ 30,000 บาท

แต่โรงแรมแห่งนี้ ไม่มีร้านค้า ไม่มีห้องน้ำและไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น แขกจึงต้องใช้ห้องอาบน้ำหรูหราและเลาจ์ที่สร้างขึ้นใหม่ในมุมลับซึ่งเป็นส่วนของแขกที่เข้าพัก

 การเข้าพักในปราสาทจะเป็นอย่างไร?

แขกที่เข้าพักจะเลือกแต่งชุดย้อนยุคใส่กิโมโนหรือชุดนักรบยุคกลางก็ได้ เมื่อก้าวเท้าเข้ามา ได้จะรับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เสียงแตรเปลือกหอยประโคมดังประสานกับเสียงดินปืนจากปืนใหญ่กึกก้องและธงโบกสะบัดรับแขกผู้มีเกียรติ

จากนั้น จะได้ชมการแสดงพื้นบ้านคากูระหรือการรำแบบโบราณซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นวัฒนธรรมทิ้งถิ่นสำคัญของญี่ปุ่น

ส่วนอาคารค่ำจะเสิร์ฟในป้อมปราการ 1 ใน 4 แห่งในปราสาท และพักผ่อนหลังจากอิ่มหนำสำราญด้วยการชมจันทร์พร้อมจิบสาเกและฟังร่ายบทกวี ซึ่งป้อมทุกแห่งเป็นของเดิมที่ยืนยงข้ามกาลเวลามากว่า 4 ศตวรรษ

หลังจากตื่นมารับแสงอรุณ จะได้รับประทานอาหารเข้าเคล้าทิวทัศน์หน้าผา ที่วิลลาการ์ยู ซันโซ และจิบที่โรงน้ำชาริมแม่ฮิจิ

โรงแรมในเมืองปราสาท

โรงแรมปราสาทไม่ได้เป็นเพียงที่พักใหม่เพียงแห่งเดียวในเมืองเท่านั้น เพราะโครงการเมืองปราสาทโอะซุของโรงแรม นิปโปเนีย ยังมีอีกหลายแห่งทั่วเมืองโอะซุ ได้แก่ บ้านที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อีก 3 แห่ง ซึ่งรองรับห้องพักได้ 11 ห้อง ตั้งชื่อตามขุนนางในเมืองโอะซุในอดีต 3 คน ได้แก่ “ซาดะ” “โอกิ” และ “ซึเนะ”

ซาดะมีแพทย์เป็นเของเมื่อ 20 ปีก่อนและอาจเคยใช้เป็นคลินิก แต่ตอนนี้ ปรับปรุงเป็นโรงแรม มีส่วนต้อนรับแขกและห้องอาหารซึ่งให้บริการทั้งแขกและสาธารณชน
ส่วนซึเนะ เคยเป็นร้านอาหารมา 400 ปี แต่ถูกทิ้งร้างเมื่อ 40 ปีก่อน และขณะนี้ ดัดแปลงเป็นโรงแรมมีห้องพัก 2 ห้อง มีห้องจัดเลี้ยงและห้องจัดงาน

ด้านโอกิเป็นอัญมณีในบรรดาบ้านเก่าหลังต่างๆ เฟอร์นันเดซกล่าวว่าบ้านหลังนี้เคยเป็นของตระกูลมูรากามิ เจ้าของกิจการผลิตขี้ผึ้งและเป็นหนึ่งในบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองโอะซุที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ส่วนราคาค่าเข้าพักในบ้านโบราณเริ่มต้นที่คืนละ 17,000 เยนหรือเกือบ 5,000 บาท

ในระยะแรก จะมุ่งไปที่การทำโรงแรมก่อน จากนั้น จะเริ่มระยะที่ 2 เพิ่มส่วนต่างๆ เข้ามา รวมทั้ง โรงกลั่นสุราขนาดย่อมซึ่งจะต้องเจรจากับเจ้าของบ้านเก่าให้ยอมปล่อยเช่า แล้วจึงปรับปรุงซ่อมแซมและจึงหาผู้เช่าเป็นเวลา 15 ปี

หลังจากครบกำหนดเช่า 15 ปีแล้ว บ้านจะถูกคืนให้กับเจ้าของเดิมเพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินธุรกิจต่อหรือไม่

เฟอร์นันเดซกล่าวว่าที่สุดแล้ว จุดประสงค์เพื่อฟื้นคืนชีวิตให้กับเมืองเล็กๆ นี้ ก็คือ ดึงดูดให้คนหนุ่มสาวกลับมาเพราะจะมีงานทำ มีบาร์ ร้านกาแฟที่จะนั่งดื่ม มีสถานดูแลเด็กเล็กสำหรับเลี้ยงเด็กๆ และมีบ้านที่น่าดึงดูดให้พัก และคนท้องถิ่นก็ตัดสินใจอยู่ที่เมืองนี้ต่อไปด้วยเหตุผลเดียวกัน

โอะซุยังมีสถานที่น่าสนใจอกมากมาย นอกจากปราสาท ยังมีวัดเซน ศาลเจ้า โรงน้ำชา ร้านขายของ บ้านซามูไร โรงปั้นหม้อ ร้านทำผ้าไหม ร้านทำกระดาษแบบโบราณ ซึ่งเฟอร์นันเดซรู้สึกราวกับเป็นเอ็นไซโคพิเดียศิลปะและวัฒนธรรมฉบับย่อของญี่ปุ่น

 การเดินทางไปโอะซุ

โอะซุ อยู่ห่างจากเมืองมะสึยะมะ เมืองเอกของจังหวัดเอะฮิเมะ ประมาณ 60 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวเดินทางโดยรถโดยสารจากมะสึยะมะหรือรถไฟสายเจอาร์ก็ได้

ภาพทุกภาพจาก : Kita Management / Seki Co Ltd

………….

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ญี่ปุ่นงัดอาวุธลับ "นินจา" ดูดการท่องเที่ยว จัดเต็มทั้งสถาบันฝึก-พิพิธภัณฑ์

youtube
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...